แปะ แปะ แปะ เมื่อเขาพูดจบ เสียงปรบมือของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ดังขึ้น หัวเราะและพูดว่า “นายท่านเฉียวแสดงความรักพ่อลูกได้ดีเยี่ยมจริงเชียว เชี่ยนโยวรู้สึกชื่นชมมาก”
นายท่านเฉียวขมวดคิ้ว ถามอย่างไม่พอใจนัก “แม่นางเมิ่งพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
“ข้าหมายถึงอะไร นายท่านน่าจะรู้ดี นายท่านแสร้งไม่รู้ทั้งๆ ที่รู้เรื่องทำไมล่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มและถาม
นายท่านเฉียวแสดงสีหน้าโมโห “แม่นางเมิ่งเขาว่ากันว่า สิ่งที่คนใกล้ตายพูดเป็นความจริงเสมอ ชีวิตข้าก็อยู่ได้ไม่นานนักแล้ว เหตุใดข้าจึงต้องพูดปดอีกเล่า”
“เช่นนั้นหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มและถามกลับ
นายท่านเฉียวสีหน้าจริงจัง “แน่นอนสิ”
“พาแม่นางเฉียวเข้ามา” เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งพลางยิ้ม
ทหารองครักษ์เดินเข้ามา นำร่างกึ่งตายกึ่งมีชีวิตที่หน้าเต็มไปด้วยเลือดของเฉียวหมิ่นโยนลงบนพื้น
ฮูหยินเฉียวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้และไม่ได้พูดอะไรมาตลอดก็ร้องอย่างเวทนาขึ้นมาทันที “หมิ่นเอ๋อร์!”
สายตานายท่านเฉียวกลับปรากฏความขุ่นเคืองขึ้นเล็กน้อย ถึงแม้จะเพียงชั่วครู่ แต่เมิ่งเชี่ยนโยวก็จับตามองทัน
สีหน้านายท่านเฉียวกลับสู่ปกติอย่างรวดเร็ว ร้องด้วยความเวทนาขึ้นทันที “หมิ่นเอ๋อร์!” แล้วถามขึ้นด้วยความโกรธ “พวกเจ้าทำอะไรกับหมิ่นเอ๋อร์ลงไป”
“ไม่ว่าทำอะไรลงไป นี่เป็นจุดจบที่แม่นางเฉียวสมควรได้รับ นายท่านเฉียวก็รู้ดีอยู่แก่ใจมิใช่หรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว
“เจ้า…” นายท่านเฉียวจุกจนหน้าแดง ผ่านไปชั่วครู่จึงพูดอย่างโมโหว่า “แม่นางเมิ่งเจ้าอย่ารังแกคนเกินไปหน่อยเลย แม้เรื่องของหมิ่นเอ๋อร์จะเป็นเพราะเราทำไม่ถูก แต่นั่นก็เพราะเรารักลูกเกินไป ไม่เกี่ยวกับเรื่องอื่นเลย แล้วเหตุใดเจ้ายังคาดคั้นเรา”
“เป็นเช่นนั้นหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบอย่างไม่รีบไม่ร้อน ยิ้มเบาๆ และถามกลับว่า “นายท่านเฉียวไม่ใช่ต้องการใช้แม่นางเฉียวเป็นเครื่องมือเหมือนกระดานกระโดดน้ำหรือ ท่านใช้นางมาแลกกับอนาคตที่สดใสของลูกชายท่านไม่ใช่หรือ”
“ปากพล่อย!” นายท่านเฉียวโกรธจนตบเก้าอี้ฉาดใหญ่ สั่นเทาไปทั้งตัว “แม่นางเมิ่งเจ้านี่มักชอบปั้นน้ำเป็นตัว ยุแหย่ให้คนแตกหักกันงั้นรึ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงยิ้มและถามอย่างไม่รีบไม่ร้อน ไม่รนไม่รานว่า “ในเมื่อนายท่านเฉียวยึดมั่นว่าตนทำเพื่อแม่นางเฉียวขนาดนี้ ส่งนางเข้าไปในจวนจู เช่นนั้นก็ควรบอกนางให้ปฏิบัติต่อคนในจวนจูให้ดี เพื่อชนะใจจูหลานอีกครั้ง ไม่ใช่ปล่อยตามใจนางทำร้ายลี่เอ๋อร์และท่านแม่ของนาง จนเกือบจะทำให้จูหลานตาย ท่านไม่ทราบหรือว่าผลของการทำเช่นนี้มีแต่จะทำให้จูหลานยิ่งเกลียดชังนาง”
