ภาคที่ 31 ขั้นอลวน ตอนที่ 9 กินศิลาปฐมโลกา

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 9 กินศิลาปฐมโลกา โดย Ink Stone_Fantasy

“ใช่แล้ว เจ้าต้องการเตรียมตัวอะไรบ้างในการไปยังชายขอบของห้วงอากาศในครั้งนี้” บรรพชนเทียนอวี๋พูดยิ้มๆ “สมบัติล้ำค่าที่ท่านอาจารย์ของเจ้าทิ้งเอาไว้ให้มีมากมายนัก หากเจ้าจะไม่ใช้ไปตลอดก็ไม่จำเป็นหรอก”

แม้จะเตรียมทรัพยากรที่เคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดและเคล็ดวิชาสืบทอดมังกรปาหลงต้องการเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แต่สำหรับสมบัติล้ำค่าที่กู่ฉีทิ้งไว้ให้ ก็แค่น้อยนิดเท่านั้น

“ข้าต้องการการเตรียมตัวจริงๆ นั่นแหละ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “ข้าต้องการศิลาปฐมโลกาหนึ่งแสนก้อน”

“หนึ่งแสนก้อนรึ” บรรพชนเทียนอวี๋ตกตะลึง “จะกินหรือ”

“กินขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

บรรพชนเทียนอวี๋พูดพลางหัวเราะฮ่าฮ่า “สหายเอ๋ย ขั้นอลวนที่ตัดใจกินศิลาปฐมโลกาหนึ่งแสนก้อนลงไปได้ในประวัติศาสตร์นั้นคงมีน้อยเสียจนยกนิ้วนับได้เลยกระมัง อย่างน้อยเท่าที่ข้ารู้ก็มีเพียงสองคนเท่านั้น”

บางคนก็เพราะบังเอิญโชคดีได้ลาภครั้งใหญ่มา เมื่อกินไปแล้วก็มิได้เปิดเผยสู่ภายนอก

“ศิลาปฐมโลกาหนึ่งแสนก้อนน่าจะมีส่วนช่วยขั้นอลวนเป็นอย่างมาก หากเทพจักรวาลกินลงไปแล้ว เกรงว่าคงจะมีส่วนช่วยน้อยมากทีเดียว” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว

“ก็ได้ ข้าจะช่วยเตรียมให้เจ้าเอง” บรรพชนเทียนอวี๋พยักหน้ายิ้มๆ “ยังคงอยู่ในสามแสนศิลาปฐมโลกา”

“นอกจากนี้แล้ว ข้ายังต้องการสมบัติลับสักชิ้นหนึ่ง ซึ่งสามารถทำให้การโจมตีอ่อนกำลังลงได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว

ชายขอบของห้วงอากาศ…

เขาคิดเอาเองว่าตนร้ายกาจ แต่ความระมัดระวังก็ยังคงต้องมาก่อน!

“ราคาเล่า” บรรพชนเทียนอวี๋เอ่ยถาม

“ระหว่างห้าหมื่นถึงหนึ่งแสนศิลาปฐมโลกาขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว ตนยังต้องเหลือสมบัติล้ำค่าเอาไว้บ้าง เพราะถึงอย่างไรคิดจะอาศัยตนเองสั่งสมสมบัติล้ำค่าจำนวนมหาศาลเช่นนี้ได้ก็ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ ในภายหน้าอาจจะมีสักวันที่ตนจำเป็นต้องใช้ฉุกเฉินขึ้นมาก็เป็นได้

“สามารถแลกเป็นสมบัติลับที่พอใช้ได้ได้แล้วล่ะ” บรรพชนเทียนอวี๋ได้ยินราคานี้แล้วก็พยักหน้าน้อยๆ “เดิมทีสมบัติลับก็มีไม่มากอยู่แล้ว ข้ารู้สึกว่าที่เหมาะสมกับเจ้าที่สุดก็คือของชิ้นหนึ่งที่อยู่ในมือบรรพชนทิพย์ซึ่งมีนามว่า ‘เมฆซ้อนสามสี’ ข้าจะถามบรรพชนทิพย์ดูก่อนว่าจะสามารถซื้อได้ในราคาเท่าใด”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้ารัว

