บทที่ 6 บทที่ 17 พวกเราไปหาเจ้าของสมาคมกันเถอะ!

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

บทที่ 17 พวกเราไปหาเจ้าของสมาคมกันเถอะ! Ink Stone_Fantasy

 

คนหัวล้านคิ้วสีแดงตรงหน้าของซูจื่อจวิน…เซียงหลิ่วยิ้ม “ทุกอย่างในโลกล้วนมีทางรอด องค์หญิงน่าจะรู้ดีกว่าข้าถึงจะถูก?”

ซูจื่อจวินขมวดคิ้วไม่มีอารมณ์จะไปพูดคุยเล่นกับคนตรงหน้าจึงพูดตรงๆ ว่า “เซียงหลิ่ว เจ้ายังไม่ตายกลับไม่หาที่สงบๆ พักผ่อน ยังกลับมาทำอะไรอีก?”

 “ก็ต้องกลับมาตอบแทนบุญคุณในครั้งนั้นของใต้เท้าหลงนะสิ” เซียงหลิ่วพูด “พวกเราไม่มีเจตนาปะทะกับองค์หญิง ไม่ทราบว่าองค์หญิงจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นมองดูอยู่รอบนอกได้หรือไม่?”

ซูจื่อจวินหรี่ตาลง

เซียงหลิ่วยิ้มพูดว่า “ครั้งนั้นองค์หญิงเลือกกลับชาติมาเกิดใหม่ ก็เพราะอยากจะละทิ้งเรื่องในโลกปีศาจมิใช่หรือ? ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ทำไมองค์หญิงต้องร่วมลุยน้ำขุ่นนี่ด้วย? วันนี้เซียงหลิ่วสามารถพลิกดินกลับคืนมาก็ไม่อาจสับสนกับครั้งนั้นได้…ขอให้องค์หญิงคิดให้ดี”

ซูจื่อจวินหัวเราะขึ้นมาและยิ้มเยาะ “ครั้งนั้นหลงซีรั่วคิดถึงว่าสายเลือดของซียงหลิ่วเหลือแต่เจ้าเป็นคนสุดท้าย ไม่อยากให้เผ่าพันธุ์ของโลกปีศาจลดน้อยลงอีกถึงได้ทำลายพลังทั้งชีวิตของเจ้าและไว้ชีวิตไล่เจ้าออกมา คิดไม่ถึงว่าร้อยปีผ่านไป เจ้าจะยังไม่เปลี่ยนแปลง เจ้ากลับมาในครั้งนี้มีแผนชั่วอะไร?”

 “ฟังจากน้ำเสียงขององค์หญิงแล้วคือคิดจะยุ่งเรื่องในครั้งนี้ใช่ไหม?” เซียงหลิ่วพูดอย่างเรียบเฉย

ซูจื่อจวินพูดว่า “เรื่องของโลกปีศาจนั้นข้าไม่สนใจจะไปจัดการ แต่ข้าซูจื่อจวิน…ไม่ชอบให้ใครมาสั่ง เซียงหลิ่ว เจ้ายังไม่มีสิทธิ์นั้น”

 “เช่นนั้นก็น่าเสียดายแล้ว องค์หญิง…” เซียงหลิ่วยิ้มเยาะ “ที่เซียงหลิ่วเรียกท่านว่าองค์หญิงก็ถือว่าได้ไว้หน้าท่านแล้ว ในเมื่อองค์หญิงไม่ยอมรับไมตรีของเซียงหลิ่ว เช่นนั้นก็อย่าโทษว่าเซียงหลิ่วดูหมิ่นก็แล้วกัน”

 “อาศัยแค่เจ้างั้นหรือ?”

 “องค์หญิง อย่าลืมว่าท่านในตอนนี้ไม่ได้อยู่ในร่างมังกรที่แท้จริง! ลดระดับลงมาเป็นผีดิบ ท่านกับข้าก็ไม่แตกต่างกัน!” เซียงหลิ่วโบกมือ บนฝ่ามือมีแสงสีม่วงวาววาบ “เมื่อไม่มีพลังวิญญาณมังกรที่แท้จริง ท่านก็อย่าได้คิดว่าจะกดดันข้าได้!”

