บทที่ 16 เซียงหลิ่ว Ink Stone_Fantasy
ซูจื่อจวินบิดเอว เงยหน้ายกขวดในมือขึ้นสูง ดื่มน้ำสีแดงในขวดนมจนหมดภายในคำเดียว…นั่นคือเลือดสด
ซูจื่อจวินถอนหายใจอย่างหนักหน่วงเช็ดมุมปากของตนเอง นั่งไขว่ห้างมองดูลั่วลั่วเพียนเซียนที่มีสีหน้าซีดขาวและพูดอย่างเรียบเฉยว่า “ฉันทำกิจกรรมเก็บเลือดปีศาจมาตั้งมากมาย เธอดันไม่ไปเอามา แต่กลับใช้เลือดของตัวเอง เธอโง่หรือเปล่า?”
“อา!” ลั่วลั่วเพียนเซียนชะงัก คิดครู่หนึ่งแล้วถึงพูดอย่างแปลกใจว่า “พี่จื่อจวิน ที่พี่เก็บเลือดตั้งเยอะแยะไม่ใช่เพื่อตรวจสุขภาพ แต่เพื่อดื่มเองงั้นเหรอ!”
“…” ซูจื่อจวินถอนหายใจ ส่ายหน้า “ต้องมีสักวันที่เธอยั่วโมโหฉันจนตาย เธอเคยโมโหบ้างไหม?”
“ทำไมฉันต้องโมโหด้วยละ?” ผีเสื้อน้อยเอียงคอถาม
ซูจื่อจวินบีบขวดในมือจนแตก เศษแก้วแตกกระจายตกอยู่เต็มพื้น
เมื่อปีศาจผีเสื้อน้อยเห็นสถานการณ์ก็รีบลุกขึ้น “แย่แล้ว พี่จื่อจวิน บาดมือหรือเปล่า? อ๊า ที่นี่สกปรกแล้ว ต้องรีบทำความสะอาด ไม่อย่างนั้นพี่หลงกลับมาต้องโมโหแน่!”
เมื่อซูจื่อจวินมองเห็นเธอที่ดูอ่อนแรง ดวงตาไร้แววแต่ยังคิดจะหาอุปกรณ์มาทำความสะอาดอยู่ก็กัดฟันยืนขึ้นมา ใช้มือหนึ่งดึงแขนของลั่วลั่วเพียนเซียนมาที่เตียง
ซูจื่อจวินพลิกตัวขึ้นมานั่งทับบนตัวลั่วลั่วเพียนเซียน จากนั้นก็ก้มตัวลงไปให้ปลายจมูกของตนเองชนกับปลายจมูกของปีศาจผีเสื้อน้อยและสบตากับเธอแบบนั้น
“พี่จื่อจวิน? เป็นอะไรหรือคะ?” ลั่วลั่วเพียนเซียนถามอย่างไม่เข้าใจ ถึงแม้จะถูกนั่งทับก็ตาม
“มองดูฉัน ดูตาของฉัน”
ซูจื่อจวินถามขึ้นมา “มองเห็นไหม? ดวงตาสีแดงคู่นี้ ฉันถามเธอ เธอกลัวหรือเปล่า?”
ลั่วลั่วเพียนเซียนจ้องมองอย่างตั้งใจครู่หนึ่งแล้วก็พูดขึ้นในทันใดว่า “พี่จื่อจวิน! พี่กำลังโมโหหรือเปล่า? มีขี้ตาอยู่ในตา! ให้ฉันช่วยเช็ดนะ?”
“…”
น่าอายชะมัด
…
ซูจื่อจวินกระแอมไอเบาๆ ก่อนลงมาจากร่างของผีเสื้อน้อย นั่งอยู่หัวเตียงนิ่งเงียบไม่พูดจา
ลั่วลั่วเพียนเซียนก็ลุกขึ้นนั่ง “พี่จื่อจวินยังรู้สึกไม่สบายอยู่ไหม? หรือฉันไปเอาเลือดมาให้อีก?”
“พอ ไม่ต้องแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงฉันขนาดนั้น” ซูจื่อจวินส่ายหน้า มองผีเสื้อน้อย ริมฝีปากขยับเหมือนจะพูดอะไรอีก แต่ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้พูดอย่างฉับพลันว่า “ปีศาจหนูตนนั้นไม่ได้กลับมาอีกใช่ไหม?”
