เมื่อมือธนูที่เหลือเห็น ต่างพากันลุกขึ้น บุกไปทางชายชุดดำและทหารองครักษ์ที่กักคุมตัวเองไว้
หวงฝู่อี้เซวียนชายตามอง
นายอำเภอมองอย่างตกใจ ตัวสั่นรุนแรงกว่าเดิม
คนที่หวงฝู่อี้เซวียนพามาคือหลงเว่ย[1] ฝีมือดีกว่าทหารองครักษ์ไม่รู้เท่าไหร่ หลงเว่ยคนเมื่อครู่แค่ไม่ทันตั้งตัว จึงพลาดท่าให้มือธนู แต่ตอนนี้เขาไม่สะเพร่าอีกแน่ ทุกกระบวนท่าแม่นยำและดุเดือด เล็งไปตรงจุดสำคัญของมือธนู
มือธนูทั้งสิบก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้เช่นกัน หลังจากแสดงฝีไม้ลายมือที่เก่งกาจจนทำให้ด่านหน้าต่างถอยกรูกัน แล้ว ทุกคนก็หยิบเม็ดยาออกมากจากแขนเสื้อ กลืนลงไป และส่งเสียงครวญขึ้นพร้อมกัน
สิ้นเสียงร้อง เลือดสีดำก็ไหลออกมาจากปากของมือธนู แล้วล้มลงนอนกองบนพื้น
นายอำเภอไม่เคยพบเจอมาก่อน เขาตกใจจนคุกเข่าลง
เหวินเปียววิ่งเข้ามาอย่างร้อนรน สีหน้าแตกตื่น “ตงเจีย พวกเขา…” เมื่อเห็นศพที่อยู่ตรงหน้า ก็ชะงักไป
“คนข้างนอกก็ตายหมดแล้ว?” เมิ่งเชี่ยนโยวถามเสียงเย็นชา
เหวินเปียวพยักหน้า
“อย่าตื่นตูม ดูแลที่เหลือให้ดี” เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งเขา
เหวินเปียวพยักหน้า เดินจากไป
หวงฝู่อี้เซวียนเดินไปหน้าศพ คิดจะตรวจสอบดู
“อย่าจับ!” เมิ่งเชี่ยนโยวรีบพูดเตือนขึ้น
หวงฝู่อี้เซวียนหันกลับไปมองนางอย่างสงสัย
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปหน้าศพ พูดขึ้นว่า “ศพมีพิษ”
หวงฝู่อี้เซวียนชะงักไป มองไปที่ร่างนั้น เห็นผิวที่เปลือยเปล่าของมือธนูเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ สักครู่ทั้งร่างก็เปลี่ยนเป็นสีดำ
หวงฝู่อี้เซวียนดึงเมิ่งเชี่ยนโยวถอยหลัง “แผนร้ายกาจยิ่งนัก”
ไม่เพียงจะปิดปากพยาน ยังไม่หลงเหลืออะไรให้ตรวจสอบด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปาก คนพวกนี้กินยาฆ่าตัวตาย ทำให้ไม่มีหลักฐานสักชิ้นหลงเหลือให้ตรวจสอบ ถึงแม้จะรู้ว่านายอำเภอเป็นศิษย์ของมหาเสนาบดี พวกท่านไปมาหาสู่กันก็ตาม หากไม่มีหลักฐานมัดตัว ฮ่องเต้ก็ไม่ตัดสินพระทัยง่ายๆ แน่
หวงฝู่อี้เซวียนก็คิดถึงเรื่องนี้เช่นกัน สีหน้าพลันนิ่งสงบ เดินไปหน้านายอำเภอ มองเขาด้วยสายตาเย็นชา
เมื่อเห็นร่างศพเปลี่ยนเป็นสีดำ นายอำเภอก็รู้สึกเย็นยะเยือก สิ่งที่นายอำเภอส่งคนมาบอกว่า ‘หากกระทำการสำเร็จ ข้าจะแต่งตั้งยศสูงพร้อมผลตอบแทนอันงามให้ และขึ้นตำแหน่งให้สามขั้น แต่หากทำไม่สำเร็จ เจ้าจงรับผิดชอบผลที่ตามมาทั้งหมด ส่วนครอบครัวของเจ้า ข้าจะดูแลพวกเขาอย่างดี’ ดังขึ้นในหัวเขาอีกครั้ง คิดถึงตรงนี้ มือขวาที่สั่นเทาค่อยๆ สอดเข้าไปในแขนเสื้อ
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นว่าเขาเปลี่ยนสีหน้าไปมา จึงคอยจับตามองเขา เมื่อเห็นว่าเขาเอามือสอดเข้าไปในแขนเสื้อ รีบสั่งทหารองครักษ์ด้วยความสงสัย “กดเขาไว้”
เมื่อนางพูดจบ ทหารองครักษ์ก็กดตัวนายอำเภอไว้
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งอย่างเย็นชา “ค้นตัว!”