ซูจื่อจวินตวัดมือสองมือ ดวงตาแดงฉาน ฟันแหลม กรงเล็บสีดำคมกริบโผล่ออกมา

สัตว์เล็กสัตว์น้อยหลากหลายชนิดบริเวณเนินเขาใกล้เคียงสัมผัสได้ถึงพลังสองสายก็พากันหวาดกลัวต่อกลิ่นอายปีศาจอันแข็งแกร่ง

แต่สัตว์เล็กสัตว์น้อยต่างก็ไม่รู้ว่าสองคนที่ต่อสู้กันนี้ต่างเคยสั่นคลอนแผ่นดินเทพ พวกมันเงยหน้าเห็นแสงสองสายวาววาบเป็นภาพวาดบนท้องฟ้ายามคืนใกล้พระอาทิตย์ขึ้น ดูงดงามมาก!

แสงสีแดงเข้มโอบล้อมข้างกายซูจื่อจวิน พุ่งเข้าโจมตี! การโจมตีแต่ละสายดุจดั่งการรัวกลองอย่างต่อเนื่องไม่หยุด โจมตีเข้าร่างของเซียงหลิ่วเหมือนคลื่นซัด

ด้วยการโจมตีที่ดุจดั่งพายุ สีหน้าของเซียงหลิ่วกลับดูสงบนิ่ง รับการโจมตีอย่างผ่อนคลาย แม้จะอยู่ใต้ลมแต่กลับเหมือนงูพิษที่รอคอยจังหวะโจมตีกลับ

 “ถึงแม้องค์หญิงจะไม่อยู่ในร่างมังกรแต่ก็ดูเหมือนว่ากำลังจะลดน้อยลงกว่าเมื่อร้อยปีก่อน เป็นเพราะอยู่ในโลกมนุษย์นานจนลบความคมของกรงเล็บปีศาจไปหมดแล้วหรือเปล่า?”

 “เซียงหลิ่ว เจ้าคิดจะก่อกวนข้าให้สับสน? ไม่มีประโยชน์! ข้าอยากรู้นักว่าเจ้ามีความอดทนมากน้อยเพียงใด…เจ้าสามารถอดทนไม่ตอบโต้ได้นานแค่ไหน…มีความสามารถจะอดทนรอจนข้ามีช่องว่างได้หรือไม่!”

ซูจื่อจวินเพิ่มความเร็วขึ้นอีกขั้น!

สีหน้าของเซียงหลิ่วยังคงสงบนิ่ง เพียงแต่ดวงตาหดตัวลง…มีแต่ตัวเขาเองที่รู้ว่าการโจมตีที่รวดเร็วขนาดนี้นั้นรับมือยากแล้ว

บึม!

หลังจากแสงวาววาบ เซียวหลิ่วก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่หน้าอกจากกำปั้นหนักของซูจื่อจวิน

หมัดนี้โจมตีจนเซียงหลิวตกลงไปยังภูเขาด้านล่างลบล้างคำพูดดูหมิ่นของเขา เขามองดูรูปร่างเล็กๆ ที่ยืนอยู่อย่างหยิ่งผยองใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนกับพลังปีศาจสีเลือดที่อยู่เหนือสัดส่วน เซียงหลิ่วเช็ดรอยเลือดที่มุมปากและยืนขึ้นมา

เขาเงยหน้าขึ้นมองซูจื่อจวิน ยิ้มและพูดว่า “องค์หญิงยังร้ายกาจเช่นเคย…เซียงหลิ่วขอถามอีกครั้ง องค์หญิงต้องการจะขวางข้าจริงๆ นะหรือ?”

 “ชิ ข้าจะชอบทำอะไร ก็ไม่มีใครสามารถสั่งข้าได้!”

 “องค์หญิง เซียงหลิ่วสาบานได้ ไม่ว่าข้าจะทำอะไร ข้าก็จะไม่ปะทะกับท่าน ขอเพียงท่านยอมรามือเท่านั้น ท่านจะว่าอย่างไร?”

 “น่าขัน” ซูจื่อจวินยิ้มเยาะ “เจ้าปรากฏตัวอยู่ที่นี่ หรือข้าจะยังไม่รู้อีกว่าเจ้าคิดจะทำอะไร? เส้นสายพลังวิญญาณระยะแรกเริ่มบนแผ่นดินเทพยังเหลือมากน้อยแค่ไหน? ทุกการสูญหายของเส้นสายพลังวิญญาณก็เหมือนกับการตัดทางรอดชีวิตของเหล่าปีศาจ! ถึงข้าจะไม่สนใจเรื่องในโลกปีศาจ แต่สำหรับเจ้าที่เป็นอันตรายต่อทั้งโลกปีศาจแล้ว ข้าก็ไม่อาจอยู่ดูเฉยๆ ได้!”