“พี่พูดถึงซ้อปีศาจหนูงั้นเหรอ” ลั่วลั่วเพียนเซียนส่ายหน้าตอบว่า “ไม่ได้มาเลยค่ะ เมื่อกี้นี้พี่จื่อจวินดุมาก ซ้อปีศาจหนูกับชีสหวาดกลัวไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“งั้นหรือ” ซูจื่อจวินพูดว่า “ไม่กลับมาก็ดีแล้ว ตัดใจเร็ว ยอมรับความจริง เจ็บปวดสั้นดีกว่าเจ็บปวดนาน ดีต่อทุกๆ คน”
“พี่จื่อจวิน เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมพี่ถึงบาดเจ็บได้?”
ซูจื่อจวินหัวเราะเยาะขึ้นในทันใด “เป็นเพียงเรื่องพังๆ ที่พวกหัวถูกประตูหนีบทำ หากไม่ใช่เพราะอาการบาดเจ็บเก่าของฉันยังไม่หายดี อาศัยเพียงพวกนั้นอย่าคิดจะมาสัมผัสโดนตัวฉัน”
“พี่จื่อจวิน?”
ซูจื่อจวินพูดขึ้นในทันใดว่า “ฉันถามเธอหน่อย เธอรู้ไหมว่าทำไมหลงซีรั่วถึงเฝ้าอยู่ที่นี่? เหตุใดนอกจากที่นี่แล้วยังมีเอลิเซียมบาร์อีก? อีกอย่างทำไมที่นี่ถึงมีปีศาจอยู่ค่อนข้างเยอะ?”
ลั่วลั่วเพียนเซียนคิดครู่หนึ่งแล้วถึงพูดว่า “ก่อนหน้านี้ฉันเคยได้ยินปู่ปีศาจต้นไม้พูดว่า นับแต่โบราณมาบริเวณนี้ก็มีพลังวิญญาณค่อนข้างเยอะ เป็นเพราะสิ่งนี้หรือเปล่า?”
“พลังวิญญาณคือพื้นฐานในการดำรงชีวิตของปีศาจ”
ซูจื่อจวินพยักหน้า “ปีศาจส่วนมากมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่กินอะไรเป็นเวลานาน แต่ไม่สามารถขาดพลังวิญญาณได้ ตอนนี้สถานที่ต่างๆ ถูกมนุษย์พัฒนามากขึ้นเรื่อยๆ สถานที่ที่ปีศาจสามารถอยู่ได้ก็น้อยลงไปเรื่อยๆ แต่พลังวิญญาณในเมืองนี้กลับมีอยู่มากมายนับตั้งแต่โบราณ แม้จะมีตึกสูงระฟ้าตั้งตระหง่านอยู่เต็มไปหมด แต่ก็ยังมีพลังวิญญาณมากกว่าป่าลึกหลายเท่าตัว เธอรู้ไหมว่าเพราะอะไร?”
ลั่วลั่วเพียนเซียนส่ายหน้า
ซูจื่อจวินพูดด้วยสีหน้าที่ดูจริงจังว่า “นั่นก็เป็นเพราะลึกลงไปใต้ดินของสถานที่แห่งนี้มีเส้นสายพลังวิญญาณขนาดใหญ่อยู่ตั้งแต่สมัยโบราณ โบราณกล่าวว่า สถานที่ดีสร้างคนโดดเด่น สถานที่ดีนั้นหมายถึงดินน้ำดี บริเวณนี้มีพลังวิญญาณดินน้ำที่สมบูรณ์ อยู่อาศัยได้ง่ายและก็เหมาะแก่การอยู่อาศัยของปีศาจอีกด้วย”
ลั่วลั่วเพียนเซียนพูด “ว้าว ที่แท้ที่นี่ก็มีเส้นสายพลังวิญญาณซ่อนอยู่…มิน่าฉันถึงได้เห็นปีศาจเยอะขนาดนี้ และก็มีพวกวิญญาณที่แปลงร่างได้อีก รวมถึงสัตว์เล็กๆ ที่อาศัยอยู่ที่นี่ก็มีแต่ฉลาดเฉลียว!”