นายท่านเฉียวสายตาลอกแลก ไม่กล้ามองตาเมิ่งเชี่ยนโยวและคนอื่นๆ
ฮูหยินเฉียวรู้ว่าคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยวต้องมีความหมายแฝง หันไปมองนายท่านเฉียว
ผ่านไปชั่วครู่ นายท่านเฉียวตอบอย่างเนิบช้าว่า “หลังจากที่หมิ่นเอ๋อร์เข้าไปในจวนจู ผู้ใหญ่นายอำเภอก็สั่งให้ปิดจวนจู แม้แต่พวกข้าก็เข้าไปไม่ได้ แล้วข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่านางทำอะไรในนั้น”
“ทุกการกระทำของแม่นางเฉียวไม่ใช่ได้รับการชี้แนะจากท่านหรอกหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวหุบยิ้ม ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
สายตานายท่านเฉียวลอกแลกอีกครั้ง พูดอย่างเกร็งๆ ว่า “แม่นางเมิ่งเจ้าอย่านำความเท็จมาใส่ร้ายข้าสิ หากข้าชี้แนะให้หมิ่นเอ๋อร์ทำเช่นนี้ จะมีประโยชน์อะไรกับพวกข้าล่ะ”
“มีประโยชน์แน่นอนสิ” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบอย่างเย็นชา “มันจะนำพามาซึ่งตำแหน่งสูงส่ง และอนาคตที่สดใสแก่ลูกชายท่านไงล่ะ”
นายท่านเฉียวยังคงพูดตลบตะแลง “แม่นางเมิ่งยิ่งพูดยิ่งเลอะเทอะแล้ว เรื่องพวกนี้เกี่ยวอะไรกับลูกชายข้ารึ”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งเสียง หึ เบาๆ ในลำคอ ลุกขึ้นยืน เดินไปข้างหน้านายท่านเฉียว จ้องตาท่าน
นายท่านเฉียวถูกจ้องจนทำตัวไม่ถูก ก้มหน้าลง
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้ม หันหลังเดินไปหน้าเฉียวหมิ่น นั่งยองลง พูดกับเฉียวหมิ่นที่ตอนนี้มีสติแล้วว่า “แม่นางเฉียว เจ้ารู้หรือเปล่า จุดประสงค์ที่ท่านพ่อเจ้าชี้แนะให้เจ้าทำเช่นนี้คืออะไร”
“ก็ต้องการให้ข้าแก้แค้นความไม่ใยดีของจูหลานไงล่ะ” เฉียวหมิ่นตอบอย่างแค้นเคืองและหนักแน่น
เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องนาง มุมปากขยับขึ้นด้วยความประชดประชัน พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “แม่นางเฉียวประเมินตนสูงไปหน่อยแล้ว ที่ท่านพ่อเจ้าชี้แนะเจ้าทำเช่นนี้ ก็เพราะท่านได้ยินว่าข้ากลับมา รู้ว่าเมื่อข้ารู้เรื่องของตระกูลจูแล้ว จะต้องมาช่วยอย่างไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น ถึงตอนนั้นคนที่อยู่เบื้องหลังก็จะฆ่าข้าทิ้ง ส่วนท่านพ่อของเจ้าก็จะมีผลพลอยได้ ช่วยพี่ชายแสนดีของเจ้าให้ได้เป็นข้าราชการ จะได้หลุดจากสถานะพ่อค้า ทำให้ตระกูลเฉียวมีเกียรติยศชื่อเสียง”
