TQF:บทที่ 669 พระโอรสสารภาพรัก (2)

 

 

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ พี่น้องฟางหมิงต๋ายังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น เหงื่อไหลออกมาเรื่อยๆจากหน้าผาก ตามวิทยายุทธของพวกเขาแล้วพวกเขาไม่ควรจะขับเหงื่อ แต่พวกเขาก็มีเหงื่อออก

 

ฟางเต๋อซิวมองดูลูกชายที่พูดไม่ออกเป็นเวลานาน แววตาของเขาผิดหวังอย่างสุดซึ้ง ลูกชายทั้ง 3 คนไม่ใช่คนโง่ เพียงแต่พวกเขาล้วนไม่เหมาะที่จะเป็นเจ้าบ้าน คนที่ไม่มีความกล้าหาญมาเป็นเจ้าบ้านรังแต่จะทำให้ตระกูลตกต่ำลง

 

“เจ้ารู้มั้ยว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับตระกูล” ฟางเต๋อซิวเอ่ยเรียบๆ และเขาไม่ได้ปล่อยให้ลูกชายตอบก็พูดต่อ “นอกจากเด็กรุ่นใหม่ที่มีพรสวรรค์ความสามารถแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับตระกูลคือต้องการสมาชิกที่เป็นเทพพิทักษ์ตระกูลได้ ซึ่งก็คือผู้ที่มีวิทยายุทธสูงที่สุด มีเพียงการให้ผู้ที่มีวิทยายุมธสูงสุดเป็นเสาหลักในตระกูลจึงจะไม่มีใครกล้าจองหองกับตระกูลนี้”

 

“ดังนั้นเจ้าบ้านไม่เพียงแต่ต้องปลูกฝังฝึกฝนลูกศิษย์ให้เก่งกาจ กลายเป็นเสาหลักของตระกูล ขณะเดียวกันก็ต้องการเทพผู้พิทักษ์เพื่อช่วยตัวเองปกป้องตระกูล การเป็นเจ้าบ้านแบบนี้สิถึงจะดี กับภายในตระกูลแล้วเขาสามารถตัดสินใจได้ทุกอย่าง กับภายนอกเขาสามารถภาคภูมิใจและไม่หวั่นเกรงต่ออิทธพลอื่นๆ ตระกูลถึงจะแข็งแกร่งขึ้นและเป็นที่เคารพของผู้อื่น

 

พูดถึงตรงนี้ฟางเต๋อซิวก็หยุดไปแปปนึง สายตาหันไปหาลูกชายทั้ง 3 ที่ยังเอ๋ออยู่ “ถ้าพวกเจ้าเจอกับสถานการณ์ตระกูลที่มีแต่ศึกภายใน ทุกคนสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย ฆ่ากันไปฆ่ากันมา จะเกิดอะไรขึ้นกับตระกูลแบบนี้ คนตายกันหมดแล้วจะยังเป็นตระกูลได้อยู่รึ อยู่ข้างนอกใครๆก็อยากจะรังแกเจ้า ธุรกิจของเจ้าก็ถูกคนนี้แย่งไปทีคนนั้นแย่งไปที ทุกอย่างในมือเจ้าล้วนถูกช่วงชิงไปหมด แล้วเจ้าจะเหลืออะไร เจ้าคิดว่าจะสู้กับทุกคนได้เหรอ”

 

“ตระกูลของเจ้ากำลังฆ่ากันเองแล้วเจ้าคิดว่าคนอื่นจะไม่ใช้โอกาสนี้ทำลายพวกเจ้า ตัดแบ่งผลประโยชน์ของตระกูลเจ้าเหรอ พวกเจ้าคิดว่าการเป็นเจ้าบ้านแบบนี้สนุกมั้ย พวกเจ้ารู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ของการเป็นเจ้าบ้านเหรอ ในแต่ละวันพวกเจ้าต้องเลี้ยงดูให้ที่พักพิงกับคนนับพันนับหมื่น แล้วยังต้องให้ทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนกับทุกคน พวกเจ้าคิดว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เจ้าจะอยู่อย่างสบายใจ ไม่ต้องกังวลอะไรเลยเหรอ”

 

