ภาคที่ 4 บทที่ 147 ขบวนสัตว์อสูร (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 147 ขบวนสัตว์อสูร (2)

เมื่อได้แผนแล้ว การเคลื่อนพลของทัพกำลังสวรรค์ก็ยิ่งรวดเร็วยิ่งขึ้น

พวกเขาถอนทหารชั้นเลวส่วนมากออก เหลือไว้เพียงพวกฝีมือดีที่เริ่มมุ่งโจมตีอสูรกายอย่างหนักหน่วง ไล่ล่ามันไม่หยุดหย่อน ชิงเอาผลึกแก้วต้นกำเนิดมา ขณะเดียวกันก็ส่งนักฆ่าไปเผ่าคนเถื่อนที่อยู่ใกล้เคียง ไม่ปล่อยให้พวกนั้นมีโอกาสพบเจอทัพและรายงานเรื่อง

การทำเช่นนี้ย่อมทำให้เผ่าสัตว์อสูรพิโรธ ฝูงอสูรกายเริ่มมีทีท่ารวมตัวกันแล้ว

ใช้เวลาเพียง 2 วัน ที่ชายแดนกลางเผ่าคนเถื่อน ก็ได้ยินเสียงคำรามของฝูงอสูรกายดังไม่หยุด

ทัพมนุษย์จึงไม่อาจล่ามันได้อีก ไม่เช่นนั้นจะต้องเผชิญหน้ากับฝูงอสูรหนาแน่นทอดตัวยาวไกลสุดครรลองสายตา พวกมันทั้งหอน ทั้งคำราม ทั้งส่งเสียงดังเป็นเสียงประหลาดออกมาทุกชนิด อยู่รวมกันหนาแน่นจนเกือบจะปีนตัวกันได้

อสูรกายย่ำผ่านพื้น บินเป็นฝูงผ่านฟ้า นกคลั่งมากมายเหินร่างขึ้นสูง มากเสียจนหากพวกมันกางปีกกันทุกตัว ก็คงไม่เหลือแสงตะวันส่องพื้น คล้ายกับเป็นยามราตรีทันที

หลี่ฉงซานนั่งเรือเหาะจันทราเงินมองดูฝูงอสูรขนาดใหญ่จากที่ไกล ภาพที่ปีกพวกมันสยายบังตะวันทำเขาตกใจนัก

“นี่อาจเป็นขบวนสัตว์อสูรที่ใหญ่ที่สุดที่เผ่าคนเถื่อนเคยพบมาในรอบพันปีเลย”

“เป็นของขวัญชิ้นใหญ่ที่พวกเราทิ้งไว้ให้” เฉิงเถียนไห่เสริม

ทั้งหมดมองหน้ากันแล้วหัวเราะ นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่เข้าแดนเผ่าคนเถื่อนมาที่ได้หัวเราะจนหนำใจเช่นนี้

“ดู พวกนั้นลงมือแล้ว” ฉู่อิงหว่านว่าพลางชี้ไปยังที่ไกล

ทุกคนมองดูพวกอสูรเริ่มมุ่งหน้าไป

เป็นภาพที่ราวกับมหาสมุทรกว้างใหญ่กำลังซัดน้ำเข้าฝั่งก็มิปาน เมื่อพวกมันลงมือแล้ว พื้นดินพลันสั่นสะเทือนเลือนลั่น พวกนั้นต่างพุ่งเข้าหากัน

กลุ่มอสูรร้ายขนาดใหญ่เป็นฝ่ายรุดหน้าไปก่อน พวกมันร้องออกมาเป็นเสียงต่ำคล้ายแตรเป่าล่าสัตว์ เท้าทรงพลังย่ำพื้นสะเทือนเลือนลั่น พวกมันมีจำนวนนับไม่ถ้วน มีทุกรูปทุกร่าง มีทุกแบบอย่างนับเกือบพัน เผ่าสัตว์อสูรยามผสมพันธุ์ไม่แบ่งแยก ดังนั้นจึงมีพันธุ์ใหม่เพิ่มขึ้นทุกวัน มีพวกลูกผสมปรากฏอยู่ทุกชนชั้น

ด้านหลังอสูรกายระดับต่ำกลุ่มใหญ่ที่รับหน้าที่คุมทิศทางของขบวนสัตว์อสูรโดยพื้นฐาน แม้อสูรกายระดับต่ำเหล่านี้จะแกร่งเพียงธรรมดา แต่ก็มีสติปัญญาสูงกว่าพวกอสูรร้าย ทำให้มันเป็นทั้งทหารเดนตายและอสูรชั้นสูงกว่าที่มีอำนาจสั่งการ

