ตอนที่ 10 ปราการอากาศ โดย Ink Stone_Fantasy
แม้โลกทิพย์ทะเลสัตตดาราจะอยู่ห่างจากชายขอบของห้วงอากาศลิบลับ ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงก็สามารถปรากฏกายขึ้นท่ามกลางอากาศที่บิดเบี้ยวได้ในชั่วพริบตา ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์หนานุ่มสีขาวทอดสายตามองออกไป ก็เห็นว่ากลางอากาศไกลออกไปมีป้อมปราการขนาดเล็กมากอยู่แห่งหนึ่ง ซึ่งก็คือปราการอากาศ…ป้อมปราการที่ผู้บำเพ็ญทุ่มเทไปอย่างมหาศาลเพื่อสร้างขึ้นที่ชายขอบของห้วงอากาศนั่นเอง
จำนวนของผู้แกร่งกล้าที่รวมตัวกันอยู่ ณ ปราการอากาศนั้นเหนือกว่าโลกทิพย์ไหนๆ
ที่นี่มีร่างจริงของเทพจักรวาลอย่างน้อยสามท่านประจำการอยู่เป็นนิจ ส่วนร่างแปรน่ะหรือ เทพจักรวาลกว่าสิบท่านมีร่างแปรอยู่ที่นี่ ต่อให้เป็นผู้ที่รักอิสระอย่าง ‘เจ้าเมืองหลัว’ ก็มีร่างแปรอยู่ที่นี่เป็นระยะเวลานาน ร่างจริงของบรรดายักษ์ใหญ่ขั้นอลวนที่อยู่ที่นี่นั้นมีมากถึงสองร้อยกว่าท่าน ร่างแปรก็ยิ่งมีมากกว่า และยังมีบรรดาขั้นรวมเป็นหนึ่งซึ่งมาที่นี่เพื่อลองสู้สุดชีวิตดูสักตั้ง
ที่นี่คือแนวหน้าสุดที่ใช้สกัดกั้น ‘ฝูงมารผลาญทำลาย’ และวันนี้ ‘ตงป๋อเสวี่ยอิง’ ซึ่งเป็นขั้นอลวนหน้าใหม่ก็ได้มาถึงที่นี่แล้ว
“ปราการอากาศ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูป้อมปราการขนาดเล็กแห่งนี้ เมื่อสาวเท้าออกไปอีกก้าวหนึ่งมิติก็บิดเบี้ยว แล้วเขาก็เข้าไปภายในปราการอากาศ
ฟิ้ว
อันที่จริงแล้วปราการอากาศนั้นกว้างใหญ่มาก มีขอบเขตกว่าร้อยล้านลี้ ซึ่งพื้นที่ส่วนมากล้วนแต่เป็นเครื่องไม้เครื่องมือและค่ายกลค่างๆ ภายในโถงตำหนักแห่งหนึ่ง มีขั้นอลวนถึงสองร้อยกว่าท่านกำลังกระจายตัวกันสนทนาปราศรัยกัน พูดคุยกันอย่างสุขสำราญใจนัก วิ้ง หลังจากมิติบิดเบี้ยว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ปรากฏกายขึ้นมากลางโถงตำหนัก
“ประมุขตำหนักตงป๋อรึ” บรรดาผู้บำเพ็ญขั้นอลวนซึ่งกำลังร่ำสุราพลางสนทนากันอยู่นั้นพากันหันมามอง ก็เห็นตงป๋อเสวี่ยอิง พวกเขาหลายคนอดยิ้มแล้วเอ่ยปากออกมามิได้
“เจ้าลัทธิภาพจิต…” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยิ้มแล้วรับคำอย่างเรียบง่ายคำหนึ่ง จากนั้นก็เดินมุ่งหน้าไปทางขั้นอลวนทั้งห้าแห่งวังทวีสูญ
“คิดไม่ถึงว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะมายังปราการอากาศรวดเร็วถึงเพียงนี้” บรรดาขั้นอลวนคนอื่นๆ แอบกระซิบกระซาบกัน
“เห็นทีเขาคงจะเก็บตัวบำเพ็ญและยกระดับจนถึงขีดจำกัดแล้ว เกรงว่าบัดนี้คงจะมีพลังระดับเจดีย์ดาวชั้นที่แปดระดับยอดแล้ว”