เซียงหลิ่วขมวดคิ้ว พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “องค์หญิง เซียงหลิ่วมีคำพูดที่ไม่รู้ว่าควรพูดดีหรือไม่”

 “ไม่ต้องเสียเวลาพูด!” พลังปีศาจสีเลือดบนร่างของซูจื่อจวินบ้าคลั่งขึ้น “หลงซีรั่วอาจจะสงสารพวกเจ้าที่ใกล้สูญพันธุ์ แต่ข้านั้นไม่!”

 “เมฆดำกดทับฟ้าดิน เกราะทองมังกรบิน!” เซียงหลิวตะโกนขึ้นอย่างกะทันหัน “สองเดือนสอง มังกรทะยานฟ้า!”

สองมือของซูจื่อจวินหล่นลงในพริบตา พลังปีศาจอันแข็งแกร่งก็หยุดลงอย่างกะทันหัน พูดอย่างไม่รู้สึกตัวว่า “เจ้า เหตุใดเจ้า…”

แสงสีทองสายหนึ่งพุ่งออกมาจากป่าในทันใด โจมตีเข้าใส่แผ่นหลังของซูจื่อจวิน…จนทะลุ!

หลังแสงสีทองโจมตีทะลุร่างของซูจื่อจวินแล้ว ก็หมุนกลับกลางอากาศแล้วค่อยๆ วาบเข้าไปในป่า ส่วนดวงตาของซูจื่อจวินก็มืดสนิทตกลงมาจากอากาศ

 “อ้า!”

ฟังมาถึงตรงนี้ ลั่วเพียนเซียนก็ส่งเสียงร้องออกมา ทั้งยังเริ่มเปิดเสื้อผ้าของซูจื่อจวินดู

 “เธอทำอะไร?”

 “พี่จื่อจวิน ร่างกายของพี่ทะลุไม่ใช่เหรอ? ต้องรักษา!” ลั่วเพียนเซียนพูดอย่างมีเหตุผล “ให้ฉันดูว่าบาดเจ็บตรงไหน? เป็นชิ้นส่วนนี้ของหน้าอกใช่ไหม?”

ซูจื่อจวินจับคอเสื้อของตนเองโดยไม่รู้ตัว…เจ้านี้ ไม่รู้หรือว่าการถอดเสื้อส่วนหน้าอกของผู้หญิงเป็นเรื่องเสียมารยาทมาก?

 “ไม่ต้องแล้ว ฉันก็อยู่ที่นี่อย่างสบายดีมิใช่หรือ?” ซูจื่อจวินส่ายหน้า “บาดแผลฟื้นฟูแล้ว หลงเหลือเพียงพลังประหลาดบางส่วน และเธอก็ช่วยฉันไม่ได้”

 “งั้นเหรอคะ…” ลั่วเพียนเซียนพยักหน้า “แล้วต่อมาเป็นยังไงคะ?”

ซูจื่อจวินติดกระดุมเสื้อของตนเองพร้อมพูดว่า “ฉันคิดว่าเซียงหลิ่วน่าจะมีพวก ฉวยโอกาสตอนฉันสติหลุดใช้อาวุธพิสดารอะไรมาลอบโจมตีฉัน ฉันมองเห็นไม่ชัด แต่ดูเหมือนของสิ่งนั้นจะส่งผลกระทบต่อปีศาจมาก…แต่ก็ไม่เหมือนฝีมือของนักพรตฝั่งตะวันออก”

 “ร้ายกาจถึงขนาดนั้นเลยเหรอ!” ลั่วเพียนเซียนพูดอย่างเป็นกังวล “พี่จื่อจวิน แม้แต่พี่ก็สู้ไม่ได้!”

 “ฉันเพียงแต่ชะล่าใจไปชั่วขณะก็เท่านั้น!” ซูจื่อจวินสบถอย่างเย็นชาไปคำหนึ่ง “ครั้งนี้เกิดเรื่องไม่คาดคิด หากมาอีกครั้งฉันก็เตรียมพร้อมแล้ว อย่าคิดจะมาทำให้ฉันบาดเจ็บได้!”

 “อืม!” ลั่วเพียนเซียนพยักหน้าด้วยความเชื่อมั่น จากนั้นก็ถามอย่างสนใจว่า “พี่จื่อจวิน หลังจากพี่ถูกโจมตีตกลงมาแล้วเป็นยังไงต่อ? เซียงหลิ่วคนนั้นไล่ตามมาไหม?”

