ตอนที่ 182 วิกฤตที่เป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวง

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

“ไม่ทราบว่าจวนจูทำผิดขั้นรุนแรงอะไร รบกวนท่านช่วยบอกข้าหน่อย” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวด้วยรอยยิ้ม 

 

 

ผู้ว่าการเขตกะพริบตาหลายครั้ง หลีกเลี่ยงคำถามแล้วกล่าวว่า “จวนจูทำผิดรุนแรงอะไร ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรรู้ แม่นางเมิ่งถามเช่นนี้ ก้าวก่ายเกินไปแล้ว” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงเคารพ “ข้าน้อยเติบโตที่บ้านนอก ไม่ค่อยเข้าใจกฎระเบียบจริงๆ หวังว่าท่านจะไม่ถือสาข้า” 

 

 

ผู้ว่าการเขตหัวเราะออกมา “แม่นางเมิ่งพูดเล่นไปแล้ว ถ้าหากบนโลกนี้มีคนว่าเจ้าไม่เข้าใจกฎระเบียบ นั่นคือตาบอดแล้ว” 

 

 

“ท่านกล่าวเช่นนี้ชมข้ามากไปแล้วจริงๆ ทำให้ข้าน้อยรู้สึกรับได้ความโปรดปรานอย่างไม่คาดฝันจนรู้สึกประหลาดใจ จนลืมว่าข้าเป็นใครไปแล้ว” 

 

 

ผู้ว่าการเขตยิ้มเล็กน้อย กำลังจะกล่าว แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวก่อนว่า “มีเรื่องหนึ่งที่ข้าน้อยอยากกล่าวถามท่าน หวังว่าท่านจะตอบตามความจริง” 

 

 

ผู้ว่าการเขตรับปากอย่างรวดเร็ว “เจ้าพูด” 

 

 

ใบหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวพร้อมด้วยรอยยิ้ม แต่คำพูดที่เอ่ยออกมากลับทำให้สีหน้าของนผู้ว่าการเขตเปลี่ยนเป็นสีแดงม่วงไปหมด “ไม่ทราบว่าเจ้านายที่อยู่เบื้องหลังของท่านสัญญาว่าจะให้ตำแหน่งสูงส่งอะไรตอบแทนท่าน ถึงทำให้ท่านทำเรื่องที่ไร้มนุษยธรรมได้” 

 

 

ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวเปิดโปง รอยยิ้มบนใบหน้าของผู้ว่าการเขตก็หายไป เปลี่ยนความละอายเป็นความโกรธแล้วกล่าวว่า “เมิ่งเชี่ยนโยว เจ้าอย่าให้มันมากเกินไป วันนี้เจ้าเป็นแค่ลูกไก่ในกำมือ แม้ว่าจะติดปีกก็หนีออกไปได้ยาก ถ้าเจ้ารู้ความ ก็ให้คนของเจ้าหยุดขัดขืน ยอมถูกจับแต่โดยดี ข้าจะไว้ชีวิตพวกเขา ถ้าหากไม่ วันนี้พวกเจ้าทั้งหมดก็ไปพบยมบาลเป็นเพื่อนคนตระกูลจูเถิด” 

 

 

รอยยิ้มของเมิ่งเชี่ยนโยวไม่เปลี่ยน “ท่านพูดไปใหญ่แล้ว ไม่กลัวลมหนาวบาดลิ้นของท่านเลย” 

 

 

“เจ้า…” ผู้ว่าการเขตชะงักไป สีหน้าบนใบหน้ามีความดุร้ายขึ้น กล่าวด้วยความโมโหว่า “แม่นางเมิ่ง ข้าพูดด้วยความหวังดีไม่อยากให้เจ้าลำบากเพราะคนพวกนี้ แต่เจ้ากลับไม่รับความหวังดีนี้ แล้วยังเหน็บแนมข้า ถ้าเช่นนั้น ข้าก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจอีกต่อไป จะส่งพวกเจ้าไปยมบาลทันที” พูดจบ โบกมือ ถอยหลัง 

 

 

คนใช้ของทางการถือคันธนูแล้วเดินก้าวออกมา เล็งมาที่พวกเขา 

 