สิ้นเสียงนาง ทั้งเรือนเงียบสงัด
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดตรงกับสิ่งที่นายท่านเฉียวคิดทุกอย่าง เขาตกใจจนพูดอะไรไม่ออก
ฮูหยินเฉียวไม่เชื่อว่านายท่านเฉียวจะใช้ลูกสาวตนเองมาเป็นหินรองเท้าเพื่อชูลูกชายตน
เฉียวหมิ่นก็ไม่เชื่อว่าท่านพ่อของตนจะทำเช่นนี้
หวงฝู่อี้เซวียนหรี่ตา นัยน์ตาไฟลุกโชน
ผ่านไปชั่วครู่ เฉียวหมิ่นส่งเสียงร้องอย่างบ้าคลั่ง “ไม่ เป็นไปไม่ได้ ตั้งแต่เล็กท่านพ่อรักข้าที่สุด ท่านพ่อไม่ทำอย่างนี้กับข้าแน่…”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดแทรกขึ้น “ก่อนที่เจ้ายังไม่เป็นอะไรอาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้ เพราะว่าตอนนั้นเจ้ายังอยู่ในช่วงวัยรุ่งโรจน์ และยังหมั้นหมายอยู่กับจูหลาน หากพวกเจ้าสองคนแต่งงานกัน ต่อไปการค้าของเขตชิงเหอก็เป็นของสองตระกูลนี้แล้ว แต่เจ้ากลับฆ่าตัวเอง ถูกตัดสินให้เป็นทาส ส่งตัวไปที่กวนอี้ ด้วยนิสัยของนายท่านเฉียว ท่านจะยอมทนให้รอยเปื้อนอันใหญ่หลวงเช่นนี้ดำรงอยู่หรือ ไม่เช่นนั้นหลายปีที่ผ่านมานี้เหตุใดพวกท่านจึงไม่ถามไถ่สารทุกข์ของเจ้าเลยล่ะ จนคิดได้ว่าเจ้ายังมีค่าให้ใช้ประโยชน์อยู่บ้าง จึงไถ่ถอนเจ้าออกมา”
“พูดจาเหลวไหลสิ้นดี ที่ท่านพ่อไม่ได้ไถ่ถอนข้าออกมา เพราะว่าใต้เท้าเปาเพิ่งย้ายไป นายอำเภอคนใหม่ไม่สนิทสนมกับพวกข้า ท่านพ่อข้าไหว้วานให้ช่วยไม่ได้” เฉียวหมิ่นยังคงตะคอกอย่างบ้าคลั่ง
“อืม” เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าเห็นด้วย “ทุกอย่างเป็นอย่างที่เจ้าพูด นายท่านเฉียวหาทางช่วยเจ้าไม่ได้ แต่ตอนนี้นายอำเภอคนล่าสุดมาแล้ว ท่านอยู่มาปีกว่าแล้ว เหตุใดจึงเพิ่งไถ่ถอนเจ้าออกมาล่ะ”
เฉียวหมิ่นยังไม่ทันตอบ นายท่านเฉียวตัวโอนเอนลุกขึ้นยืน พูดขึ้นว่า “เจ้าอย่าพูดพล่อยไปหน่อยเลย บิดเบือนความจริงทั้งนั้น หมิ่นเอ๋อร์เป็นหัวแก้วหัวแหวนของข้า ข้าคอยคิดหาวิธีไถ่ถอนนางออกมาตลอดเวลา”
เมิ่งเชี่ยนโยวยืนขึ้น นั่งลงบนเก้าอี้ ยิ้มให้นายท่านเฉียว และถามขึ้นว่า “ท่านคิดหาวิธีให้แม่นางเฉียวเป็นศพเป็นเพื่อนท่านหรือ”
ฮูหยินเฉียวตื่นจากความตกตะลึง ถามเสียงสูงว่า “แม่นางเมิ่ง พูดจาเหลวไหลสิ้นดี อยากให้บ้านเราแค้นเคืองกันเองรึ”
“ฮูหยินเฉียวพูดผิดไปแล้ว ข้าแค่รู้สึกไม่ยุติธรรมกับแม่นางเฉียวแม้นางจะทำผิด อย่างไรนางก็เป็นลูกสาวของพวกท่าน พวกท่านกลัวว่าต่อไปนางจะเป็นตัวถ่วงของลูกชายท่าน ปลุกปั่นนางทำเรื่องชั่วร้าย ให้ไปเป็นศพเป็นเพื่อนพวกท่าน”