“เมื่อมีคนขายผลประโยชน์ของตระกูลเพื่อทำลายศัตรูในใจตัวเองโดยไม่สนใจอย่างอื่นเจ้าจะทำอย่างไรในฐานะเจ้าบ้าน”

 

“ถ้าหากมีคนๆนึงที่สามารถเป็นเทพพิทักษ์ตระกูลได้เลยเดี๋ยวนี้พวกเจ้าจะทำอย่างไร จะกลัวว่าเขาจะเป็นปัญหาต่อฐานะของตัวเองรึเปล่า”

 

“พวกเจ้าจะเลือกอะไรระหว่าง 2 คนนี้”

 

“ถ้าวิทยายุทธของเจ้าอยู่ระดับบรรลุเทพเทวาและมีชีวิตอยู่ได้เป็นหมื่นๆปี แต่ตระกูลของเจ้าได้หายไปจากประวัติศาสตร์แล้ว พวกเจ้าจะเสียใจมั้ย”

 

“พวกเจ้าจะนึกถึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเองหรือจะคิดเรื่องการสืบทอดของตระกูล ให้ตระกูลฟางยืนหยัดอยู่ในชิงยางแห่งนี้ได้เป็นพันเป็นหมื่นปีโดยไม่ตกต่ำ”

 

ฟางเต๋อซิวถามชุดใหญ่แล้วเอนหลังพิงเก้าอี้หลับตาลงอีกครั้ง ความจริงคำถามเหล่านี้เขาก็เฝ้าถามตัวเองหลายรอบแล้วเหมือนกัน และตอนนี้เขาอยากให้ลูกชายของเขาได้พิจารณาปัญหาเหล่านี้อย่างถี่ถ้วน

 

เขาพูดทุกอย่างไปอย่างละเอียดและชัดเจนแล้ว ถ้าขนาดนี้แล้วลูกชายของเขายังเลือกไม่ถูกเขาก็หมดคำจะพูดแล้ว คืนตำแหน่งเจ้าบ้านให้บ้านใหญ่ไปเลยจะดีกว่า

 

หลังจากเป็นเจ้าบ้านมาหลายสิบปี ฟางเต๋อซิวก็เปลี่ยนจากคนเห็นแก่ตัวเป็นชายชราที่มีวิสัยทัศน์ ถ้าหากเขายังตัดสินใจแบบเห็นแก่ตัวเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองโดยไม่คำนึงถึงการสืบทอดของตระกูล เขาก็ไม่สามารถมีที่ยืนชิงยางได้อีก และเขาก็รู้สึกละอายใจต่อบรรพบุรุษของตระกูลฟาง

 

พี่น้อง 3 คนตรงหน้าล้วนเป็นคนมีอายุแล้ว หลังจากที่ได้ท่านพ่อชี้แนะถ้าพวกเขายังคิดไม่ตกอีกก็น่าเสียดายที่พวกเขามีชีวิตอยู่มานานหลายสิบปี

 

“ท่านพ่อ ความหมายของท่านลูกเข้าใจดี ตำแหน่งเจ้าบ้านไม่ใช่เพื่อความเกรียงไกรของตัวเอง เจ้าบ้านต้องทำเพื่อการสืบทอดตระกูลให้คงอยู่ด้วยความดียิ่งๆขึ้นไป ทุกอย่างต้องเอาผลประโยชน์ของตระกูลเป็นหลัก”

 

ฟางหมิงต๋าคำนับให้กับท่านพ่อเสียงดัง ดูเหมือนว่าเขาจะปล่อยวางได้แล้วจริงๆด้วยสีหน้าเรียบเฉย

 

ฟางหมิงหยางที่คุกเข่าอยู่ตรงกลางก็คำนับให้กับท่านพ่อของเขาเสียงดังเช่นกันพลางกล่าวเสียงเข้ม “ท่านพ่อ ลูกเห็นแก่ตัวเกินไป ต้องการแค่ทำทุกอย่างเพื่อตัวเองโดยไม่คิดว่าตระกูลจะต้องเจอกับอะไรบ้างในอนาคต และไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำไปจะทำลายตระกูลนี้ให้สิ้นซาก ลูกผิดไปแล้ว”