ทหารองครักษ์ดึงมือเขาออก ยื่นมือเข้าไปในแขนเสื้อเขา ค้นเจอยาเม็ดหนึ่ง ค่อยๆ ลุกขึ้นและเดินไปหาเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือไปหวังจะตรวจสอบ หวงฝู่อี้เซวียนยื่นมือมาห้ามนางไว้ ส่งสายตาให้หลงเว่ยหยิบยาไป
หลงเว่ยเดินมา หยิบเม็ดยาไป เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าเขาเป็นห่วงนาง ไม่ได้พูดอะไร
สีหน้านายอำเภอหม่นหมองเหมือนคนตาย
หลังจากที่นายท่านจูและฮูหยินทานข้าวต้มไปแล้วก็ไม่ได้ตื่นขึ้นมาทันที แต่ในเมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวบอกว่าพวกเขาไม่เป็นอะไรมาก จูหลานก็เชื่อว่าพวกท่านจะตื่นขึ้นมาเร็วๆ นี้ เมื่อทานข้าวต้มไปสองสามคำ รู้สึกมีแรงขึ้นมา จึงลุกขึ้นยืน สั่งให้บ่าวหญิงดูแลท่านพ่อท่านแม่ของตนให้ดี ส่งสัญญาณมือปฏิเสธเซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวนที่กำลังประคองเขาอย่างสุภาพ แล้วเดินมาลานบ้านของตนเพียงคนเดียว เมื่อเห็นศพสีม่วงคล้ำที่นอนเรียงรายอยู่ ก็ชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะเดินเข้าไปที่ห้องของตนเพื่อเปลี่ยนผ้าสะอาดและล้างหน้าแต่งตัว แล้วจึงเดินออกจากห้อง พูดกับหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยสีหน้าสงบว่า “ไปเถอะขอรับ ไปจวนเฉียวกัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า เดินออกไปพร้อมหวงฝู่อี้เซวียน
ทหารองครักษ์ท่านหนึ่งประคองร่างที่ไม่ได้สติของเฉียวหมิ่นเดินตามพวกเขาไป โดยที่ไม่ต้องออกคำสั่ง
จูหลานเดินตามหลังสุด
ถึงหน้าประตู เมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นรถม้าก่อน หวงฝู่อี้เซวียนส่งสัญญาณมือให้หลงเว่ย แล้วจึงตามขึ้นรถม้าไป
จูหลานขึ้นรถม้าคันหลัง
ชิงหลวน จูหลี และทหารองครักษ์นับสิบคนตามหลังไป มีเพียงหลงเว่ยคนเดียวที่ไม่ขยับไปไหน ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูจวนจู
รถม้ามุ่งไปทางจวนเฉียว
ผู้คนที่มุงดูเห็นเฉียวหมิ่นถูกครึ่งลากครึ่งประคองไปตามหลังรถม้า รู้ว่ามีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแน่ๆ จึงตามหลังรถม้ามุ่งไปจวนเฉียวอย่างสอดรู้สอดเห็นเช่นกัน
เมื่อถึงหน้าประตูจวนเฉียว เหวินเปียวหยุดรถม้า หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า เห็นประตูของจวนเฉียวปิดสนิท ไร้ซึ่งเสียงผู้คน พวกเขาสบตากัน
จูหลานลงจากรถม้า เดินไปหาทั้งสอง พูดขอร้องว่า “นี่เป็นเรื่องของข้าและเฉียวหมิ่น โปรดให้ข้าจัดการเองเถอะขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาอย่างไม่เห็นด้วย
“ข้ากับเฉียวหมิ่นหมั้นกันตั้งแต่เล็ก ท่านลุงเฉียวและป้าเฉียวเห็นข้าแต่เล็ก ความผูกพันที่มีต่อข้าก็มีไม่น้อย แม้ข้าจะถอนหมั้นกับเฉียวหมิ่นแล้ว พวกท่านก็ไม่น่าทำเช่นนี้ ข้าอยากถามกับปากตัวเอง ว่าเหตุใดจึงทำเช่นนี้” จูหลานกล่าว
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าช้าๆ
จูหลานประสานมือคารวะ เดินไปหน้าประตูจวนเฉียว เคาะประตูเบาๆ พูดขึ้นเสียงดังว่า “ท่านลุงเฉียว ท่านป้าเฉียว ข้าน้อยจูหลานเอง รบกวนท่านเปิดประตูด้วยเถิด ข้ามีเรื่องอยากจะถามขอรับ