เบื้องหลังคืออสูรกายระดับกลางและสูง อสูรกายพวกนี้นับเป็นกระดูกสันหลังของทัพ เพราะมันคุมทัพที่มีอสูรกายเป็นหลัก ซึ่งแท้จริงแล้วคือกำลังหลักของเผ่าสัตว์อสูร พวกมันไม่เอะอะเท่าอสูรร้าย หากแต่สงบนิ่ง เคลื่อนทัพไม่ช้าไม่เร็ว คลื่นพลังฉีวนเวียนรอบกาย พลังต้นกำเนิดทำตามใจสั่ง ฝีเท้าทรงพลังมั่นใจ ทำให้คล้ายกับทัพมนุษย์ หากได้เห็นภาพนี้ ก็คงเข้าใจทันทีว่าทำไมเผ่าสัตว์อสูรจึงได้อยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร

หลี่ฉงซานและคนอื่นไม่เห็นไกลกว่านั้นแล้ว

ขบวนสัตว์อสูรนี่ใหญ่เกินไป เป็นขบวนไร้สิ้นสุด ไม่อาจมองเห็นขอบฟ้า มองไม่เห็นเบื้องหลัง แม้ทัพหน้าจะเคลื่อนเข้าใกล้แล้วก็ตามที

“ไปเถอะ หากไม่ไปตอนนี้ ก็ไปไม่ได้แล้ว” ฉือไคฮวงเตือน

ซูเฉินจึงบังคับเรือเหาะจากไป

เฉิงเถียนไห่ถอนใจพลางมองขบวนนั่น “หากกินทั้งหมดได้จะไม่ดีหรือ ?”

“สักวันคงทำได้เช่นนั้น” ซูเฉินตอบพลางยิ้มน้อย ๆ

แท่นหมีกู่

ฉาเล่อแหงนมองท้องฟ้าอย่างไร้จุดหมาย

การยืนเฝ้าเป็นสิ่งที่เหงาและน่าเบื่อมาก ส่วนมากแล้ว ฉาเล่อก็ได้แต่ฆ่าเวลาด้วยการนับมดที่เดินผ่านไป วันหนึ่งเขาเจอรังมดที่ใต้ต้นไม้เก่าใกล้หอให้สัญญาณ จากนั้นจึงผูกมิตรกับพวกมันเรื่อยมา ทุก ๆ วัน เขาจะดูพวกมดวิ่งไปมา บ้างก็โยนอาหารไปให้แล้วดูมันยกกลับรัง ไม่พวกมันก็แย่งกันกับรังมดอีกรัง นับเป็นความบันเทิงขั้นสุดของเขาแล้ว

บางครั้งฉาเล่อก็คิดว่าใต้หล้านี้มีพระเจ้าอยู่หรือไม่ เขาคิดว่าหากมีพระเจ้า เช่นนั้นก็คงเหมือนฉาเล่อกระมัง ก้มมองดูคนทั้งหลายในทวีป สิ่งมีชีวิตทั้งหลายคงเหมือนกับมด ทุกวันวุ่นวายกลับไปกลับมา หากแต่ก็ทำได้แค่สร้างความบันเทิงให้ พระเจ้าคงไม่ช่วยสิ่งมีชีวิตในใต้หล้า แต่บ้างก็จะโยนอาหารหรือโอกาสมาให้เพื่อดูเอาสนุก หากแต่ก็อาจเหวี่ยงภัยมาเพื่อดูเอาสนุกได้เช่นกัน

สำหรับพวกเทพเซียนเหล่านั้นแล้ว พวกเขาก็คงทำทุกอย่างเพื่อความสนุกเท่านั้น

ฉาเล่อไม่รู้ว่าตนคิดถูกหรือผิด ก็แค่รู้สึกสนใจเท่านั้น จริง ๆ แล้วนับว่าน่าประทับใจเลยที่เผ่าคนเถื่อนจะมีความคิดลึกล้ำได้เช่นนี้ แต่กระทั่งสิ่งมีชีวิตที่โง่ที่สุดยังรู้จักหลักปรัชญาได้หากใช้เวลาในวันว่างนั่งคิดไปเรื่อยทั้งวัน

วันนี้ก็เป็นวันเดิม ๆ ของฉาเล่อ เขานั่งอยู่หน้าต้นไม้ใหญ่ใกล้หอให้สัญญาณแล้วมองดูพวกมด กำลังเบื่ออย่างมาก

ทันใดนั้นก็เห็นว่าท้องฟ้าดำมืดขึ้นมา

เกิดอะไรขึ้น ?

ฉาเล่อเงยหน้าขึ้นด้วยความสงสัย เขามองเมฆดำที่เคลื่อนเข้ามาทางเมืองอย่างรวดเร็ว

ไม่ มันไม่ใช่เพียงเมฆดำ !