“ช่างทำให้ข้าและคนอื่นๆ ละอายใจจริงๆ อย่างข้าบำเพ็ญมาจนถึงบัดนี้ก็ยังมิอาจบุกฝ่าชั้นที่แปดได้เลย
ขั้นอลวนกลุ่มหนึ่งพูดคุยกัน
พวกเขาที่อยู่ที่นี่แทบจะเป็นร่างแปรทั้งสิ้น ทั้งเพื่อพักผ่อนและเตรียมพร้อมออกศึกในทุกชั่วขณะ
และที่อีกมุมหนึ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้พบหน้ากับขั้นอลวนทั้งห้าแห่งวังทวีสูญ
“เหตุใดในโถงตำหนักนี้จึงเป็นร่างแปรหมดเลยขอรับ พวกท่านทั้งห้าก็เป็นร่างแปรด้วยเช่นกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มด้วยความตกใจพลางถามขึ้น
“อีกประเดี๋ยวปราการอากาศก็จะจัดเตรียมคูหาขนาดเล็กให้แก่เจ้า” ประมุขตำหนักอลหม่านคว้าจอกสุราเก่าคร่ำคร่าขึ้นมาพลางพูดยิ้มๆ ว่า “ขณะที่สถานการณ์การรบค่อนข้างจะผ่อนคลายนั้น ก็ล้วนแต่เป็นร่างแปรที่ทำศึกอยู่ข้างนอก เมื่อสถานการณ์การรบตึงมือขึ้นมาเมื่อไหร่ จึงค่อยให้ร่างจริงเคลื่อนไหว”
“ร่างจริงเคลื่อนไหว จำเป็นต้องอยู่ในแดนใน เรื่องนี้เจ้าคงรู้กระมัง” ประมุขตำหนักเชียนอี้ที่อยู่ข้างๆ พูดขึ้น
“ขอรับ เรื่องนี้ข้าทราบแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
ฝูงมารผลาญทำลายนั้นถือกำเนิดขึ้นมาภายใน ‘ทางเดินโลกาพิศวง’ แห่งชายขอบของห้วงอากาศ มิติภายในทางเดินโลกาพิศวงนั้นสับสนวุ่นวายมาก ราวกับเขาวงกตอันแปลกพิสดารแห่งหนึ่ง ต่อให้เป็นเทพจักรวาลตกลงไปก็จะหลงทางและเดินออกมามิได้ไปตลอดกาล! ว่ากันว่าภายใน ‘ทางเดินโลกาพิศวง’ มีพื้นที่รังอยู่มากมาย ภายในพื้นที่รังเหล่านั้นได้บ่มเพาะฝูงมารผลาญทำลายขึ้นมา แน่นอนว่าพื้นที่รังก็มีการแบ่งระดับเช่นกัน รังปกติทั่วไปนั้นบ่มเพาะได้เพียง ‘ฝูงมารผลาญทำลายระดับเกราะสีเทา’ เท่านั้น บางส่วนที่พบเห็นได้ยากยิ่งนักสามารถบ่มเพาะฝูงมารผลาญทำลายระดับเกราะสีแดงโลหิตออกมาได้! ในตำนาน…ยังมีรังพิเศษซึ่งสามารถบ่มเพาะมารผลาญทำลายเกราะทองออกมาได้ด้วย!
ดังนั้นทางฝ่ายผู้บำเพ็ญจึงได้เริ่มสร้างค่ายกลเตือนภัยขนาดใหญ่ขึ้นทั่วบริเวณอากาศรอบนอกของทางเดินโลกาพิศวง ครอบคลุมรอบนอกสุดของทางเดินโลกาพิศวง
เมื่อมีฝูงมารผลาญทำลายออกมา ก็สามารถตรวจพบได้ทันทีโดยผ่านค่ายกลเตือนภัย!
บริเวณค่ายกลเตือนภัยนี้ก็คือ ‘แดนนอก’
ส่วนบริเวณเล็กๆ ด้านหลังของค่ายกล ทางฝ่ายผู้บำเพ็ญได้ผนึกอากาศของบริเวณนี้อย่างสิ้นเชิงโดยไม่เสียดายอะไรทั้งสิ้น! ความแข็งแกร่งของการปิดผนึกนั้นเหนือกว่าโลกทิพย์เสียอีก ต่อให้เป็นระดับเทพจักรวาลของฝูงมารผลาญทำลายก็ยังมิอาจเคลื่อนที่ในพริบตาได้ ทำได้เพียงค่อยๆ บินเข้ามาเท่านั้น!