อาวุธเทพอากาศทั่วไปแทบจะไม่มีส่วนช่วยเขาแล้ว ต้องเป็นสมบัติลับเสียแล้ว

สิ่งใดที่เรียกว่าสมบัติลับน่ะหรือ สมบัติล้ำค่าขั้นจักรวาลก็นับว่าใช่! ยังมีบางส่วนที่เป็นวัตถุพิเศษบางอย่างซึ่งกำเนิดขึ้นมาในอากาศอันสับสนอลหม่านหรือโลกทิพย์โบราณดั้งเดิม จากนั้นก็เพิ่มการปรับเปลี่ยนเข้าไปเล็กน้อยทำให้เกิดเป็นสมบัติล้ำค่าที่น่าหวาดหวั่นขึ้น หรืออาจจะเป็นสมบัติล้ำค่าที่มีความเป็นมาอันเร้นลับ อย่าง ‘คานสามโลกเมฆาเพลิง’ ของจักรพรรดิเก้าเมฆาก็ไม่รู้ที่มา แต่ความล้ำค่าของมันก็ทำให้จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ปรารถนาที่จะได้มา จนต้องลงมือกับจักรพรรดิเก้าเมฆาครั้งแล้วครั้งเล่า

ดังนั้นสมบัติล้ำค่าขั้นจักรวาลจึงนับได้เพียงว่าเป็นระดับต่ำสุดของสมบัติลับเท่านั้น

“บรรพชนทิพย์พูดแล้วว่า ศิลาปฐมโลกาแปดหมื่นก้อน” บรรพชนเทียนอวี๋มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง

“ได้ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าโดยไม่ลังเล ของจากบรรพชนทิพย์ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน

“ฮ่าฮ่า ข้าบอกกับบรรพชนทิพย์เรียบร้อยแล้ว อีกไม่นานเขาก็จะให้คนนำมาส่งให้ อ้อ นี่คือข้อมูลโดยละเอียดของสมบัติลับ ‘เมฆซ้อนสามสี’ ที่เขาเพิ่งส่งมาให้” บรรพชนเทียนอวี๋ส่งข้อมูลหนึ่งให้ตงป๋อเสวี่ยอิง เนื่องจากซื้อแล้วจึงสามารถล่วงรู้ข้อมูลโดยละเอียดได้ หากไม่ซื้อ พวกบรรพชนเทียนอวี๋ก็จะรู้เพียงคร่าวๆ

ตงป๋อเสวี่ยอิงอ่านดู

‘เมฆซ้อนสามสี’ นี้ เป็นก้อนเมฆประหลาดซึ่งบรรพชนทิพย์พบท่ามกลางอากาศอันสับสนอลหม่านที่กว้างใหญ่ไพศาล เขาได้ทำการย้อนเวลาเพื่อตรวจดูขั้นตอนการกำเนิดของเมฆซ้อนสามสี ก็พบว่านี่เป็นก้อนเมฆวิเศษที่ถือกำเนิดขึ้นมาในยุคโลกทิพย์โบราณดั้งเดิม ต่อมาเมื่อโลกแตกออกก็ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย หลังจากบรรพชนทิพย์ค้นคว้าลักษณะพิเศษต่างๆ ของมันแล้ว ท้ายที่สุดก็ได้หลอมสมบัติลับชิ้นนี้ขึ้นมาตามลักษณะพิเศษของมัน

เมื่อซื้ออาวุธชิ้นนี้…

บรรพชนทิพย์ได้ให้คนส่งเมฆซ้อนสามสีมาให้ แล้วบรรพชนเทียนอวี๋ก็รับไว้ด้วยตนเอง จากนั้นจึงได้มอบให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเงียบๆ

เห็นได้ชัดว่าสมบัติลับชิ้นนี้ตกอยู่ในมือตงป๋อเสวี่ยอิงก็ต้องรักษาความลับ มีเพียงบรรพชนเทียนอวี๋และบรรพชนทิพย์เท่านั้นที่ล่วงรู้

“เมฆซ้อนสามสี” ตงป๋อเสวี่ยอิงถือก้อนเมฆสีขาวอ่อนนุ่มเอาไว้ในมือ หากก้อนเมฆสีขาวนี้แหวกออก ก็จะมองเห็นชั้นเมฆสีฟ้าและสีทองภายใน สีขาว สีฟ้า สีทอง…นี่ก็คือสามสี