 

ชิงหลวนและจูหลีบังอยู่ข้างหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว 

 

 

ทหารองครักษ์ทั้งหลายก็รวมตัวอยู่ข้างๆ นาง ล้อมพวกนางสามคนไว้ 

 

 

ลูกศรเตรียมพร้อมยิง 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงยิ้มมองผู้ว่าการเขต ในสายตาเต็มไปด้วยความดูถูก 

 

 

ผู้ว่าการเขตโมโหขึ้นจริงๆ ยกมือขึ้น ตรัสสั่งด้วยน้ำเสียงโมโห “เตรียมตัว…” คำว่ายิงยังไม่ทันเอ่ยออกจากปาก กลับมีคนกระโดดเข้ามาจากเรือนด้านนอกหนึ่งคน ตรงมาด้านหน้าผู้ว่าการเขต เตะเขาออกไปทันที 

 

 

เรือนด้านนอกก็มีคนหลายคนกระโดดเข้ามา รีบกระโดดเตะนักยิงธนูที่ไม่ทันระวังตัวล้มลงทั้งหมด 

 

 

และมีคนหนึ่งหยุดลงด้านหน้าทหารองครักษ์ทุกคน รีบกล่าวถามว่า “โยวเอ๋อร์ เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” 

 

 

  

 

 

เห็นชัดว่าเป็นหวงฝู่อี้เซวียน ทุกคนค่อยๆ โล่งใจลงเล็กน้อย ต่างคนต่างออกห่างจากตัวเมิ่งเชี่ยนโยว ไปจัดการคนใช้ของทางการพวกนั้น 

 

 

“ตอนนี้ไม่เป็นไร แต่ถ้าหากเจ้ามาช้ากว่านี้อีกสักหน่อย ข้าอาจเป็นตะแกรงไปแล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเดินมาข้างหน้านางด้วยความตกใจ โอบกอดนางไว้บนอกแน่นๆ จับมือนางมาวางไว้บนหัวใจที่เต้นเร็วมากของตัวเอง กล่าวด้วยใจที่ยังกลัวอยู่ว่า “เจ้ารู้หรือไม่ ใจของข้ากลัวจนเกือบทะลุออกมา” 

 

 

รู้สึกได้ถึงการเต้นของหัวใจที่แข็งแรงของเขา ใจของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ค่อยๆ สงบลง กล่าวด้วยน้ำเสียงสบายๆ ว่า “คนดีตายเร็ว คนเลวตายยาก เจ้าวางใจเถิด คนเลวๆ อย่างข้าไม่ตายง่ายๆ หรอก” 

 

 

“ห้ามพูดจาเหลวไหล” หวงฝู่อี้เซวียนตะคอกห้ามนาง โอบกอดนางแน่นขึ้นไปอีก “ถ้าหากใครกล้าว่าเจ้าเป็นคนเลว ข้าจะฆ่าเขาทันที” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่ทันกล่าวอะไร เสียงไอที่เจ็บปวดของเฉียวหมิ่นก็ดังขึ้นมาจากข้างหลังพวกเขา เสียงแหบไม่น่าฟังก็ตามมา “หนุ่มน้อยช่างหน้าตาหล่อเหลายิ่งนัก ไม่แปลกเลยที่ตอนหลังเจ้าไม่ชอบจูหลานแล้ว” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนปล่อยเมิ่งเชี่ยนโยว ทั้งสองหันหลังไปพร้อมกัน 

 

 

ไม่รู้ว่าเฉียวหมิ่นลุกขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ นั่งอยู่บนพื้นอย่างลำบาก แต่ก็ยังยุให้รำตำให้รั่วด้วยรอยยิ้มว่า “น่าเสียดาย เจ้ามาช้าไป ไม่เห็นภาพเมื่อสักครู่ สายตาที่หญิงชั่วคนนี้จ้องร่างกายของจูหลานนั้น ดูท่าแล้วเจ้าจะเป็นคนที่ข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรง ไม่สามารถทำให้หญิงชั่วคนนี้พอใจได้” 

 