ดังนั้นเมื่อฝูงมารผลาญทำลายออกจากทางเดินโลกาพิศวง ก็จะถูกพบร่องรอยตั้งแต่ ‘แดนนอก’ แล้ว เมื่อเข้ามายังแดนในก็ทำได้เพียงค่อยๆ บินไปเท่านั้น แม้บริเวณนั้นจะเล็กมาก แต่หากค่อยๆ บินไป ก็ต้องเสียเวลานานมากทีเดียว! ทำให้ทางฝ่ายผู้บำเพ็ญมีเวลาเพียงพอจะกำจัดพวกเขาทิ้งได้
เมื่อทะลุผ่านปลายสุดของแดนในมา ก็คือป้อมปราการอากาศ!
และนี่ก็คือการป้องกันชั้นสุดท้าย
หากสามารถโจมตีทะลุป้อมปราการอากาศของแดนในได้ ก็สามารถทะลุอุปสรรคและเข้าไปในอากาศอันสับสนอลหม่านอันกว้างใหญ่ได้ ถึงตอนนั้นโลกทิพย์ทั้งห้า จักรวาลจำนวนนับไม่ถ้วนและแผ่นดินอลหม่านก็จะถูกพวกเขารุกรานตามอำเภอใจ
“พวกเขาทำได้เพียงบินทะยานในแดนในเท่านั้น พวกเขาไม่รู้ร่องรอยของพวกเรา พวกเรากลับสามารถพบพวกเขาและล้อมโจมตีได้อย่างง่ายดาย” ประมุขตำหนักเชียนอี้พูดพลางหัวเราะฮิฮิ “นอกจากนี้ต่อให้ฝูงมารผลาญทำลายระดับเทพจักรวาลเก็บงำกลิ่นอายแล้วแทรกซึมเข้ามา แต่ทันทีที่เขาเผยพลังที่แท้จริงออกมา พวกเราก็สามารถใช้การส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้น ส่งเทพจักรวาลกลุ่มหนึ่งไปล้อมโจมตีได้ทันที”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
แม้แดนในจะมีการปิดผนึกที่เยี่ยมยอดอย่างยิ่ง แต่ ‘การส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้น’ นั้นแทบจะมิอาจแก้ไขได้ ไม่ว่าที่แห่งใดก็สามารถฝ่าเข้าไปได้ รวมทั้งทางเดินโลกาพิศวงด้วย! การสำรวจทางเดินโลกาพิศวงของทางฝ่ายผู้บำเพ็ญนั้นก็ล้วนอาศัยการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นเพื่อเข้าไปจนพบพื้นที่รัง หลังจากกำหนดพิกัดแล้ว เทพจักรวาลกลุ่มใหญ่ก็จะบุกเข้าไปทันทีแล้วทำลายรังแห่งนั้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นค่อยอาศัยการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นหนีไปโดยเร็ว!