ในเรือนไม่มีเสียง
จูหลานพูดเสียงดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ยังคงไม่มีเสียงตอบรับใดๆ
ตะโกนไปสองรอบไม่มีเสียงตอบรับ จูหลานรู้สึกไม่ชอบพามากล ออกแรงใช้มือผลักประตูเข้าไป ประตูที่หนักอึ้งของจวนเฉียวกลับถูกเปิดออก
จูหลานเดินเข้าไปอย่างไม่ลังเล
เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนสบตากันชั่วครู่ เดินตามเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ในเรือนบ้านเงียบสงัด ไร้ซึ่งเสียงคน เมิ่งเชี่ยนโยวระวังตัว ส่งสัญญาณให้ทหารองครักษ์ประกบตัวจูหลาน คอยคุ้มตัวเขาไว้
จูหลานคุ้นเคยกับจวนเฉียวเป็นอย่างดี จึงเดินตรงเข้าไปที่เรือนหลักทันที เมื่อไปถึงที่ประตู ฝีเท้าก็หยุดชะงัก รีบเดินไปข้างหน้า คารวะท่านพ่อและฮูหยินเฉียวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ “ข้าน้อยจูหลานขอคารวะท่านลุง ท่านป้าขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเดินตามมาที่เรือน เห็นนายท่านเฉียว ฮูหยินเฉียวนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม บ่าวหญิง บ่าวใช้ทั้งหลายยืนอยู่ทั้งสองข้างอย่างสุภาพ
นายท่านเฉียวยื่นมือไปประคองจูหลาน “คุณชายจูทำตัวตามสบายเถอะ ข้าไม่สมควรถูกเจ้าเรียกว่าท่านลุงหรอก”
จูหลานโค้งตัวแล้วยืนตรง พูดว่า “ท่านลุงเฝ้าดูข้าจนเติบใหญ่ ดูแลข้ามาอย่างดี จูหลานจำได้เสมอ ไม่มีวันลืมขอรับ”
นายท่านเฉียวหัวเราะ สายตามองไปที่หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางเมิ่งไม่เจอหลายปี รูปงามขึ้นเยอะเลยนะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้ม พูดว่า “นายท่านเฉียวชมเกินไปแล้ว ข้าเป็นเพียงหญิงบ้านนอกคนหนึ่ง ข้าก็แค่พอดูได้ ไม่ถึงกับงามอะไรหรอก”
นายท่านเฉียวหัวเราะ ถามขึ้น “แม่นางเมิ่งถ่อมตัวไปแล้วล่ะ รูปพรรณเจ้าไม่เพียงสวยงาม อายุน้อย แต่กลับทำการค้าขายได้ดิบได้ดี ทำเอาข้าเองที่เป็นคนค้าขายมาตลอดครึ่งชีวิตยังชื่นชมเจ้าเลย หากไม่ใช่ว่าเราต้องมาเจอกันในสถานการณ์ที่ไม่ดีเช่นนี้ ข้ายังอยากขอคำแนะนำจากเจ้าเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบอย่างมีนัยยะว่า “นายท่านเฉียวอวยข้าเกินเหตุแล้ว ข้าแค่ลองผิดลองถูกจนได้ดีมาบ้าง เทียบกับท่านที่ค่อยๆ สร้างทุกอย่างทีละขั้นทีละตอนอย่างมั่นคงจนมีการค้าของครอบครัวมิได้หรอก”
ใบหน้านายท่านเฉียวแสดงความเจ็บปวดอยู่แวบหนึ่ง และหายไปอย่างรวดเร็ว หัวเราะและพูดขึ้นว่า “เงินทองเป็นเพียงสิ่งนอกกาย ตอนเกิดมาไม่มี ตายไปก็เอาไปด้วยไม่ได้ ตอนนี้ข้าก็เป็นไม้ใกล้ฝั่งแล้ว จะได้ไปอย่างสะอาดบริสุทธิ์เสียที”
เมิ่งเชี่ยนโยวกวาดตามองคนในเรือนอย่างเงียบๆ ยิ้มและพูดขึ้นว่า “นายท่านเฉียวคงตัดสินใจผิดไป ตั้งแต่ที่ความโลภเข้าครอบงำ ท่านก็ไม่สามารถชำระล้างตนให้สะอาดได้แล้ว”
นายท่านเฉียวชะงักไปครู่หนึ่ง และกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว หัวเราะและพูดว่า “ข้าไม่รู้เลยว่าแม่นางเมิ่งมีความสามารถอ่านใจคนด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขา ยิ้มไม่ได้พูดอะไร