ฉาเล่อจ้องท้องฟ้านิ่งงัน เขาเห็นนกดุร้ายนับหมื่นกำลังสยายปีกบินเข้ามา

สวรรค์ ! มีกี่ตัวกันนั่น ?

พวกมันมากันเยอะมากจนแทบบดบังแสงตะวัน

ขบวนสัตว์อสูร !

เป็นขบวนสัตว์อสูร !

ฉาเล่อพลันตอบสนอง รีบหมุนตัววิ่งเข้าไปจุดไฟที่หอให้สัญญาณทันที

หอให้สัญญาณเผ่าคนเถื่อนถูกสร้างมาพิเศษ ไม่ใช่เพียงจุดไฟธรรมดา แต่จะเป็นลำแสงจากพลังต้นกำเนิดพุ่งขึ้นฟ้า ลำแสงนี้ไปเร็วและไกลกว่าเพลิงไฟ ทำให้สั่งการหรือแจ้งข่าวได้เร็วกว่ามาก

ฉาเล่อมีหน้าที่จุดสัญญาณไฟ และก็มีเพียงหน้าที่นี้เท่านั้น วันที่ได้ทำหน้าที่คือวันตายของเขา เขาคงไม่อาจหนีพวกอสูรพ้นแน่

ทว่าฉาเล่อก็หากลัวไม่ เขารู้ชะตาตนตั้งแต่ตอนที่เลือกจะเป็นทหารหอสัญญาณแล้ว

การแจ้งเตือนสหายเผ่าคนเถื่อนคือจุดหมายของการมีอยู่ของเขา เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความกล้าหาญชาญชัยของเขา เขาถูกลิขิตให้ต้องมีชื่ออยู่ในหอผู้กล้า ถูกยกย่องให้เป็นแบบอย่างแรงบันดาลแก่ชนรุ่นหลัง

ตายไปก็ไม่เสียใจแล้ว !

คิดบางมุม เขาหวังให้เป็นเช่นนี้ด้วยซ้ำ

เขาวิ่งเข้าหาหอสัญญาณอย่างกล้าหาญ

หากแต่เมื่อมาถึงที่ กลับพบว่ามีมนุษย์ปรากฏอยู่ตรงจุดให้สัญญาณแล้ว ที่เท้ามีร่างเผ่าคนเถื่อนนอนอยู่

“น่าเหอ !” เขาร้องลั่น

“เขาไม่ตอบหรอก” ชายหนุ่มตอบพร้อมรอยยิ้มจาง

จากนั้นยิ้มนั้นพลันหายวับ กลายเป็นใบหน้าไร้อารมณ์

หากแต่ใบหน้าฉาเล่อคือความตกตะลึง

อุบาย !

นี่มันอุบายพวกมนุษย์ !

เขาจ้องเขม็งไปที่ชายหนุ่มคนนั้น จากนั้นคำรามแล้วกระโจนใส่อย่างดุร้าย

เมื่อกำลังจะเข้าระยะ แต่กลับเปลี่ยนทิศแล้วพุ่งไปหาจุดสัญญาณ อักขระบนร่างเรืองแสงจ้าขึ้น

เขาไม่กลัวการต่อสู้ไม่กลัวตาย แต่เขารู้ว่าการจุดไฟเพื่อแจ้งเผ่าคนเถื่อนที่เหลือนับเป็นหน้าที่สำคัญที่สุด

ฉัวะ !

ริ้วดาบเยือกเย็นตวัดผ่าน ร่างฉาเล่อถูกผ่าครึ่งแทบจะโดยสมบูรณ์

กระนั้น ร่างที่ถูกเฉือนก็ยังพุ่งเข้าหาจุดสัญญาณอย่างเด็ดเดี่ยว สายตาฉาเล่อจ้องแต่กลไกเปิดแสงที่อยู่ตรงกลางมั่น

ฉัวะ !

อีกหนึ่งดาบพลันตวัด

ศีรษะฉาเล่อกระเด็น

แม้จะไร้หัว เขาก็ยังไม่หยุดยั้ง ร่างกายท่อนล่างยังพุ่งต่อ ยกแขนขึ้นหมายเปิดกลไกให้ทำงาน

ในตอนที่กำลังจะลงมือ ชายหนุ่มอีกคนก็พลันปรากฏขึ้นตรงหน้าจุดสัญญาณเสียก่อน

เขายกมือขึ้นช้า ๆ แล้ววางลงบนกลไกสัญญาณแผ่วเบา ขัดขวางไม่ให้ฉาเล่อได้เปิดกลไกได้

นับเป็นสิ่งสุดท้ายที่ฉาเล่อรู้สึก

สุดท้ายเปลือกตาเขาก็ปิดลงตลอดกาล