ฮูหยินเฉียวตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “หมิ่นเอ๋อร์รักจูหลานเพียงคนเดียวมาหลายปี พวกเราสมควรให้นางสมหวัง ดังนั้น เราจึงไม่ได้บอกให้นางจากไป”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแสยะยิ้ม “แต่พวกท่านกลับเตรียมแผนไว้สองแผน แผนหนึ่งคือหากข้าถูกจับ แผนพวกท่านสำเร็จ ก็ยังไปขอรางวัลจากคนเบื้องหลังได้ อีกแผนหนึ่งคือหากกระทำมิสำเร็จ พวกท่านจะยอมสละชีพช่วยยื้อเวลาให้ลูกชายท่าน ให้เขาพาภรรยาหนีไป แต่แผนทั้งสองนี้กลับไม่ได้คำนึงถึงลูกสาวผู้ที่ปากพวกท่านพร่ำบอกรักนักรักหนาเลย”

 

 

สีหน้าฮูหยินเฉียวซีดเผือด ผ่านไปชั่วครู่จึงกัดฟันยอมรับ “ใช่ ทั้งหมดนี้เป็นข้อสรุปที่ข้าปรึกษากับนายท่านแล้ว…”

 

 

ยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกเสียงเดาะลิ้นของเมิ่งเชี่ยนโยวขัดขึ้น เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปมองเฉียวหมิ่น พูดด้วยน้ำเสียงเวทนา “คุณหนูเฉียว เจ้าได้ยินหรือยัง นี่ก็คือท่านพ่อท่านแม่ที่แสนดีของเจ้า ผู้ที่เบื้องหน้าแสร้งทำว่าทำเพื่อเจ้า แต่จริงๆ แล้วทุกอย่างก็เพื่อพี่ชายที่แสนดีของเจ้า ใช้เจ้าเป็นหินรองเท้า มอบอนาคตที่สดใสให้เขา”

 

 

เฉียวหมิ่นเช็ดเลือดที่ไหลลงบนมุมตา เพื่อให้ตัวเองมองเมิ่งเชี่ยนโยวชัดขึ้น พูดอย่างขุ่นเคืองว่า “เจ้ามันสารเลว ข้าไม่เชื่อเจ้าหรอก ท่านพ่อท่านแม่ข้าดูแลข้าอย่างไร ข้ารู้ดี แม้จะใช้ข้าเป็นหินรองเท้าแล้วอย่างไร ร่างอันเสื่อมโทรมของข้าเองก็มีชีวิตได้อีกไม่นานแล้ว แค่ข้ายังช่วยพี่ใหญ่ยื้อเวลาไปได้ รักษาให้ตระกูลเรายังสืบทอดต่อไปได้ ก็คุ้มค่าแล้วล่ะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหัว ไม่มีรอยยิ้มปรากฏให้เห็นแม้แต่น้อย “คุณหนูเฉียว เจ้าใสชื่อเกินไป ตั้งแต่ที่เจ้าทำร้ายลี่เอ๋อร์แม่ลูกคู่นั้น ข้าก็สาบานว่า ต่อไปจะทำให้ชีวิตเจ้ามอดไหม้ อยากตายไม่ได้ตาย อยากเกิดใหม่ไม่ได้เกิด เพราะฉะนั้น เจ้าไม่ได้ตายหรอก แต่กลับกัน เจ้าจะมีชีวิตอยู่อีกยาวเลย ยาวจนเจ้าต้องร้องขอวิงวอนทุกวันให้ปล่อยเจ้าไปตาย”

 

 

ขณะที่เมิ่งเชี่ยนโยวพูด น้ำเสียงนางอ่อนโยน อ่อนโยนจนหากไม่ฟังสิ่งที่นางพูด ประหนึ่งกำลังปลอบใจเด็กคนหนึ่งอยู่ แต่ทุกคนที่ได้ฟังสิ่งที่นางพูด รวมถึงทหารองครักษ์ที่ตามมาด้วย ต่างขนลุกซู่ ทุกคนรู้ดีว่านางไม่ได้พูดเล่น ต่อจากนี้เฉียวหมิ่นจะมีชีวิตอยู่อย่างทุกข์ทรมาน