“สมบัติลับชิ้นนี้เหมาะที่จะเป็นอาภรณ์ที่สุด” ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะรองนั่งดิ้นเงินภายในห้องเงียบ แล้วเริ่มหลอมแปรเงียบๆ ด้วยความอดทน การใช้งานสมบัติลับนั้นซับซ้อนมาก เช่นหากค้นคว้าสมบัติลับบางอย่างได้ไม่กระจ่าง ก็อาจไม่สามารถใช้งานได้ เคราะห์ดีที่เมฆซ้อนสามสีเป็นสิ่งที่บรรพชนทิพย์หลอมขึ้น ตงป๋อเสวี่ยอิงซื้อมาจากบรรพชนทิพย์ จึงย่อมรู้วิธีหลอมแปรโดยละเอียดเป็นธรรมดา

วิธีหลอมแปรนั้นไม่ยาก เพียงแต่ต้องใช้เวลา ค่อยๆ บ่มเพาะแล้วหลอมแปร

ระหว่างขั้นตอนการหลอมแปร ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีศิลาปฐมโลกาหลายก้อนปรากฏขึ้นในมือบ้างเป็นบางครั้ง  ก่อนจะขว้างเข้าไปในปากทันที เขาอ้าปากออก ศิลาปฐมโลกาก็หดเล็กลงแล้วลอยตรงเข้าไปในปากและกลืนลงท้องไปราวกับกินขนมบางชนิดอย่างไรอย่างนั้น จากนั้นก็โยนเข้าไปอีกหลายก้อน เพราะถึงอย่างไรวิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงก็แข็งแกร่งกว่าอวี๋จิ้งชิวในตอนนั้นมากมายยิ่งนัก ศิลาปฐมโลกาไม่มีแรงกดดันสำหรับเขา

หากเขาอยากทำ เมื่อกินลงไปครั้งเดียวกว่าพันก้อนก็จะสามารถต้านทานได้

ทว่าเขาอยากจะสัมผัสความเปลี่ยนแปลงอันเล็กน้อยของวิญญาณของตน

“ไม่เสียทีที่เป็นศิลาปฐมโลกา ว่ากันว่าเป็นพลังต้นกำเนิดของโลกทิพย์โบราณดั้งเดิม” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ โลกทิพย์โบราณดั้งเดิมในตอนนั้นก็เทียบเท่ากับอากาศอันสับสนอลหม่านในตอนนี้ พลังต้นกำเนิดนี้มีการยกระดับวิญญาณอย่างรอบด้าน

บางทีการสังหารฝูงมารผลาญทำลายอาจจะให้ผลดีกว่า

แต่ศิลาปฐมโลกาหนึ่งแสนก้อน จะต้องสังหารฝูงมารผลาญทำลายมากเท่าใดกัน ต้องรู้เอาไว้ว่า ฝูงมารผลาญทำลายก็เจ้าเล่ห์เป็นอันมาก ไม่มีทางเอาชีวิตมามอบให้ง่ายๆ ต่อให้เป็นสิ่งมีชีวิตขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้า พลังงานพิเศษที่ดูดซับจากการสังหารตลอดคืนวันอันยาวนานนั้น สามารถเทียบได้กับศิลาปฐมโลกาสองสามหมื่นก้อนก็ไม่เลวแล้ว

ผ่านไปวันแล้ววันเล่า

วิญญาณของตงป๋อเสวี่ยอิงเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน มันแข็งแกร่งยิ่งขึ้น แม้แต่การรับรู้ก็ยังรวดเร็วขึ้นบ้าง

เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปสิบเก้าปีแล้ว

แม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะไม่รีบร้อนใช้ศิลาปฐมโลกา แต่กลับกินทั้งหนึ่งแสนก้อนลงไปจนหมด ก็พอดีกับที่ ‘เมฆซ้อนสามสี’ บ่มเพาะจนหมดแล้วหลอมแปรขึ้นมาได้สำเร็จ

“รู้สึกว่าดีนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าสิบเก้าปีนี้ช่างเป็นการดื่มด่ำชนิดหนึ่งจริงๆ ความรู้สึกที่ได้ดูดซึมนี่ช่างงดงามยิ่งนัก

