ส่วนที่ 6 ข้ารักครอบครัวข้า ตอนที่ 46 ปัญญาของโหวจวินจี๋

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

ก่อนหน้านี้นานมาก อวิ๋นเยี่ยเคยถามเหล่าเฉิงกับเหล่าหนิวเกี่ยวกับความลับของวิทยายุทธว่าผู้เยี่ยมยุทธในตำนานนั้นมีอยู่จริงหรือไม่ เป็นไปได้หรือไม่ที่มีคนสู้ได้หนึ่งต่อร้อยคน

 

 

เหล่าเฉิงไม่ได้สนใจเหลียวแลปัญหานี้แม้แต่นิด เหล่าหนิวกลับให้คำตอบอวิ๋นเยี่ยที่ค่อนข้างสมบูรณ์แบบ การต่อสู้ชนิดหนึ่งต่อร้อยในสนามรบนั้นมีอยู่จริง เมื่อมีความกล้าหาญ แม้แต่กระต่ายก็ยังขับไล่สุนัขป่าได้ ในสิ่งแวดล้อมเช่นนั้น การใช้ร้อยทหารม้าทำลายข้าศึกหมื่นคนได้ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก

 

 

เหล่าหนิวบอกที่ว่าใครวิทยายุทธสูงต่ำนั้น คือดูว่าใครแข็งแกร่งกว่า ร่างกายมีความปราดเปรียวกว่า ฝึกฝนจนชำนาญท่วงท่ามากกว่า จิตใจต่อสู้มากกว่า มีความมุมานะสูงกว่า รู้จักใช้และขับเคลื่อนพลังทั้งร่างกายในการต่อสู้ รู้วิธีใช้การแลกที่น้อยที่สุดเพื่อผลที่มากที่สุด

 

 

เทียบพลังแล้วคนเดียวถึงอย่างไรก็ไม่สามารถมีพลังเหนือกว่าสิบคน แต่คนที่เคยฝึกวิทยายุทธอย่างเข้มงวดย่อมชนะคนธรรมดาสิบคนได้โดยง่ายดาย แต่ถ้าคิดจะเอาชนะคนสิบคนที่ฝึกวิทยายุทธด้วยกันโดยไม่คำนึงถึงสภาพการณ์จิตใจและความมุมานะนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย

 

 

อวิ๋นเยี่ยเคยทำการทดลองในสถานศึกษา หลี่เผิงเฉิงแทบจะไม่มีคู่ต่อสู้ในหมู่นักเรียนเลย ต้วนเหมิ่งกับหลี่เก๋อแยกกันต่างก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้เขา แต่หากต้วนเหมิ่งกับหลี่เก๋อร่วมกัน หลี่เผิงเฉิงก็จะต้องโดนเล่นงานฝ่ายเดียว

 

 

การที่เฉิงฉู่มั่วกับหนิวเจี้ยนหู่เคารพนับถือซ่านอิงก็เกิดจากการต่อสู้ ทั้งสองคนร่วมกันก็ยังสู้ซ่านอิงไม่ได้เลย เฉิงฉู่มั่วที่หมกมุ่นอยู่แต่เรื่องวิทยายุทธถึงขนาดไม่ไปวุ่นวายกับซ่านอิงอีกเลย ย่อมเห็นได้ว่าการพ่ายแพ้ครั้งนั้นฝังใจเขามากขนาดไหน

 

 

ในโลกนี้ย่อมมีคนที่ทำให้ผู้คนแหงนหน้าขึ้นมอง ขณะที่อวิ๋นเยี่ยเห็นซ่านอิงมือเดียวหิ้วหมูอ้วนตัวหนักสองร้อยชั่ง ถอนขนหมูพลางคุยกับตัวเองพลาง ก็รู้ว่าซ่านอิงเป็นพญาอินทรีจริงๆ อวิ๋นเยี่ยไม่ให้พญาอินทรีตัวนี้มีโอกาสบินผาดโผนเหนือหล้า ดังนั้นจึงคิดหาทุกวิถีทางที่จะผูกมัดเขาไว้อยู่ที่พื้น

 

 