 

 

ร่างของเฉียวหมิ่นกระตุก แต่ก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว เงยหน้าหัวเราะอย่างบ้างคลั่ง “ฮ่าฮ่าฮ่า เมิ่งเชี่ยนโยว คนสารเลว เจ้าคิดว่าเจ้าพูดเช่นนี้แล้วข้าจะกลัวเจ้ารึ หลายปีที่ผ่านมานี้ข้าอยู่ในกวนอี้ มีชีวิตเหมือนตายทั้งเป็นทุกวัน ข้ายังทนมาได้เลย แล้วเหตุใดข้าจึงกลัวเจ้าล่ะ”

 

 

สีหน้าฮูหยินเฉียวกังวล ถามอย่างสงสัยว่า “เจ้าจะทำอะไรหมิ่นเอ๋อร์”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น ยิ้มเล็กน้อย พูดว่า “ตอนนั้นนายท่านเฉียวและฮูหยินเฉียวคิดไว้ว่า ข้าจะโกรธจนฆ่าคุณหนูเฉียว ให้นางได้ไปปรโลกเป็นเพื่อนพวกท่าน น่าเสียดายนะเจ้าคะ พวกท่านคิดหาวิธีอย่างรอบคอบ แต่ก็ไม่รอบคอบพอจะรู้ว่าข้าไม่ฆ่านาง ส่วนเรื่องนางจะเจออะไร เห็นว่าพวกท่านมีเวลาไม่มากพอแล้ว ข้าจะใจดีบอกพวกท่านแล้วกัน กลัวว่าพวกท่านจะกังวล ตายตาไม่หลับเจ้าค่ะ”

 

 

นายท่านเฉียวทนไม่ได้ ถามเสียงแข็ง “ตกลงเจ้าจะทำอะไรกันแน่”

 

 

สีหน้าและน้ำเสียงเมิ่งเชี่ยนโยวไม่เปลี่ยน แต่คำพูดที่พูดออกมากลับทำให้นายท่านเฉียวและฮูหยินยืนไม่อยู่ ล้มตัวลงไปนั่งกับเก้าอี้ “คุณหนูเฉียวชอบผู้ชายไม่ใช่หรือ ข้าแค่ทำให้ฝันนางเป็นจริง ส่งนางไปจวินจี้[1]ชั้นต่ำที่สุดเป็นไงเจ้าคะ”

 

 

น้ำเสียงที่อ่อนโยนนี้ทำเอาบ้านตระกูลเฉียวทั้งสามคนรู้สึกเหมือนอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง หนาวเย็นไปทั้งตัวจนเลือดแข็งตัว

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนกลับกะพริบตาปริบ

 

 

จูหลานเองก็สะดุ้ง มองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างไม่น่าเชื่อ เห็นสีหน้านางสงบ ไม่เหมือนกำลังพูดเล่น จริงๆ จะเอ่ยปากพูดอะไร แต่สุดท้ายก็กลืนกลับไปหมด

 

 

นายท่านเฉียวและฮูหยินหลับตาลงอย่างเจ็บปวด ส่วนเฉียวหมิ่นรู้สึกกลัวจนร้องเสียงดังอย่างบ้าคลั่ง “เมิ่งเชี่ยนโยว เจ้าไม่ตายดีแน่ กรรมตามสนองเจ้าแน่ๆ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเผยรอยยิ้ม น้ำเสียงยังคงเชื่องช้า “ข้าจะได้รับกรรมหรือไม่พวกเจ้าไม่เห็นหรอก แต่บ้านตระกูลเฉียวกรรมตามสนองนี่เป็นเรื่องจริงแน่ๆ”

 

 