“เส้นสายพลังวิญญาณเส้นนี้เป็นหนึ่งในเส้นสายพลังวิญญาณระยะแรกเริ่มที่หาได้ยากยิ่ง”
ซูจื่อจวินพูดขึ้นอีกว่า “เส้นสายพลังวิญญาณส่วนมากในแผ่นดินเทพล้วนอยู่ในช่วงหมดพลัง หลงซีรั่วเป็นมังกรแท้ตนสุดท้าย ยากมากกว่าเธอจะหาที่นี่พบดังนั้นจึงต้องเฝ้ารักษาที่นี่ไว้เป็นอย่างดี ไม่อย่างนั้นอาจถูกพวกหัวร้อนคิดอะไรไม่ดีกับเส้นสายพลังวิญญาณเส้นนี้ได้”
ซูจื่อจวินส่ายหน้า “แต่ข่าวคราวที่ช่วงนี้เธอไม่อยู่คงจะถูกเล่าลือออกไปแล้ว…พวกโลภมากถึงได้เริ่มคิดอะไรไม่ดี”
ลั่วลั่วเพียนเซียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง ถึงจะรู้สึกตะลึงที่รู้ว่าที่นี่มีเส้นสายพลังวิญญาณขนาดใหญ่อยู่เส้นหนึ่งก็เถอะ “แต่เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับลุงปีศาจหนูงั้นหรือ?”
ซูจื่อจวินขมวดคิ้ว “เมื่อคืน ที่ฉันหาเธอไม่พบเพราะมีเจ้าบ้าน่ารังเกียจคนหนึ่งกำลังจะกลับมา ฉันไม่อยากอยู่ต่อจึงออกมาก่อน หลังจากฉันหาแมลงปีกแข็งหนวดยาวที่รอฉันพบแล้ว…”
เธอเริ่มเล่าเรื่องราวที่เธอพบเจอ
…
…
แมลงปีกแข็งหนวดยาวมีชื่อว่าไป๋ซวีเวิง เป็นปีศาจที่เกิดอยู่บนเนินเขาแห่งนั้น ไม่มีครอบครัว อยู่ด้วยตนเอง
ไม่ขัดแย้งกับใคร หลบอยู่ในเนินเขาอย่างสงบ ไปเอลิเซียมบาร์ดื่มเหล้าสองจอกเป็นบางครั้งแลกเปลี่ยนข่าวสารกับกลุ่มปีศาจ ผ่านไปวันแล้ววันเล่า ไม่เคยคิดว่าตนเองจะถูกปีศาจที่แข็งแกร่งมาควบคุมตัว
อย่างเช่นตนหนึ่งตรงหน้า…ดูจากกลิ่นอายที่แผ่ออกมา เกรงว่าคงไม่ใช่ปีศาจเฒ่าที่แท้จริง?
หลังออกจากเอลิเซียมบาร์แล้ว ไป๋ซวีเวิงสร่างเมาไม่น้อย เมื่อสงบสติลงถึงรู้สึกว่าสถานการณ์ของตนเองดูไม่ค่อยดีสักเท่าไร
“เอ่อ…ขอถามใต้เท้าท่านนี้ ท่านมาจากไหนกัน?”
ถึงจะบอกว่าพาซูจื่อจวินไปที่พักของตนเอง แต่ไป๋ซวีเวิงจะกล้าเดินนำหน้าปีศาจเฒ่าผู้นี้ได้อย่างไร? ตอนนี้ทำได้แต่ถามจากด้านหลัง
“ถึงเจ้าจะตัวน้อย แต่คำพูดกลับไม่น้อยเลย” ซูจื่อจวินพูดขึ้นอย่างเฉยชา
ไป๋ซวีเวิง…ไป๋ซวีเวิงอ้าปาก ตลอดทางที่ผ่านมาเขาเพิ่งพูดประโยคนี้ประโยคเดียวนิ?