“กินศิลาปฐมโลกาลงไปหนึ่งแสนก้อน วิญญาณก็เพิ่มขึ้นสามส่วน” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบปีติยินดี

ดูเหมือนจะไม่มาก

แต่อันที่จริงนั้นเพิ่มขึ้นมาถึงสามขั้นจากพื้นฐานเดิม เพราะถึงอย่างไรหลังจากฝึกฝนเคล็ดวิชาสืบทอดปีศาจชาดเก้าแปร วิญญาณก็บรรลุถึงขั้นที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งแล้ว คิดจะยกระดับอีกสักเล็กน้อยก็ยากมาก ในภายหน้าต่อให้สำเร็จเป็นเทพจักรวาล ก็คงมิได้ยกระดับมากมายเกินจริง ดังนั้นสามารถยกระดับได้สามส่วน ตงป๋อเสวี่ยอิงก็พึงพอใจมากแล้ว

“เมฆซ้อนสามสี…” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดจิตคราหนึ่ง

ฟิ้ว

ก้อนเมฆสีขาวอันอ่อนนุ่มเคลื่อนตัวแล้วแผ่ขยายออกไปทั่วผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิง กลายเป็นอาภรณ์สีขาวราวหิมะที่หนามากชุดหนึ่ง อาภรณ์ขาวพิสุทธิ์ดุจหิมะ เพราะถึงอย่างไรมันก็ก่อตัวขึ้นจากก้อนเมฆสมบัติลับนั่นเอง

“หนามาก และยังรักษาความอบอุ่นไว้ได้ด้วย” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม เขาสวมเสื้อสีขาวราวหิมะอันหนานุ่มไว้บนกายก็รู้สึกสบายนัก “ตามที่ท่านบรรพชนบอก เมื่อมีสมบัติลับนี้ ร่างกายของข้าก็มีคุณสมบัติด้านการป้องกันพอที่จจัดอยู่ในสิบอันดับแรกของขั้นอลวนได้แล้วกระมัง”

เพราะถึงอย่างไรจะมีขั้นอลวนสักกี่คนกันที่ทำใจจ่ายศิลาปฐมโลกาแปดหมื่นก้อนได้ ลำพังแค่สมบัติลับคุ้มกายชิ้นหนึ่งน่ะหรือ

สำหรับตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว นี่ไม่นับว่าเป็นอะไรเลย เป้าหมายจับจ้องอยู่ที่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ก่อนหน้านี้เขาก็ย่อมต้องระมัดระวังยิ่งกว่านี้มิให้พลาดพลั้งไปเสียก่อน เมื่อมีศิลาปฐมโลกาแน่นอนว่าก็ต้องรีบใช้ หากในภายหน้าตนสำเร็จเป็นเทพจักรวาล เชื่อว่าจะสามารถหาศิลาปฐมโลกาได้เพิ่มมากขึ้น หากไม่สำเร็จเป็นเทพจักรวาล…สมบัติลับนี้ก็ย่อมคุ้มค่า

“ควรไปยังชายขอบของห้วงอากาศได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำหนดจิตคราหนึ่ง

ฟิ้ว

ร่างแปรร่างหนึ่งรวมตัวขึ้นด้านข้าง

ตามปกติแล้วร่างแปรของเขาร่างนี้จะรับผิดชอบเรื่องจิปาถะต่างๆ ภายในวังทวีสูญ อย่างการชี้แนะศิษย์ หรือการเข้าประชุมสำคัญต่างๆ ในวังทวีสูญ ขอเพียงมิใช่การต่อสู้ก็พอ เรื่องปกติทั่วไปนั้นเผาผลาญพลังจิตน้อยมาก หากไม่มีเรื่องสำคัญ ร่างแปรก็สามารถเข้าสู่ห้วงนิทราได้ การเผาผลาญนั้นต่ำเสียจนสามารถมองข้ามไปได้เลยทีเดียว

“ไป”

อากาศข้างห้องเงียบบิดเบี้ยวทันที ตงป๋อเสวี่ยอิงที่สวมอาภรณ์สีขาวราวหิมะหนาเตอะสาวเท้าออกไปก้าวหนึ่งก็เข้าไปในนั้น ก่อนจะหายวับไป

 …………………………………