พูดถึงตรงนี้ มองไปที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ที่มีสีหน้าเจ็บปวด หัวเราะและถามว่า “นายท่านเฉียว ฮูหยินเฉียว รู้ไหมว่าทำไมข้ายังสนทนากับท่านที่นี่ ในเมื่อรู้เจตนาของพวกท่านแล้ว”

 

 

นายท่านเฉียวตงิดใจขึ้นมา เบิ่งตาโตถามขึ้นว่า “เจ้าทำอะไรลงไป”

 

 

“นายท่านเฉียวมองข้าสูงส่งไปแล้ว ข้าไม่มีความสามารถมากขนาดนั้น ท่านควรขอบคุณคนเบื้องหลังที่คอยบงการ บัดดี้เรื่องทุกอย่างจบลงแล้ว เขาไม่ไว้ชีวิตใครไว้แม้แต่คนเดียวหรอกเจ้าค่ะ ท่านคิดเองว่าท่านช่วยลูกชายท่านไว้ โดยปล่อยให้เขาหนีไป แต่กลับไม่ได้คิดเลยว่าเขามอบโอกาสนี้ให้หรือเปล่า”

 

 

“เป็นไปไม่ได้!” นายท่านเฉียวตะคอกเสียงดัง “เป็นไปไม่ได้แน่นอน พวกเราจ่ายทั้งเงินทอง ทั้งชีวิตของทั้งสามคน ยังไม่พออีกหรือ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มมุมปากอย่างประชด “นายท่านเฉียวก็รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามคือใครใช่ไหมเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นหลังจากพ่ายแพ้แล้วก็คงไม่พลีชีพตัวเอง แต่ท่านควรจะรู้ด้วยว่า เขาสามารถทำได้อย่างทุกวันนี้ ก็ไม่ใช่คนดีแน่นอน จะเห็นพวกท่านประหนึ่งมดตัวน้อยไว้ในสายตาได้อย่างไร แล้วจะปล่อยคุณชายเฉียวผู้ซึ่งเป็นพยานหลักฐานสำคัญไว้ให้พวกเราเปิดโปงได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ”

 

 

คำพูดของนางทำให้นายท่านเฉียวตกใจตะลึงงัน ส่ายหัวพึมพำว่า “เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้”

 

 

ฮูหยินเฉียวก็เบิ่งตาโตอย่างไม่เชื่อ สีหน้าเริ่มขาวซีด

 

 

เฉียวหมิ่นทั้งรนทั้งแค้น ร้องเสียงดัง “ท่านพ่อ หญิงเลวคนนี้ชอบใช้กลหลอกลวง ท่านพ่ออย่าไปเชื่อคำพูดนางนะเจ้าคะ”

 

 

สีหน้านายท่านเฉียวและฮูหยินกลับมามีความหวังอีกครั้ง นายท่านเฉียวรีบพยักหน้า เหมือนปลอบใจตัวเอง และให้กำลังใจเฉียวหมิ่น พูดขึ้นว่า “ใช่ หมิ่นเอ๋อร์เจ้าพูดถูก นางกำลังหลอกลวงพวกเรา พี่ใหญ่เจ้าต้องไม่เป็นอะไร น่าจะหนีออกจากเขตชิงเหอไปนานแล้ว”

 

 

สิ่งที่เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อจากนี้ทำลายความหวังทั้งหมดของเขา “ถ้าข้าคิดไม่ผิด พวกท่านปล่อยให้คุณชายเฉียวหนีไปตอนที่เห็นอี้เซวียนให้คนกำราบมือธนู ยิ่งไปกว่านั้นช่วงเวลาที่เราสนทนากันนี้ หากพวกเขาวิ่งเร็วพอ ก็คงจะเพิ่งออกจากเขตชิงเหอ เห็นว่าพวกท่านใกล้ตาย ข้าขอทำเรื่องดีๆ ไว้สักเรื่องแล้วกัน ข้าจะสั่งให้คนนำร่างของคุณชายเฉียวกลับมาให้ เป็นอย่างไรเจ้าคะ”