เหล่าเจียงเคยพูดว่าเขาเป็นทหารที่ทุบหัวคนโดยไม่ทันรู้ตัวได้ดีที่สุด นี่คือเหตุผลที่เขาฝึกค้อนโซ่โดยเฉพาะ การสู้กันซึ่งๆหน้าเขาสู้แม้กระทั่งเฉินเส้าเหยียยังไม่ได้ แต่ในสนามรบยอดฝีมือเช่นเฉิงเส้าเหยียตายในค้อนโซ่ของเขาไม่น้อยกว่าสามคน ลึกลับจนกระทั่งแม้แต่ความชอบทางทหารก็ยังบันทึกไม่ได้ หากไม่เช่นนั้นแล้วตัวเองอย่างน้อยก็ต้องเป็นระดับนายพันจึงจะถูก พอเจอซ่านอิงค้อนโซ่ของเขาก็ยังม่กล้าใช้ เพราะถ้าลงมือแล้วเหล่าเจียงเชื่อว่าหากตัวเองยังมีชีวิตอยู่ได้ จะต้องเป็นผลจากบรรพบุรุษที่ช่วยคุ้มครอง

 

 

อวิ๋นเยี่ยเห็นคนทั้งสามในโถงใหญ่ต่างเงียบกริบ จึงยิ้มพูดว่า“หากไม่มีอะไรเกินคาด เรื่องจะยุติเพียงเท่านี้ ผู้ว่าจะปิดคดีโดยสรุปว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างแก๊ง ดังนั้นพวกเจ้าสามคนไม่จำเป็นต้องปั้นหน้าเศร้ามากมายนัก

 

 

พวกเจ้าได้เห็นภาพผู้ร้ายในโปสเตอร์ประกาศจับของทางการแล้วไม่ใช่หรือ เป็นชายร่างยักษ์กล้ามเนื้อเป็นมัดๆหัวหลิมตากลม เสี่ยวอิง ขณะที่เจ้าจัดการได้ใส่หน้ากากจางเฟยใช่ไหม”

 

 

พออวิ๋นเยี่ยเปิดปาก สีหน้าทั้งสามคนก็ผ่อนคลายลง ซ่านอิงฝืนยิ้มพูดว่า “ข้าเพียงแต่ปล่อยผมออกให้ผมสยายปรกหน้าไว้ อาจารย์เคยบอกว่าทำเช่นนี้จะทำให้ศัตรูกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ ใครจะรู้ว่ามีผลเป็นเช่นนี้”

 

 

เฉิงฉู่มั่วกับหนิวเจี้ยนหู่หัวเราะออกมาทันที ในเมื่ออวิ๋นเยี่ยบอกว่าเรื่องจบลงเพียงเท่านี้ เช่นนี้แล้วก็คงจบลงเพียงเท่านี้จริงๆ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าอวิ๋นเยี่ยทำเช่นไรแต่ผลคงเป็นไปตามที่ว่านี้ ไม่มีเหตุเกินกว่านี้อีก

 

 

ซ่านอิงดีอกดีใจไปหาพี่น้องใหม่ฉีเฉิง ฉีมู่เติง หม่าชื่อ หม่าเฮลา และเตรียมไปเยี่ยมเยียนพวกกำพร้าที่เหลืออยู่ทั้งหลายจากลูกน้องเก่าของบิดาตัวเองในครั้งนั้น เป็นการแสดงน้ำใจตัวเอง ทั้งทนหน้าด้านไปยืมเงินหนึ่งพันก้วนจากอวิ๋นเยี่ย ทั้งยืมตัวผู้ดูแลบ้านอวิ๋นไปด้วย เรื่องเช่นนี้ต้องอาศัยมืออาชีพ เขาทำไม่ได้

 

 

อวิ๋นเยี่ย,เฉิงฉู่มั่วกับหนิวเจี้ยนหู่นำของขวัญไปเยี่ยมเยียนลั่วหยางหลิวโส่วโหวจวินจี๋ นี่เป็นการกำชับจากเหล่าเฉิงเหล่าฉินเขาจึงไม่กล้าประมาท ปกติคนใจแคบเช่นอวิ๋นเยี่ยต้องหลบไปให้ห่างไกลจึงจะถูก คนนี้อนาคตจะก่อกบฏ แต่คำกำชับของเหล่าเฉิงกับเหล่าฉินเขาไม่ปฏิบัติตามไม่ได้

 

 

ประตูหน้าบ้านลั่วหยางหลิวโส่วฝู่เต็มไปด้วยขุนนางที่รอทำธุระ ทั้งคนทั้งรถมากมาย

 

 

อวิ๋นเยี่ยมองเห็นเว่ยโซ่วกับตู้เอี๋ยนก็อยู่ในนั้นด้วย กำลังล้อมคนชราหนวดเครายาวถกเถียงอย่างรุนแรง เห็นดังนั้นแล้วเฉิงฉู่มั่วจึงดึงหัวม้าหันไปแล้วตรงเข้าด้านหลังเรือน