ซูจื่อจวินยิ้มเยาะพูดว่า “เจ้านั่นโหดเหี้ยมมาก จะไม่ไล่ตามฉันมาได้ยังไง? แต่ตอนนั้นฉันถูกพลังแปลกประหลาดเข้าแทรกทำให้ขยับไม่ได้…”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ ซูจื่อจวินมองดูผีเสื้อน้อยแวบหนึ่ง เห็นสีหน้าของนางขาวซีดขึ้นอีก จับผ้าห่มบนเตียงไว้แน่น กัดฟันเบาๆ ท่าทางเหมือนตกใจมาก จึงถอนหายใจ ส่ายหน้าพูดว่า “ฉันกลับมาอย่างปลอดภัยมิใช่หรือ? วางใจเถอะ สุดท้ายแล้วก็มีคนมาช่วยฉันไว้”

 “ใครกัน?”

ซูจื่อจวินขมวดคิ้วพูดว่า “ฉันไม่รู้ ได้ยินแต่เสียงเหมือนจะเป็นผู้หญิง…จากนั้นอยู่ดีๆ รอบด้านก็เกิดหิมะ คลื่นความหนาวเย็นต้านเซียงหลิ่วเอาไว้ชั่วขณะ ฉันถึงฉวยโอกาสหนีมา”

 “อืม…เป็นใครกัน?” ลั่วเพียนเซียนคิดอยู่ครู่หนึ่งถึงพูดว่า “เสียงผู้หญิง คงไม่ใช่ว่าเป็นพี่หลงที่กลับมาแล้วหรอกนะ?”

 “หากเป็นยายเฒ่าคนนั้นกลับมา อิงตามนิสัยของเธอคงจะจับเซียงหลิ่วมาแล้ว จะอ้อมค้อมอย่างนั้นหรือ?”

 “ที่พูดก็ถูก…” ลั่วเพียนเซียนพยักหน้า “ใช่แล้ว พี่จื่อจวิน เซียงหลิ่วคนนี้พูดอะไรกัน? ถึงได้ทำให้พี่สติหลุด?”

 “ไม่มีอะไร เป็นคำพูดที่น่าสะอิดสะเอียน เธอไม่ต้องเก็บเอาไปใส่ใจ” ซูจื่อจวินพูด

 “อืม…” ลั่วเพียนเซียนพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง จากนั้นก็รู้สึกกังวลใจขึ้นมา “พี่จื่อจวิน พี่ได้รับบาดเจ็บ หากเซียงหลิ่วคนนั้นกับพวกของเขาไล่ตามมาหา จะทำยังไงดี!”

 “ฉันมั่นใจว่าเขาไม่กล้าออกมาจากเนินเขาแห่งนั้น”

ซูจื่อจวินส่ายหน้าพูดว่า “ฉันถูกลอบโจมตีถึงได้บาดเจ็บ แต่เขายังไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับฉัน จะไม่มายั่วฉันง่ายๆ แน่นอน อีกอย่าง ถ้าหากเป้าหมายของเขาเป็นเส้นสายพลังวิญญาณเส้นนี้จริงๆ เขาก็จะไม่จากไปในเวลานี้”

ซูจื่อจวินถอนหายใจ “เมื่อครั้งที่หลงซีรั่วหาเส้นสายพลังวิญญาณเส้นนี้พบก็ขอให้ฉันมาด้วย พวกเราสองคนรวมพลังกันทำให้เส้นสายพลังวิญญาณเส้นนี้มั่นคง ลงผนึกทั้งหมดสามผนึกรอบเมืองนี้ บริเวณเนินเขาแห่งนั้นก็เป็นหนึ่งในผนึกที่วางเอาไว้ หากเขาคิดจะคลายผนึกก็ไม่อาจหยุดกลางคันได้ ไม่เช่นนั้นทุกอย่างที่ลงแรงมาก็จะสูญเปล่า…เขายอมไม่ได้แน่นอน เพียงแต่…”

 “เพียงแต่อะไร?”

ซูจื่อจวินขมวดคิ้ว “ฉันไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังของเซียงหลิ่วดี นอกจากเจ้าคนที่ลอบโจมตีฉันแล้วเขายังมีพวกอื่นๆ อีกหรือไม่ก็ไม่รู้ ยากที่จะรับประกันว่าเขาจะไม่ส่งพวกหรือลูกน้องมาสืบเรื่องฉัน ยายเฒ่าก็ไม่อยู่ที่นี่ อันตรายเกินไปที่จะอยู่ในโรงพยาบาล ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาต้องหาที่อยู่ของพวกเราเจอ”

 “ฉันเข้าใจแล้ว!” ลั่วเพียนเซียนยิ้มขึ้นมาโดยพลัน และพูดว่า “พี่จื่อจวินก็เลยไล่ซ้อปีศาจหนูไป เพราะกลัวว่าเรื่องของลุงปีศาจหนูจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของเซียงหลิ่ว จึงกลัวว่าซ้อปีศาจหนูจะต้องเผชิญหน้ากับอันตราย!”