นายท่านเฉียวก็ไม่ได้สนใจอะไร หันไปที่หวงฝู่อี้เซวียน ไม่ได้ลุกขึ้น แค่ประสานมือ พูดขึ้นว่า “ท่านนี้คือซื่อจื่อแห่งอ๋องฉีที่เขาเล่าลือกันสินะ เป็นที่ล่ำลือกันว่าซื่อจื่อสง่าผ่าเผย วันนี้ได้พบเองกับตา ช่างสมกับที่เขาล่ำลือเสียจริง ทุกวันนี้ตาแก่อย่างข้าไม่ได้คล่องแคล่วเหมือนอย่างเคย ลุกขึ้นคารวะเจ้าไม่ได้ โปรดอภัยให้ด้วยเถอะ”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้พูดอะไร
นายท่านเฉียวก็ไม่ได้สนใจเช่นกัน หุบรอยยิ้ม สั่งบ่าวใช้ว่า “ไปยกเก้าอี้มาให้แขกผู้มีเกียรติของเราหน่อย”
บ่าวใช้ขานรับ เข้าไปยกเก้าอี้มาสามตัวให้ทั้งสามคน
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้เกรงใจ นั่งลงทันที
ร่างกายจูหลานก็ทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน จึงนั่งลงตามไป
นายท่านเฉียวหันไปมองจูหลาน ถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “คุณชายจู เจ้าอยากมาถามข้าว่าเหตุใดจึงยอมตามใจหมิ่นเอ๋อร์ทำอย่างนี้ใช่ไหม”
จูหลานพยักหน้า “หลานไม่เข้าใจจริงๆ ขอรับ หวังว่าท่านจะช่วยให้กระจ่าง”
นายท่านเฉียวลูบหนวดตัวเอง พูดว่า “เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ก็คงไม่มีอะไรต้องปิดบังกันอีก เจ้าก็รู้ ข้ามีหมิ่นเอ๋อร์ลูกสาวเพียงคนเดียว คอยตามใจนางมาตลอด แล้วยังเป็นหัวแก้วหัวแหวนของท่านป้าเจ้า ทะนุถนอมประดุจทรัพย์สินล้ำค่า รักและดูแลจนนางเติบใหญ่ ถึงแม้นางจะถูกเราตามใจจนเสียคน แต่ความจริงใจที่นางมีให้เจ้านั้นจริงแท้แน่นอน เมื่อห้าปีก่อน เพราะว่านางสั่งคนลักพาตัวน้องชายของแม่นางเมิ่งทำให้นางเสียโฉม ถูกนำตัวไปกวนอี้ ตอนนั้นเพราะแรงกดดันจากใต้เท้าเปาจึงยอมรับโทษแต่โดยดี แต่เจ้ากลับทุ่มหินซ้ำคนตกบ่อ ไม่เพียงแต่ไม่ปกป้องนาง ซ้ำยังถอนหมั้นกับนางอีก นางหมั้นหมายกับเจ้าตั้งแต่เด็ก อยากจะแต่งกับเจ้าเพียงผู้เดียว แม้นางจะดื้อรั้นไปหน่อย เจ้าก็ไม่ควรไร้น้ำใจเช่นนี้ ตั้งแต่นั้นมาข้าจึงแค้นเคืองเจ้า โดยเฉพาะเมื่อเราต้องมอบเงินทองก้อนโตถึงได้เจอนาง เมื่อเห็นนางมีชีวิตประหนึ่งคนตาย ในใจข้ายิ่งโกรธแค้น จึงสาบานว่าจะต้องแก้แค้นแน่นอน เพื่อปลดปล่อยให้ลูกสาวข้าเป็นอิสระอีกครั้ง
พูดถึงตรงนี้ เหมือนท่านจะพูดจนเหนื่อย ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วจึงพูดต่อว่า “และเป็นไปตามคาด โอกาสแก้แค้นมาถึง นายอำเภอคนใหม่เป็นญาติห่างๆ ของข้า เป็นคนโลภมากและเจ้าชู้ ข้าจึงเอาใจท่านด้วยการส่งหญิงรูปงามผิวขาวผ่องให้ท่านได้เริงรมณ์ และยังให้เงินทองหมื่นเหรียญกับท่าน ท่านจึงยกเลิกความเป็นทาสให้นาง และถูกปล่อยออกมา แต่ความทุกข์ทรมานสองสามปีที่ผ่านมานี้ ลูกสาวข้าไม่เพียงสูญเสียความบริสุทธิ์ ซ้ำยังทิ้งร่างที่อ่อนแอทรุดโทรมไว้ มีเวลาไม่มากให้ใช้ชีวิตที่ดีแล้ว พรหนึ่งเดียวที่นางต้องการคือการได้เจ้ามา แม้ให้ตายเลยทันทีก็ยอม แล้วเราจะยอมเพิกเฉยนางได้อย่างไร เราจึงวางแผนกับผู้ใหญ่นายอำเภอ ปิดจวนจูไว้ และส่งหมิ่นเอ๋อร์เข้าไป”
[1] หลงเว่ย ขุนพลพิทักษ์จักรพรรดิ์