 

 

เฉินฉู่มั่วเหิมเกริมมากในบ้านตระกูลโหว ใช้เท้าเตะประตูเล็กหลังเรือนออกแล้วก็ตะโกนลั่น “โหวเอ้อร์ โหวเอ้อร์เจ้านี่หายไปไหนกัน ข้ามาถึงลั่วหยางแล้วเจ้าก็ไม่ออกมาต้อนรับ คันตามตัวนักหรือ”

 

 

บ่าวที่ดูหน้าเป็นคนพาลถือกระบองวิ่งออกมาเตรียมเล่นงานคน พอมาถึงกลับคุกเข่าโครมลงมา “เฉิงเส้าเหยีย ท่านช่วยหน่อยเถอะ สองวันนี้เหล่าเหยียเหยียอารมณ์ไม่ดี เส้าเหยียรองพูดมากไปสองคำ เวลานี้ยังนอนอยู่บนเตียงลุกไม่ขึ้น ท่านช่วยหน่อยเถอะ”

 

 

คนคุ้นเคยกันพูดขอให้ช่วยแล้วก็เที่ยวเรียกบ่าวไพร่คนอื่น ทั้งผูกม้า ทั้งรับของขวัญ ไม่ต้องแจ้งขออนุญาตเจ้านาย ความคุ้นเคยทำให้ไม่ต้องมากพิธี

 

 

ไม่นานนัก คนหนุ่มหน้าตาดีมีบ่าวพยุงเดินกระเผลกมาที่ลานหลังเรือนยิ้มร่าว่า “รู้ว่าพี่ทั้งสามจะมาวันนี้ แต่พูดอะไรผิดหูเลยโดนบิดาข้าอัดไปชุดใหญ่ ลงจากเตียงไม่ไหวไม่ได้ไปต้อนรับ พวกพี่ๆอย่าได้ถือโทษเลย”

 

 

ไม่ทันรออวิ๋นเยี่ยพูดทักทาย เฉิงฉู่มั่วกับหนิวเจี้ยนหู่ก็ห้อมล้อมหนุ่มน้อยมองหัวจรดเท้า หนิวเจี้ยนหู่ว่า “เสี่ยวเจี๋ย ไม่เจอหลายปี ไอ้เด็กกระเปี๊ยกโตขึ้นมาเยอะเลย เมื่อก่อนโดนแค่เท้าอาโหว ตอนนี้โดนไม้แล้ว นับว่าก้าวหน้าขึ้น”

 

 

เด็กอายุสิบห้าโดนคนเกาถูกที่คัน เสียงที่กำลังเปลี่ยนเหมือนเสียงเป็ดร้องก๊าบๆกำลังจะโต้ เฉิงฉู่มั่วก็ลากเขาอย่างแรงไปข้างๆว่า “ใครจะรอฟังเจ้าเล่าสาเหตุ ข้าจะมาพบอาผู้หญิง ตั้งแต่บ้านเจ้าย้ายมาลั่วหยาง เวลาข้าโดนอัดแม้แต่ที่ซ่อนตัวยังหาไม่ได้เลย คิดถึงอาผู้หญิงที่สุด ที่ยืนข้างหลังเป็นพี่ชายบ้านอวิ๋นของเจ้า จำไว้ดีๆ หากไร้ความเคารพแม้เพียงนิดเดียว ข้าจะอัดเจ้าจนอาผู้หญิงยังจำเจ้าไม่ได้ แต่ไม่ต้องให้ข้าลำบาก เจ้าจะต้องไปเรียนหนังสือที่สถานศึกษาอวี้ซันทันที เจ้าต้องอยู่ในมือของเขา จะได้รู้พิษสง”

 

 

ในบ้านโหว เฉิงฉู่มั่วทำอะไรตามใจได้มากกว่าบ้านตัวเอง เดินอย่างอุกอาจไปทางลานหลังเรือนทำให้เหล่าสาวใช้หลบกันระเนระนาด เพิ่งก้าวเข้าประตูวงพระจันทร์กระบองอันหนึ่งก็ฟาดมาที่ศีรษะเฉิงฉู่มั่ว

 

 