 

 

“เจ้า…” นายท่านเฉียวไม่รู้จะพูดอะไร

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดยั่วยุให้โกรธอีกครั้ง “นายท่านเฉียวไม่ต้องขอบใจข้าหรอกเจ้าค่ะ ข้าก็ไม่ใช่ทำทั้งหมดเพื่อพวกเจ้า ข้ามีโรคประจำตัวน่ะ หากไม่ได้เห็นคนที่ข้าอยากให้ตายกับตาตัวเอง กลางคืนจะนอนไม่หลับ”

 

 

พูดจบ สั่งทหารองครักษ์ข้างตัวว่า “หาร่างของคุณชายเฉียวทั้งบ้านให้เจอภายในสิบห้านาที นำร่างกลับมาให้นายท่านเฉียวดูหน่อย”

 

 

ทหารองครักษ์ขานรับ เดินออกไป

 

 

ชิงหลวนและจูหลีไม่ได้ขยับ ยังคงเผ้าปกป้องอยู่ข้างๆ เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียน

 

 

ทันใดนั้น ทั้งเรือนก็เงียบสงัด

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับจูหลานผู้ซึ่งเงียบมาตลอดว่า “คุณชายจู นายท่านเฉียวและฮูหยินเฉียวมีเวลาไม่มากพอแล้ว หากเจ้ามีอะไรอยากพูด ก็พูดออกมาเถอะ สายไปจะไม่มีโอกาสแล้วนะ”

 

 

จูหลานอ้ำๆ อึ้งๆ ผ่านไปชั่วครู่จึงมีเสียงแหบๆ ออกมาว่า “ท่านลุง ท่านป้าไปดีนะขอรับ จูหลานจะช่วยเก็บศพพวกท่านเองขอรับ”

 

 

“ไม่ต้อง!” ฮูหยินเฉียวปฏิเสธทันควัน “หากไม่ใช่เพราะเจ้าที่กระทำอย่างเย็นชากับหมิ่นเอ๋อร์ บ้านตระกูลเฉียวของเราคงไม่มาถึงจุดๆ นี้ เจ้าไม่ต้องเสแสร้งแกล้งทำแล้ว เราจัดการไว้หมดแล้ว ตายไปมีคนเก็บศพเราแน่”

 

 

“ฮูหยินเฉียวคิดน้อยไปนะเจ้าคะ จากเรื่องต่ำช้าที่พวกท่านทำไว้ ทางวังไม่อนุญาตให้เก็บศพหรอกเจ้าค่ะ จริงๆ แล้วข้ายังคิดอยู่ในฐานะของความสัมพันธ์ของข้าและคุณชายจู หากเขาเอ่ยปาก ข้าจะขอให้อี้เซวียนเก็บศพไว้ ในเมื่อพวกท่านไม่รับน้ำใจนี้ พวกข้าก็ไม่จำเป็นต้องเมตตาขนาดนี้แล้ว สั่งคนให้นำร่างพวกเจ้าโยนไปที่หลุมศพรกร้างก็ง่ายดีเหมือนกัน” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างไม่รีบไม่ร้อน

 

 

สิ่งที่นายท่านเฉียวและฮูหยินเฉียวกลัวที่สุดก็คือตายไปไม่มีคนเก็บศพ จึงให้เงินทองไม่น้อยกับบ่าวผู้ซื่อสัตย์ของตนไป ให้เขาไปซื้อโลงศพฝังพวกเขาไว้หลังจากที่พวกเขาตายไป ตอนนี้เมื่อได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ นัยน์ตาก็ลุกโชนเป็นไฟ นายท่านเฉียวโมโหพูดขึ้นว่า “คุณหญิงเมิ่ง เจ้าต้องทำถึงขนาดนี้เลยรึ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มและมองพวกเขา ไม่ได้พูดอะไร

 

 