 

ปังงง กระถางดอกไม้ที่อยู่ข้างๆ เท้าหวงฝู่อี้เซวียนลอยไป โดนบนศรีษะเฉียวหมิ่นเต็มๆ กระถางดอกไม้แตก ดินในกระถางผสมกับเลือดบนหน้าผากของเฉียวหมิ่นไหลลงมาด้วยกัน 

 

 

เฉียวหมิ่นหงายหลังลงไป ท้ายทอยกระแทกพื้นอย่างแรง ไม่มีแม้แต่ลมหายใจ ก็สลบไปทันที 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนไม่มองนางแม้แต่น้อย หันหลัง หันหัว โอบเมิ่งเชี่ยนโยวมาข้างหน้าผู้ว่าการเขต  

 

 

ใบหน้าของผู้ว่าการเขตแสดงสีหน้ากลัว ตัวสั่นตลอดเวลา  

 

 

“หวังเต๋อเซิ่ง” 

 

 

ผู้ว่าการเขตตอบกลับไปด้วยเสียงสั่นๆ ว่า “ข้าน้อยอยู่นี่ขอรับ” 

 

 

“รู้หรือไม่ว่าข้าคือผู้ใด” หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ  

 

 

แต่บนศรีษะของผู้ว่าการเขตกลับมีเหงื่อไหลออกมา กล่าวตอบด้วยเสียงสั่นๆ ว่า “รู้ ข้าน้อยรู้ ท่านซื่อจือของอ๋องฉี” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “ดีมาก” พูดจบ ก็กล่าวถามอีกว่า “รู้หรือไม่ว่านางคือผู้ใด” 

 

 

ผู้ว่าการเขตกระพริบตา ขาทั้งสองข้างอ่อนแรง ไม่กล่าวอะไร 

 

 

“ดูแล้วท่านจะไม่รู้ ไม่เป็นไรข้าบอกเจ้าเอง นางเป็นผู้หญิงของข้า พระชายาซื่อจื่อในอนาคต” 

 

 

เขาเพิ่งพูดจบ ผู้ว่าการเขตตกใจจนก้มกราบลงบนพื้น ขอประทานอภัยโทษ “ซื่อจือไว้ชีวิตข้าเถิด ข้าน้อยไม่รู้จริงๆ ว่าแม่นางเมิ่งเป็นผู้หญิงของท่าน หากข้ารู้ ให้ตายข้าก็ไม่กล้าทำเช่นนี้กับนาง” 

 

 

“โอ้ งั้นหรือ” หวงฝู่อี้เซวียนปล่อยเมิ่งเชี่ยนโยว เดินมาข้างหน้าเขา จ้องถามเขา 

 

 

ผู้ว่าการเขตพยักหน้าแรงๆ ด้วยความกลัว “คำพูดของข้าน้อย…” 

 

 

ยังไม่ทันกล่าวจบ ก็ถูกหวงฝู่อี้เซวียนเตะออกไปโดนนักยิงธนูคนหนึ่งที่ถูกจับกุมพอดี นักยิงธนูออกเสียงโอดโอยออกมา เจ็บจนสลบไป ส่วนผู้ว่าการเขตนั้นขาชี้ขึ้นฟ้า แล้วทับอยู่บนร่างของเขา เห็นหวงฝู่อี้เซวียนเก็บรอยยิ้มไป เดินตรงมาทางเขาด้วยสีหน้าเยือกเย็น ผู้ว่าการเขตอยากให้ตนเป็นคนที่สลบไปจริงๆ  

 

 

“ซื่อ ซื่อจือ ข้าน้อยไม่รู้จริงๆ” กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่น ผู้ว่าการเขตยังเถียงต่อ 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนหยิบกระดาษหลายใบออกมาจากกระเป๋าแขนเสื้อแล้วโยนไปข้างหน้าเขา 

 

 

ผู้ว่าการเขตอตัวสั่นแล้วหยิบขึ้นมาเปิดออก เห็นเนื้อหาในนั้นแล้ว ใบหน้าซีดไม่เหลือสีเลือด ไม่กล้าเถียงอีก ร่างกายล้มลงบนพื้นทันที 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนโบกมือ “จับตัวหวังเต๋อเซิ่งไว้” 