เกรงว่าปีศาจเฒ่าผู้นี้น่าจะมีนิสัยก้าวร้าว
“ฉันได้ยินกุยเชียนอีพูดว่าช่วงนี้เจ้าเหมือนร่ำรวยขึ้นมา ไปใช้จ่ายอยู่ในบาร์ทุกวัน ใช่ไหม?” ทันใดนั้นซูจื่อจวินก็หยุดลง หันกลับไปหรี่ตาจ้องมองปีศาจแมลงปีกแข็งหนวดยาวตนนั้น
ที่นี่อยู่ห่างไกล เป็นเขตนอกเมือง…อยู่ภายในเนินเขา
ดวงตาของซูจื่อจวินแดงก่ำมีรอยยิ้มชั่วร้ายอยู่บนใบหน้า เธอมองไป๋ซวีเวิงอย่างนั้น ไป๋ซวีเวิงกลืนน้ำลาย ก้าวถอยหลังไปอย่างควบคุมไม่ได้ “ใต้ ใต้เท้า ท่าน ท่านคิดจะทำอะไร…”
“ข้าคิดจะทำอะไรงั้นหรือ?” ซูจื่อจวินยิ้มเยาะพูดว่า: “ข้ายังคิดจะถามเจ้าว่าที่จงใจพาข้ามาที่นี่นั้นเพื่ออะไร?”
“ใต้ ใต้เท้า ข้าไม่รู้!”
“ไม่รู้งั้นหรือ?” เสียงของซูจื่อจวินเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ ทันใดนั้นก็เลียริมฝีปากและพูดว่า: “วางใจเถอะ ข้าจะทำให้เจ้าจำได้เอง ถึงข้าจะไม่ค่อยได้ดื่มเลือดของแมลงปีกแข็งหนวดยาวสักเท่าไร ยิ่งแก่เหมือนเจ้าข้าก็ยิ่งไม่สนใจ แต่…”
“แต่ แต่อะไร…” ไป๋ซวีเวิงขาอ่อนอย่างฉับพลัน พลังกดดันจากปีศาจเฒ่าทำให้สองขาของเขางอคุกเข่าลงอย่างควบคุมไม่อยู่ ร่างกายสั่นสะท้าน
ทันใดนั้นรอบด้านก็มีเสียงแสบแก้วหูเหมือนกระจกแตกดังเข้ามา
ซูจื่อจวินเงยหน้ามองไปก็เห็นเงาร่างหนึ่งยืนอยู่บนต้นไม้ที่ปลายสุดของแสงจันทร์ และส่งเสียงเข้ามาว่า “ทำไมองค์หญิงต้องทำให้คนที่ไม่รู้เรื่องอะไรลำบากด้วย?”
ไป๋ซวีเวิงรวบรวมความกล้ารีบลุกขึ้นมา “ใต้เท้ากุ่ย ช่วยข้าด้วย! ข้าทำตามที่ท่านบอกพาเจ้านี่มาที่นี่แล้ว…ใต้เท้ากุ่ย ท่านต้องช่วยข้านะ!”
เห็นเงาร่างนั้นไถลตัวลงมาจากบนต้นไม้วาบผ่านข้างตัวของไป๋ซวีเวิงอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็ไปหยุดอยู่ตรงหน้าของซูจื่อจวิน
ส่วนในตอนนี้หัวของไป๋ซวีเวิงคนนั้นได้หายไปแล้ว
ถูก…ถูกเจ้าของเงาร่างเด็ดลงมาถืออยู่ในมือ “ข้าให้เจ้าพาคนน่าสงสัยมาที่นี่ ไม่ได้บอกให้เจ้าพาพวกตัวปัญหามา…เจ้าคนไร้ประโยชน์ ไม่รู้จักผู้ที่อยู่ตรงหน้า”
คนที่อยู่ตรงหน้าเป็นคนหัวโล้น ดวงตาเหมือนเหยี่ยวแต่กลับมีคิ้วสีแดงดุจเพลิง รูปร่างสูงใหญ่แต่กลับผ่ายผอมมาก
ใต้เท้ากุ่ยโยนหัวของไป๋ซวีเวิงทิ้งแล้วถึงยิ้มพูดว่า “ข้าพูดถูกไหม? องค์หญิง…อ้อ จริงสิ ตอนนี้น่าจะเป็นเชื้อสายราชวงศ์เซวียนหยวนคนสุดท้ายที่กลับชาติมาเกิดใหม่ถึงจะถูก”
“เซียงหลิ่ว ที่แท้ก็เป็นเจ้า” ซูจื่อจวินขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เจ้ายังไม่ตาย…”