เฉียวหมิ่นกำลังจะปริปากก่นด่า ก็ถูกจูหลีเหยียบลงไป เจ็บจนพูดอะไรไม่ออก

 

 

เมื่อเห็นการกระทำที่โหดเ**้ยมของจูหลี บ่าวใช้บ้านตระกูลเฉียวก็ขาสั่น ถอยหลังไปสองสามก้าว ตัวห่างจากนายท่านเฉียวและฮูหยินไปอีกเล็กน้อย

 

 

นายท่านเฉียวและฮูหยินรู้สึกได้ถึงการกระทำของพวกเขา ในใจเกิดความเวทนาขึ้นมา

 

 

ทั้งเรือนเงียบสงัดดั่งป่าช้า

 

 

เงียบจนบ่าวใช้ทุกคนได้ยินเสียงเต้นของหัวใจตัวเอง

 

 

ภายใต้บรรยากาศอึดอัดเช่นนี้ เวลาสิบห้านาทีกำลังจะผ่านไป นายท่านเฉียวยิ้มมุมปาก เขารู้ดีว่าสาวน้อยสารเลวคนนี้หลอกลวงเขา บ้านตระกูลเฉียวทำเพื่อคนเบื้องหลังมาเยอะขนาดนี้ เขาจะเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพลได้อย่างไร

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองสีหน้านายท่านเฉียวอย่างประชดประชัน เอนกายไปข้างหลังพิงเก้าอี้อย่างสบายใจ

 

 

ผ่านไปสิบห้านาที ยังคงไม่ได้ข่าวคราวจากทหารองครักษ์ นายท่านเฉียวผู้ซึ่งเลือดไหลออกจากปากเงยหน้าหัวเราะ “แม่นางเมิ่ง ดูท่าจะไม่เป็นไปตามที่เจ้าพูดนะ…”

 

 

คำพูดไม่ทันขาดคำ พรึบ พรึบ มีร่างของคนสี่คนถูกโยนเข้ามาจากลานนอกบ้าน ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือจงใจ หน้าตากทั้งสี่คนหงายขึ้น นายท่านเฉียวและฮูหยินเห็นหน้าทั้งสี่คนอย่างชัดเจน ก็คือลูก ลูกสะใภ้ และหลานชายอีกสองคนของตนเอง บัดนี้ พวกเขาหลับตาแน่น สีหน้าขาวโพลน ดูก็รู้ว่าไม่มีลมหายใจไปนานแล้ว หน้าอกอขงพวกเขามีรอยหลุมอยู่ เลือดไหลออกมาจนเปื้อนเสื้อผ้าพวกเขา

 

 

“เหวินเอ๋อร์!”

 

 

นายท่านเฉียวร้องเสียงหลง กระอักเลือดออกมา ลุกขึ้นอย่างกระเสือกกระสน เดินไปหน้าพวกเขา เห็นตาที่หลับไม่สนิทของลูกชายตน ภาพเบื้องหน้าพลันดับวูบ ร่างไร้เรี่ยวแรง ล้มลงบนพื้น

 

 

เลือดไหลจากปากของฮูหยินเฉียวมาก นางอ้าปากจะพูด แต่ไม่มีคำพูดสักคำออกมา ทำได้เพียงส่งเสียงร้องโหยหวน

 

 

“พี่ใหญ่ ซ้อ” เฉียวหมิ่นตะเกียกตะกายพยายามคลานเข้าไป แต่ถูกจูหลีเหยียบไว้ดิ้นไปไหนไม่ได้

 

 

สีหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวไร้ซึ่งความเมตตา น้ำเสียงยังคงราบเรียบ “นายท่านเฉียว ฮูหยินเฉียว ตอนนี้พวกท่านทั้งบ้านได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว ไปอย่างสบายใจเถอะเจ้าค่ะ อย่าลืมบอกท่านยมบาลเรื่องคนเบื้องหลังคนนั้นด้วยล่ะเจ้าค่ะ ท่านยมบาลจะได้รีบเก็บเขาไป ถือเสียว่าแก้แค้นให้ครอบครัวคุณชายเฉียวแล้วกัน”