 

 

มีคนรับคำสั่ง เดินออกมาข้างหน้า หยิบหมวกของผู้ว่าการเขตออก จับกุมเขาไว้ 

 

 

เซี่ยเจียงเฟิงและอันอี้หยวนพยุงจูหลานที่ไร้เรี่ยวแรงเดินออกมาจากห้อง ทั้งสามทำความเคารพหวงฝู่อี้เซวียน 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนโบกมือ “ไม่ต้อง” 

 

 

ทั้งสามกล่าวขอบคุณ 

 

 

จูหลานกล่าวด้วยเสียงอ่อนแรงว่า “ยังอยากขอร้องให้ซื่อจือและแม่นางเมิ่งช่วยด้วย ช่วยตามหาท่านพ่อท่านแม่ของข้า จูหลานจะขอบพระคุณอย่างยิ่ง” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรีบสั่งทหารองครักษ์ทั้งหลายลงไปทันที 

 

 

ทหารองครักษ์ทั้งหลายรีบแยกย้าย ไม่นานก็มีคนมารายงาน “นายหญิง เจอแล้วขอรับ” 

 

 

จูหลานแสดงสีหน้าดีใจออกมา รีบกล่าวถามว่า “อยู่ที่ใด” 

 

 

ทหารองครักษ์รายงานตามความจริงว่า “อยู่ในห้องเก็บฟืนด้านหลังเรือน” 

 

 

รอยยิ้มดีใจบนใบหน้าของจูหลานหายไป แสดงสีหน้าเจ็บปวดออกมา 

 

 

“นำพวกข้าไป” เมิ่งเชี่ยนโยวสั่ง 

 

 

ทหารองครักษ์นำทาง เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนเดินตามหลัง จูหลานถูกเซี่ยเจียงเฟิงและอันอี้หยวนพยุงไว้ รีบตามหลังมา 

 

 

ประตูห้องเก็บฟืนได้ถูกเปิดไว้แล้ว แม้ว่ามีแสงส่องเข้าไปเพียงเล็กน้อย แต่ตอนที่ทุกคนเดินเข้าไปนั้น ก็ยังคงสัมผัสถึงอากาศหนาวเย็นที่ตีหน้าเข้ามา ส่วนท่านพ่อท่านแม่ของจูหลาน ก็อยู่ในสภาพแวดล้อมที่หนาวเย็นนี้ นอนหันข้างอยู่บนพื้นโดยที่ไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย 

 

 

“ท่านพ่อ ท่านแม่” จูหลานที่ถูกเซี่ยเจียงเฟิงและอันอี้หยวนพยุงเข้ามา พอเจอท่าทางของพ่อแม่ แล้วตะโกนออกมาด้วยความตกใจ สะบัดมือของทั้งสองออก เดินสะดุดคุกเข่าลงข้างๆ ทั้งสอง ยื่นมือสั่นๆ พลิกตัวของนายใหญ่จู 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวย่อตัวลง เอามือวางไว้ปลายจมูกของท่านลุงจู รู้สึกถึงลมหายใจอ่อนแรงของเขา กล่าวด้วยน้ำเสียงสงบว่า “ยังมีชิตอยู่” พูดจบ ก็ยื่นมือไปวางไว้ปลายจมูกท่านป้าจูเพื่อทดสอบ 

 

 

ทุกคนโล่งอก 

 

 

ท่านป้าจูก็ยังมีลมหายใจอยู่ เมิ่งเชี่ยนโยววางมือลง สั่งทหารองครักษ์ “ยกคนเข้าไปในห้อง” 

 

 

ทหารองครักษ์เดินออกมา ยกท่านลุงจู ท่านป้าจูแล้วเดินออกไป 

 

 

ร่างกายของจูหลานอ่อนแออยู่แล้ว ยิ่งตกใจ ร่างกายยิ่งอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง อยากจะลุกขึ้นมาด้วย พยายามหลายครั้งก็ไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้ เซี่ยเจียงเฟิงและอันอี้หยวนเดินออกมา พยุงเขาขึ้นมา ตามทหารองครักษ์และเมิ่งเชี่ยนโยวมาห้องที่ใกล้ที่สุด 