 “เธอคิดมากไปแล้ว! ฉันแค่ไม่ชอบให้มีคนมาร้องไห้ฟูมฟายต่อหน้าก็เท่านั้น! ปีศาจตนอื่นจะเป็นอันตรายหรือไม่นั้นไม่เกี่ยวกับฉัน?” ซูจื่อจวินสบถออกมาคำหนึ่ง

 “เอาละ พี่จื่อจวินพูดว่าไม่เกี่ยวก็ไม่เกี่ยว”

แต่เมื่อเห็นซูจื่อจวินถลึงตาใส่ ลั่วเพียนเซียนก็แลบลิ้น และรีบเปลี่ยนคำพูดว่า “แต่ในเมื่อที่นี่ไม่อาจอยู่ได้นานแล้วพวกเราจะไปที่ไหนกัน? เอาอย่างนี้ พี่จื่อจวิน พวกเราไปเอลิเซียมบาร์กันไหม? ฉันเห็นว่าคุณกุ่ยอิงดูคุ้นเคยกับพี่มากไม่ใช่หรือ?”

 “ตีฉันให้ตาย ฉันก็ไม่ไปที่นั่น!” ซูจื่อจวินสบถออกมา “ให้ฉันไปที่นั่น ฉันยอมต่อสู้กับเซียงหลิ่วอีกรอบดีกว่า!”

 “แต่พี่บาดเจ็บอยู่ไม่ใช่เหรอ?”

ลั่วเพียนเซียนลูบหัวของซูจื่อจวินและพูดว่า “พี่จื่อจวิน อย่าดื้อเลย! ปู่ปีศาจต้นไม้เคยบอกฉันว่าการมีหน้านั้นไม่สำคัญ ชีวิตถึงสำคัญกว่า”

 “อยากไปเธอก็ไปเองสิ ฉันอยู่ที่อื่นได้” ซูจื่อจวินสบถ “อีกอย่าง อย่ามาลูบหัวฉัน!”

ลั่วเพียนเซียนเอียงคอ รู้สึกกระดากใจ พูดว่า “อา พวกเราไปหาเจ้าของสมาคมได้! ให้เขาช่วยคุ้มครองพี่ชั่วคราว!”

 “เจ้าของสมาคม? เจ้าของสมาคมอะไร?” ซูจื่อจวินขมวดคิ้วขึ้น “ถึงเซียงหลิ่วจะไม่ใช่ปีศาจเฒ่าอะไร แต่ก็อันตรายไม่น้อยไปกว่าปีศาจเฒ่า ไม่ใช่อะไรที่หมาแมวที่ไหนจะต่อกรได้!”

 “แต่เจ้าของสมาคมเก่งมากนะ!” ตอนนี้ลั่วเพียนเซียนยื่นนิ้วออกมา ถูกนิ้วโป้งกับนิ้วชี้เบาๆ “แต่ดูเหมือนต้องเสียค่าใช้จ่ายสักหน่อย…”

 “ค่าใช้จ่าย?” ซูจื่อจวินขมวดคิ้วขึ้น

ปีศาจผีเสื้อน้อยพยักหน้าพูดว่า “เพราะหากต้องการให้เจ้าของสมาคมช่วยก็ต้องมอบของให้เขา  ตามกฏของที่นั่น ของทุกอย่างล้วนแต่เป็นของซื้อของขาย”

 “งั้นไปกัน” ซูจื่อจวินฟังแล้วรู้สึกคุ้นหู แต่ขณะนั้นก็ไม่ได้คิดมาก “ในเมื่อเป็นการค้าขาย เช่นนั้นก็ไป ฉันซูจื่อจวินไม่เคยติดค้างของของใคร! อีกอย่างฉันพูดแล้วว่าอย่าลูบหัวฉัน!”

แต่ซูจื่อจวินคิดไม่ถึงว่าสถานที่ที่ลั่วเพียนเซียนพาเธอมาจะเป็นสถานที่ตรงหน้า

เป็นเหมือนกับร้านค้าทั่วไปบนท้องถนน ดูค่อนข้างเก่า…แต่สำหรับซูจื่อจวินแล้วกลับรู้สึกแตกต่างอย่างสิ้นเชิง

 “ตำนานเป็นความจริง…” ซูจื่อจวินขมวดคิ้วขึ้น “มาอยู่ที่นี่เอง! ใกล้ขนาดนี้…ยายเฒ่าหลงซีรั่วกลับไม่เคยพูดถึงมาก่อน!”