อาศัย ‘การส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้น’ ทางฝ่ายผู้บำเพ็ญก็สามารถครองโอกาสชนะได้อย่างสิ้นเชิง
ส่วนทางฝ่ายฝูงมารผลาญทำลาย…จวบจนบัดนี้ก็ไม่พบว่ามีการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้น
แน่นอนว่าผู้ที่สามารถทำลายการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นลงได้ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันนั้น มีเพียง ‘จักรพรรดิเก้าเมฆา’ ที่ล่วงลับไปแล้วเท่านั้น ก่อนหน้าที่เขาจะล่วงลับก็ได้ค้นคว้าค่ายกลที่สามารถปิดผนึกการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นขึ้นมาได้
“ทุกท่าน บอกให้ข้าฟังหน่อยเถิดว่า การออกไปสู้รบนี้มีสิ่งใดที่ต้องระวังบ้าง” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม แม้จะรู้ข้อมูลบางอย่างมาบ้าง แต่ขั้นอลวนในที่นี้ล้วนมีประสบการณ์มากกว่า
“เมื่อครู่ประมุขตำหนักอลหม่านกล่าวว่าโดยทั่วไปล้วนเป็นร่างแปรออกไปทำศึก ในคราวคับขัน ร่างจริงจึงค่อยเคลื่อนไหว” ประมุขตำหนักวารีสวรรค์ส่ายหน้า “นั่นก็เพราะร่างแปรของประมุขตำหนักอลหม่านนั้นมีพลังถึงชั้นที่เจ็ดระดับยอด พวกเรานั้นอ่อนแอกว่ามากทีเดียว อย่างข้า ร่างจริงก็มีพลังแค่ชั้นที่เจ็ดระดับยอดเท่านั้น ร่างแปรก็ยิ่งอ่อนแอเข้าไปใหญ่! ลำพังแค่อาศัยร่างแปรก็ไม่ได้อะไรมาเลย ดังนั้นร่างจริงของพวกเราจึงมักจะอยู่ที่แดนใน ให้ร่างแปรสำรวจสงครามเบื้องต้นไปก่อน เมื่อมั่นใจระดับความอันตรายแล้ว ร่างจริงก็จะบุกไป! มีแต่การสังหารฝูงมารผลาญทำลายที่ร้ายกาจพอเท่านั้นจึงจะมีส่วนช่วยวิญญาณ”ของพวกเรามากพอ
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
“ยิ่งเป็นฝูงมารผลาญทำลายที่ร้ายกาจเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความเป็นไปได้ที่จะทิ้งวัสดุล้ำค่าหายากเอาไว้มากขึ้นเท่านั้น” ประมุขตำหนักเชียนอี้ก็กล่าวขึ้น
วัสดุล้ำค่าหายาก…
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้ว่า ไม่เหมือนกับการต่อสู้ภายในเจดีย์ดาวที่ไม่มีประโยชน์ใดๆ
การต่อสู้กับฝูงมารผลาญทำลาย นั้น นอกจากจะเคี่ยวกรำตนเองแล้วยังสามารถดูดซับพลังงานพิเศษซึ่งมีส่วนช่วยวิญญาณอีกด้วย นอกจากนี้บางส่วนบนร่างของฝูงมารผลาญทำลายเหล่านั้นก็พิเศษมาก แม้จะสิ้นใจไปแล้ว ชิ่นส่วนเหล่านั้นก็จะยังคงหลงเหลืออยู่ ซึ่งล้วนแต่เป็นวัสดุที่ล้ำค่ามาก สามารถใช้หลอมเป็นสมบัติล้ำค่าระดับจักรวาลและสมบัติลับชนิดอื่นได้
อย่าง ‘เชิงฉวิน’ ในตอนนั้นก็มีวัสดุที่มาจากทั้งร่างของฝูงมารผลาญทำลาย
เช่นมารผลาญทำลายเกราะทองบางตน เส้นผมสามารถนำมาทำเป็นอาวุธได้ ผมนั้นดุจดั่งอาวุธที่แท้จริง แข็งแกร่งยากทำลาย เช่นนั้นต่อให้สู้จนตัวตาย ผมก็จะยังคงหลงเหลืออยู่ ซึ่งผมนี้สามารถนำมาหลอมเป็นสมบัติลับได้ บางทีอาจจะมีมูลค่าหลายพันไปจนถึงนับหมื่นศิลาปฐมโลกาเลยทีเดียว!
เรื่องนี้ต้องอาศัยโชค! เพราะต้องเป็นผู้ที่บรรลุถึงขั้นชิ้นส่วนของร่างกายได้แปรเป็นอาวุธและยากทำลายเท่านั้น ฝูงมารผลาญทำลายส่วนใหญ่ เมื่อตัวตายไปแล้ว ร่างกายก็จะแตกทำลายไปอย่างสิ้นเชิง
“ข้าติดอยู่ที่ขีดจำกัดมานานเกินไปแล้ว สำหรับข้าแล้ว ประโยชน์ที่ฝูงมารผลาญทำลายมีต่อข้านั้นสามารถมองข้ามไปได้เลย” ประมุขตำหนักอลหม่านพูดพลางหัวเราะคิก “ตงป๋อ เจ้าเพิ่งบรรลุได้ไม่นานเท่าใดนัก ต้องพยายามสู้ให้เต็มที่ล่ะ”
“เข้าใจแล้วขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
“นอกจากนี้ เจ้ายังสามารถไปลองสำรวจทางเดินโลกาพิศวงดูได้ด้วย” ประมุขตำหนักอลหม่านยิ้มน้อยๆ
………………………………..