 

 

นายท่านเฉียวค่อยๆ หันหลัง ชี้นิ้วไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว เค้นเสียงในลำคอออกมาว่า “เจ้า…” แล้วล้มลงนอนตายกับพื้นทันที

 

 

“นายท่าน…” ฮูหยินเฉียวใช้แรงที่เหลือทั้งหมดตะโกนออกไป คอพับลง ไร้ซึ่งลมหายใจ

 

 

“ท่านพ่อ ท่านแม่” เฉียวหมิ่นเรียกอย่างเจ็บปวด

 

 

บ่าวจวนเฉียวเห็นสภาพอันหดหู่ของบ้านตระกูลเฉียว สายตาแสดงความหวาดกลัว ต่างก้มหน้าลง

 

 

ในเรือนมีเพียงเสียงร้องอันเจ็บปวดดังก้องของเฉียวหมิ่น

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้นยืน เมิ่งเชี่ยนโยวก็ลุกตาม ทั้งสองเดินออกไป ชิงหลวนและจูหลีตามหลังพวกเขาไป

 

 

จูหลานมองตระกูลเฉียวที่ไม่มีลมหายใจแล้ว สีหน้าเศร้าหมอง จากนั้นก็ลุกขึ้นและเดินตามออกไป

 

 

ทั้งเรือนมีเพียงเสียงร้องอันเจ็บปวดของเฉียวหมิ่น

 

 

มีคนใส่ชุดทางการคนหนึ่งตามด้วยทหารสองสามนายยืนรออยู่หน้าประตู เมื่อเห็นหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวออกมา รีบเดินไปคารวะ “เจ้าหน้าที่อำเภอเขตชิงเหอขอคารวะซื่อจื่อขอรับ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้หยุดฝีเท้า เดินผ่านเขาไป สั่งพลางเดินพลาง “นำศพไปทิ้งในสุสานรกร้าง ปิดจวนเฉียวเสีย คนที่เหลือจับเข้าคุกให้หมด”

 

 

เจ้าหน้าที่อำเภอชะงัก แล้วขานรับทันที “ขอรับ ซื่อจื่อ”

 

 

“แล้วก็นายอำเภอของเขตชิงเหอนายหวางเต๋อเซิ่งรับสินบาทคาดสินบนและกระทำผิดกฎหมาย ฆ่าคนเป็นผักปลา จับครอบครัวเขาทั้งหมดเข้าคุกเสีย แล้วค่อยจัดการทีหลัง”

 

 

พูดจบ ก็ถึงรถม้าพอดี เขาหยุดเดินและให้สัญญาณเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นรถม้าก่อน

 

 

เจ้าหน้าที่อำเภอคารวะและขานรับอีกครั้ง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกถึงความไม่พอใจของหวงฝู่อี้เซวียน แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร จะถามต่อหน้าทุกคนก็ดูไม่ดี จึงได้แต่ขึ้นรถม้าอย่างว่าง่าย หวงฝู่อี้เซวียนเปิดม่านรถไว้ กำลังจะขึ้นไป แต่นึกอะไรขึ้นได้ หยุดลง หันกลับไปสั่ง “ส่วนทหารที่หวังเต๋อเซิ่งส่งไปเผ้าที่จวนจูนั้น เห็นว่าเป็นเพราะพวกเขาถูกสั่ง จะปล่อยพวกเขาไปเสียแล้วกัน ขอให้พวกเขาเขียนคำให้การ ทำความดีเพื่อชดใช้ความผิด”

 

 

เจ้าหน้าที่อำเภอขานรับ

 

 

เมื่อสั่งทุกอย่างเสร็จแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนก็ขึ้นรถม้า สั่งเหวินเปียว “ไปจวนจู”

 

 

 

 

[1] จวินจี้ โสเภณีในค่ายทหาร