 

 

ทหารองครักษ์วางทั้งสองท่านไว้บนเตียง แล้วถอยออกไป 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวย่อตัวอยู่ข้างเตียง วัดชีพจรให้ทั้งสองท่าน 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้ว ยกเก้าอี้หนึ่งตัวแล้วเดินมาอยู่ข้างๆ นางด้วยความใส่ใจ แล้วส่งสายตาให้นางนั่งลง 

 

 

จูหลานมองท่านพ่อ ท่านแม่ด้วยความกังวลตลอดเวลา ไม่มีกะจิตกะใจใส่ใจสิ่งพวกนี้ 

 

 

แต่เซี่ยเจียงเฟิงและอันอี้หยวนกลับสบตากัน ต่างคนต่างเห็นถึงความตกใจในสายตาของกันและกัน 

 

 

วัดชีพจรเสร็จ ดึงผ้าห่มข้างๆ ห่มให้ทั้งสองท่าน เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวว่า “อาการไม่หนักอะไร แค่หิวจนสลบไป ให้สาวใช้ในจวนต้มข้าวต้มมาให้ ดื่มลงไปไม่นานก็ฟื้นขึ้นมา” 

 

 

ความกังวลของทุกคนค่อยๆ คลายลง 

 

 

จูหลานกล่าวว่า “หลังจากลี่เอ๋อร์และเสี่ยวเอ๋อร์หายตัวไป เฉียวหมิ่นโมโหขึ้นมา จับคนใช้ทุกคนในจวนขังไว้ แม่นางเมิ่งให้คนปล่อยพวกเขาออกมาเถิด” 

 

 

พูดจบ ก็มีสาวใช้คนสนิทที่ดูแลท่านลุงจู ท่านป้าจูเดินเข้ามาด้วยความกลัว ทำความเคารพจูหลาน “คุณ คุณชาย” 

 

 

ข้างหลังตามมาด้วยทหารองครักษ์องครักษ์หนึ่ง รายงานกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “นายหญิง พวกข้าเจอคนใช้พวกนี้ที่ถูกขังไว้ ก็เลยปล่อยพวกเขาออกมา” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดสั่งสาวใช้ “สั่ง ให้พวกเขาต้มข้าวต้มมา” 

 

 

สาวใช้รับคำสั่ง แล้วเดินออกไป 

 

 

หลังจากคนใช้ทุกคนถูกปล่อยออกมา ก็มายืนอยู่ในเรือนนี้เพื่อรอรับคำสั่ง ฟังคำของสาวใช้คนสนิทแล้ว แม่ครัวหลายคนก็รีบไปต้มข้าวต้มในห้องครัวทันที 

 

 

“พวกเจ้าทั้งหลายรออยู่ในห้อง ข้ากับอี้เซวียนไปจัดการเรื่องในเรือนก่อน ต้มข้าวต้มเสร็จแล้ว ก็ให้จูหลานดื่มด้วย สงบสติอารมณ์ ไปจวนเฉียวกับพวกข้า” เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นมา กล่าวกับทั้งสาม 

 

 

ทั้งสามพยักหน้า 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกไป มาถึงเรือนของจูหลาน 

 

 

นักยิงธนูและผู้ว่าการเขตถูกจับกุมแล้ว เห็นทั้งสองเดินเข้ามา ทุกคนก็รู้สึกประหม่า มองทั้งสองด้วยความกลัว 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ใส่ใจ เดินผ่านคนพวกนั้นไป มาถึงหน้าประตูใหญ่ 

 

 

ข้างนอกก็มีนักยิงธนูคู่หนึ่งถูกคนที่หวงฝู่อี้เซวียนพามาจับกุมไว้ เหวินเปียวเดินมาข้างหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยสีหน้ารู้สึกผิด กล่าวว่า “นายหญิง ข้า…” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวห้ามเขาพูดโทษตัวเอง กล่าวถามว่า “เรื่องนี้ไม่โทษเจ้า ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขามีแผนสำรอง มีใครได้รับบาดเจ็บหรือไม่” 