“พอแล้ว!” บัดนี้ฮูหยินเฉียวผู้มีความเมตตาอ่อนโยนบันดาลโทสะ ถามเสียงแหลม “แม่นางเมิ่ง ทำเรื่องชั่วเยอะ กรรมจะตามสนองนะ เจ้ายุแหย่ความสัมพันธ์ของครอบครัวเราเช่นนี้ ไม่กลัวผลกรรมเลยรึ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะส่ายหน้า “ได้ยินมาว่าฮูหยินเฉียวเป็นคนฉลาดหลักแหลม อยู่ข้างนอกไม่เพียงช่วยงานค้าขายของนายท่านเฉียวได้ ในเรือนก็ยังจัดการดูแลจวนเฉียวได้อย่างเป็นระเบียบ เหตุใดตอนนี้จึงสับสนล่ะ ไม่ใช่ว่าพอจะเดาได้ว่าเจตนาของนายท่านเฉียวคืออะไร จึงรู้สึกกลัวหรอกหรือ”
ฮูหยินเฉียวลุกขึ้นด้วยท่าทางน่าเกรงขาม ไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย พูดว่า “ข้าไม่มีอะไรต้องกลัว ในเมื่อเจ้าบอกว่านายท่านยอมเสียลูกสาวเพื่อช่วยลูกชาย เช่นนั้นเจ้าเอาหลักฐานมาสิ”
“ได้” เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น พูดว่า “หากข้าเดาไม่ผิด นายท่านเฉียวและฮูหยินเฉียวคงดื่มยาพิษไปแล้ว จึงนั่งรอพวกข้ามาที่นี่ใช่ไหม”
ฮูหยินเฉียวชะงักไปชั่วครู่ พยักหน้าและตอบอย่างไม่อ้อมค้อม “ใช่ แม่นางเมิ่งพูดถูก เราตัดสินใจทำเรื่องไม่ดีเพียงอารมณ์ชั่ววูบ จะต้องได้รับโทษแน่นอน แต่เรารุ่งโรจน์มาตลอดชีวิตแล้ว ไม่อยากให้เราแก่แล้วยังต้องคิดคุก ก็เลยดื่มยาพิษที่ออกฤทธิ์ช้า แล้วรอให้แม่นางมา”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหัวอย่างผิดหวัง “ข้าคิดว่าฮูหยินเฉียวเป็นยอดสตรี กล้าทำก็กล้ายอมรับผิด ท่านคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าที่พวกท่านนั่งตรงนี้ พูดมาเสียเยอะ ก็เพื่อประวิงเวลาให้ลูกชายและลูกสะใภ้แสนดีของพวกท่านพาลูกหนีไป”
สีหน้าฮูหยินเฉียวตกใจหนักกว่าเดิม โพล่งพูดขึ้นว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
“พวกท่านตั้งใจที่จะตายอยู่แล้ว จัดฉากให้บ่าวใช้มายืนเสียยิ่งใหญ่ แต่กลับไม่มีลูกชายหนึ่งเดียวของท่าน ไม่แปลกไปหน่อยหรือ”
“มีอะไรน่าแปลกหรือ ตระกูลเฉียวเราต้องสืบเชื้อสายต่อไป นี่เป็นกฎธรรมชาติอยู่แล้ว” ฮูหยินเฉียวพูด
เมิ่งเชี่ยนโยวหยักหน้า “พวกท่านปล่อยลูกชายไป ช่วยยื้อเวลาให้เขา แต่กลับปล่อยให้ลูกสาวตนตกอยู่ในอันตราย ข้าลองคิดๆ ดู ฮูหยินเฉียว นี่ไม่ใช่หลักฐานอันดีที่พวกท่านทอดทิ้งนางไปหรอกหรือ”
“พวกเจ้ามาเร็วเกินไป เมื่อพวกเรารู้ข่าว เจ้าก็พาคนบุกจวนจูแล้ว ไม่ทันได้แจ้งข่าวให้หมิ่นเอ๋อร์หนีไป”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหัวอย่างเสียใจ “ฮูหยินเฉียว ตอนนั้นพวกท่านวางแผนกันว่าให้รั่วหลานลงมือคืนวันฉูซี[1] เช้าวันชิวอิก[2] ไม่มีข่าวคราวส่งมา พวกท่านก็รู้แล้วว่าลงมือไม่สำเร็จ ตอนนั้นมีเวลาเพียงพอให้คุณหนูเฉียวหนีไป แต่พวกท่านกลับไม่ได้ทำเช่นนั้น เพราะอะไรล่ะ”
[1] ฉูซี ค่ำวันส่งท้ายปีเก่า
[2] ชิวอิก เป็นวันเริ่มแรกของปีใหม่จีน