เฉิงฉู่มั่วหัวเราะฮ่าๆยื่นมือจับกระบองไว้แล้วพูดกับพุ่มไม้ข้างหลังว่า “น้องเหลียนเอ๋อร์ เจ้าจะหลบไปถึงไหน จะแต่งงานไปเป็นสนมรัชทายาทที่เมืองฉางอันอยู่แล้ว ครั้งก่อนดื่มสุรากับรัชทายาทยังพูดถึงเจ้า ข้ามีจดหมายอยู่ในอกเสื้อ ถ้าเจ้าไม่ออกมาก็ไม่ให้”

 

 

แต่ก่อนอวิ๋นเยี่ยเข้าใจว่าคนแรกที่รัชทายาทแต่งงานด้วยก็คือชายารัชทายาท ใครจะรู้ว่าคนแรกที่แต่งคือสนม การแต่งชายารัชทายาทจะต้องแจ้งถึงฟ้าดิน ซูไอ้บุตรสาวคนโตของมี่ซูเฉิงซูต่านจึงเป็นชายารัชทายาทที่แท้จริง การแต่งงานนี้กำหนดโดยไท่ซั่นอ๋อง แม้แต่หลี่ซื่อหมินก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้

 

 

ขณะที่เฉิงฉู่มั่วกำลังหยอกล้อเหลียนเอ๋อร์อย่างสนุกสนาน ผู้หญิงชุดชาววังออกมาจากด้านหลังใช้มือตบท้ายทอยเฉิงฉู่มั่ว พูดว่า “เจ้าเด็กเกเรไร้มารยาท มาเยี่ยมอาผู้หญิงแต่ไกลแล้วทำไมวุ่นวายกับเหลียนเอ๋อร์เล่า ไม่รู้หรือว่านางจะแต่งงานทันทีแล้ว พบคนไม่ได้”

 

 

เฉิงฉู่มั่วโดนตีจนรู้สึกโล่งอกโล่งใจ หันหลังคุกเข่าลงแล้วฉิ่งอันด้วยความเคารพ พิธีนี้อวิ๋นเยี่ยก็คุ้นเคยอย่างยิ่ง อยู่ในบ้านเฉิง บ้านหนิว บ้านฉิน ก็ทำไปนับไม่ถ้วนครั้งแล้วด้วยเหตุผลเดียวกัน ในยุคสมัยที่ความกตัญญูเหนือกว่ากฎหมายนั้น พวกเฉิงฉู่มั่วพบท่านย่าก็โขกศีรษะดังปังๆเหมือนกันไม่มีทางเลือก เจ้าเพียงยอมรับว่าตัวเองเป็นรุ่นอ่อนอาวุโสพิธีเช่นนี้ก็หลบไม่พ้น เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามจะมายึดถือว่าตัวเองมาจากยุคหลัง เป็นการแสดงออกถึงความไม่มีมันสมอง ผ่านพิธีพบหน้าแล้วเฉิงฉู่มั่วก็ยื่นมือเข้าไปควักล้วงในอกเสื้ออวิ๋นเยี่ย ควักเอาขวดเล็กๆสวยงามออกมาได้สี่ห้าขวดก็เอาไปประจบประแจงข้างกายโหวฮูหยินบอกว่า “ท่านอา นี่เป็นน้ำหอมที่นิยมที่สุดในเมืองฉางอัน นี่เป็นกลิ่นหลันฮวา นี่เป็นเหมยฮวาหอมเย็น นี่เป็นกลิ่นชีจื่อฮวา กลิ่นกุ้ยฮวาแรงมากที่สุด มารดาข้าใช้กลิ่นเย่ว์จี้มาตลอด ว่าเหมาะสมกับนางมากที่สุด ท่านลองดูสิ”

 

 

โหวฮูหยินหยิบน้ำหอมไปแต่พูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เยี่ยเกอเอ๋อร์มาเป็นครั้งแรก ไม่เหมือนพวกเขาทั้งสองที่ช่ำชอง มาถึงนี่แล้วก็คือถึงบ้านอย่าได้มองเป็นอื่น รอให้ครอบครัวข้าไปถึงเมืองหลวงข้าจะไปกราบเหล่าฮูหยินที่บ้านเอง น้ำหอมนี้ข้าขอรับไว้ น้องเหลียนเอ๋อร์ของเจ้าจะแต่งงานได้ใช้แน่นอน”

 

 

“ท่านอาหญิงอย่าได้ดูเป็นอื่น ของที่จะให้น้องเหลียนเอ๋อร์ท่านย่าได้เตรียมไว้นานแล้ว อยู่ในรายการของขวัญ เจ้าสาวแต่งงานน้ำหอมใช้ปนกันไม่ได้ใช้เพียงชนิดเดียวก็พอ นี่เป็นของท่านอาหญิงลองเอามาหลายชนิดให้ท่านลองดู หากชอบชนิดไหนผู้ดูแลร้านตระกูลอวิ๋นในลั่วหยางจะส่งให้ท่าน พรุ่งนี้ภรรยาข้าจะเข้ามาคารวะ ท่านอาหญิงบอกนางก็พอแล้ว”