 

 

“มีพี่น้องสามคนบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย ทำแผลแล้ว ไม่เป็นไรขอรับ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดสั่งว่า “ดูพวกเขาไว้ให้ดี ห้ามปล่อยแม้แต่คนเดียว” 

 

 

เหวินเปียวรับคำสั่ง 

 

 

ทุกคนที่มาล้อมรอบมุงดูเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับตา ตอนนี้อารมณ์ก็ขึ้นลงตามหลายรอบแล้ว ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดสั่งเหวินเปียวด้วยน้ำเสียงเย็นชา ก็รู้ทันทีว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ ก็รีบยื่นคอยาวทันที เพื่อรอดูเรื่องวุ่นวาย แต่ก็ต้องทำให้พวกเขาผิดหวัง เมิ่งเชี่ยนโยวพูดคำพูดพวกนี้จบ ก็หันหลังกลับเข้าไปจวนจูทันที 

 

 

ทุกคนผิดหวัง แต่ก็เริ่มคาดเดาว่าชายหนุ่มที่ดูดีมีสง่าราศีคนนั้นที่ยืนอยู่ข้างๆ เมิ่งเชี่ยนโยวคือผู้ใด 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องพวกนี้ กลับเข้าไปในเรือนอีกครั้ง ยืนอยู่ตรงหน้าผู้ว่าการเขตที่ยังคงสั่นอยู่ เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวถามว่า “ท่าน ข้ามีเรื่องที่ไม่เข้าใจอยู่เรื่องหนึ่ง อยากให้ท่านช่วยอธิบาย” 

 

 

ผู้ว่าการเขตมองนาง ริมฝีปากสั่น หลังจากเห็นสีหน้าไม่พอใจของหวงฝู่อี้เซวียน ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้ต้องการคำตอบจากเขา กล่าวถามตรงๆ ว่า “ข้าอยากรู้ว่า เมื่อไหร่ที่คนใช้ของทางการถูกฝึกอย่างเข้มงวด แล้วยังมีอาวุธที่ดีขนาดนี้ ทั้งหมดนี้มีตั้งแต่แรกอยู่แล้ว หรือว่าจัดเตรียมเพื่อจัดการข้าโดยเฉพาะ” 

 

 

คนใช้ของทางการมีหน้าที่แค่ดูแลความสงบของพื้นที่ อาวุธที่ดีที่สุดคือมีดใหญ่บนเอว แต่ธนูเป็นอาวุธในค่ายทหาร ไม่ควรปรากฎในหมู่บ้านเล็กๆ นี้ แต่ถ้าบอกว่ามีตั้งแต่แรกแล้ว นั่นหมายความว่าผู้ว่าการเขตคิดไม่ซื่อแน่นอน แต่ถ้าหากบอกว่าจัดเตรียมไว้ เพื่อจัดการเมิ่งเชี่ยนโยวโดยเฉพาะ ดูจากความโหดร้ายของหวงฝู่อี้เซวียนเมื่อสักครู่แล้ว คาดว่าสามารถเตะเขาตายคาที่แน่ๆ  

 

 

ไม่ว่าจะตอบอย่างไรก็ไม่ถูก สีหน้าของผู้ว่าการเขตซีดไร้สีเลือด เหงื่อออกบนหน้าผาก ไม่กล้าเอ่ยตอบ 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็คิดเช่นนี้แต่แรก พอเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของผู้ว่าการเขต ยิ่งทำให้มั่นใจว่าตนคิดถูก จึงออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ค้นให้ทั่ว!” 

 

 

ชายชุดดำที่มาพร้อมเขา ฉุดมือยิงธนูคนหนึ่งยืนขึ้นหมายจะค้นตัวเขา แต่ใครก็คิดไม่ถึงว่ามือยิงธนูนี้จะลงมือชกไปทางชายชุดดำ ชายชุดดำไม่ทันตั้งตัวโดนชกกระเด็นออกไปไกล