 

 

โหวฮูหยินได้ยินชื่อน้ำหอมมานานแล้ว เพียงแต่ลั่วหยางมีน้อยมาก ตระกูลอวิ๋นก็ไม่ยอมขายน้ำหอมให้มีทั่วหล้า ของขวัญประจำปีที่ตระกูลอวิ๋นส่งมาให้ มีน้ำหอมทุกครั้งทั้งคุณภาพก็ดีขึ้นทุกครั้ง เป็นของขวัญที่โหวฮูหยินชื่นชอบมากที่สุด หยิบน้ำหอมแล้วก็เดินยิ้มจะเอาไปลองที่หลังบ้าน ก่อนไปยังตบท้ายทอยเฉิงฉู่มั่วอีกครั้ง

 

 

อาหารได้เตรียมไว้แล้ว โหวเจี๋ยเป็นเพื่อนร่วมดื่มกับพี่ชายทั้งสาม สุราก็เป็นสุราตระกูลอวิ๋น บนโต๊ะสุราเฉิงฉู่มั่วเพิ่งนึกขึ้นได้ถามโหวเจี๋ยว่าโดนอัดเพราะอะไร พอพูดถึงเรื่องนี้ใบหน้าโหวเจี๋ยก็ดึงจนเป็นซาละเปา นวดสะโพกด้วยความระมัดระวังแล้วจึงพูดว่า “พวกพี่ๆวันนี้เข้าเมือง คงจะรู้เรื่องเมื่อวานนี้แล้วว่ามีจอมยุทธสุดยอดคนหนึ่งมาเมืองลั่วหยาง มาเดี่ยวม้าเดี่ยวทวนเดี่ยวเข้ามาทางตะวันตกออกทางตะวันออก ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยามแก๊งมังกรน้ำลั่วหยางก็โดนสังหารหมดสิ้นเรียกได้ว่าไม่มีอะไรเหลือ ก่อนไปยังนำศีรษะหลงซันไปด้วย

 

 

ลั่วหยางสั่นสะเทือน ทุกคนต่างหวั่นไหว ข้าไม่ยินยอมเพราะเท่ากับไม่ไว้หน้าข้าตระกูลโหว จึงเตรียมทหารบ้านไปหาคนคนนี้เพื่อจับเขามารับโทษ แต่ยังไม่ทันออกจากบ้านก็โดนบิดาข้าลงโทษยี่สิบไม้ใหญ่ว่าข้าไม่เจียมตัวไม่รู้จักความเป็นความตาย ทำโทษให้ข้าอยู่บ้านสำนึกผิด”

 

 

สามคนนี้ฟังจบ นึกถึงฝีมือที่น่าหวาดหวั่นของซ่านอิงแล้วขนลุกขนชัน ต่างยกนิ้วหัวโป้งให้ทั้งกล่าวชื่นชมเจ้าคนไม่รู้จักตายคนนี้ โหวเจี๋ยยิ้มรับความชื่นชมจอมปลอมนี้

 

 

โหวจวินจี๋มาแล้ว ไม่ทันรอให้ทั้งสามคนทำความเคารพก็นั่งอย่างสง่าผ่าเผยในที่ประธาน ดื่มสุราต่อกันสามถ้วย ใบหน้าที่แดงคล้ำไม่เห็นอาการดีใจหรือโกรธเคือง แววตาราวกับฟ้าแลบกวาดไปมาบนใบหน้าของคนทั้งสาม หยุดนิ่งที่ใบหน้าอวิ๋นเยี่ยนานที่สุด นิ่งไปครู่หนึ่งคีบใบกระเจี๊ยบขึ้นมาเคี้ยวในปากแล้วไม่ถูกปากจึงถ่มออกมา แล้วดื่มสุราอีกหนึ่งถ้วย ก้มตัวลงมามองคนทั้งสามแล้วถามเสียงเบาว่า “เรื่องนี้เจ้าสามคนใครเป็นคนทำ”

 

 

อวิ๋นเยี่ย เฉิงฉู่มั่วกับหนิวเจี้ยนหู่มองหน้ากัน แล้วสั่นศีรษะพร้อมกันราวกับนัดกันไว้