 

ฟางหมิงผิงกล่าวบ้าง “ถ้าไม่มีตระกูลฟางในวันนี้ พวกเราก็ไม่ใช่ใครทั้งนั้น ถ้าพวกเราทำให้ตระกูลนี้ต้องออกไปจากชิงยางเราก็ไม่ได้อะไรจากการแย่งชิงในครั้งนี้ ถ้าสถานะของตระกูลเราสูงขึ้นเรื่อยๆในชิงยาง ต่อให้พวกเราไม่ได้เป็นเจ้าบ้านแต่เมื่อเราเดินออกไปข้างนอกผู้คนก็ต้องเคารพเราอยู่ดี ก็ไม่เห็นจะไม่ดีตรงไหน”

 

พูดจบฟางหมิงผิงก็คำนับเสียงดังให้ท่านพ่อเช่นกัน ในที่สุดพี่น้องทั้ง 3 ก็พูดความในใจออกมาจนหมด

 

ขณะเดียวกันพวกเขาก็มองเห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าการมีเรื่องกันเองในตระกูลสุดท้ายแล้วคนที่เสียเปรียบก็คือตระกูลตัวเอง กลับเป็นคนอื่นที่ได้ผลประโยชน์

 

ตอนนี้ฟางเต๋อซิวถึงรู้สึกโล่งใจได้จริงๆ มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าพยักหน้าให้กับลูกชายทั้ง 3 “ลุกขึ้นแล้วนั่งลงเถอะ”

 

“ขอรับท่านพ่อ”

 

น้ำเสียงของพี่น้องทั้ง 3 มีความสุขขึ้น รีบลุกขึ้นและนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ

 

จางชิวถิงมองลูกชายทั้ง 3 ของและคิดถึงเหล่าหลานๆของตัวเอง ถ้าลูกชาย 3 คนฆ่ากันเองเพื่อตำแหน่งเจ้าบ้านนางยอมไม่อยู่ในตำแหน่งภรรยาเจ้าบ้าน อย่างไรซะนางก็รับไม่ได้ที่ต้องเสียเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองไป

 

นางไม่เคยนึกถึงปัญหาเหล่านี้มาก่อน แค่คิดว่าตำแหน่งเจ้าบ้านตกอยู่ในมือบ้านของตัวเองก็พอแล้ว เรื่องอื่นนางไม่สนใจ แค่คำพูดเมื่อกี้ของฟางเต๋อซิวปลุกนางให้ตื่นขึ้นมาเจอกับความจริงอันโหดร้าย

 

ดังนั้นนางจึงไม่พูดถึงเรื่องพวกนี้อีกต่อไป อย่างไรซะสามีและลูกชายคือทุกอย่างของนาง เรื่องอื่นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับนางอีกแล้ว ในใจจึงไม่คิดอยากได้อะไรอีก เพียงแต่นั่งเงียบๆอยู่อย่างนั้น

 

“สิ่งที่สั่งสมมานับพันปีถูกทำลายลงในเพียงครั้งเดียว พวกเจ้านั่นแหละคือคนบาป…..”

 

ฟางเต๋อซิวถอนหายใจยาวๆ “อาสามของพวกเจ้าจิตใจคับแคบ นิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้น ด้วยเรื่องในตอนนั้นเขาทำมากเกินไปจริงๆ เดิมทีตอนนั้นก็เพราะแม่ของเขานั่นแหละที่ทำเกินไป ใส่ร้ายท่านย่าใหญ่ของพวกเจ้าหลายต่อหลายครั้ง แม่ใหญ่กลับไม่เคยคิดจะลงมือกับพวกเขาแม่ลูกจริงๆ แค่ลงโทษนิดหน่อยเท่านั้น ในทางกลับกันอาสามของพวกเจ้าไม่แยกแยะความถูกผิด ทำร้ายท่านย่าใหญ่ของพวกเจ้าจนถึงแก่ชีวิต”

 

“ไม่ใช่แค่นั้น เพื่อที่จะกดขี่บ้านลุงใหญ่ของพวกเจ้า เขาถึงขั้นหลอกใช้ท่านปู่ของพวกเจ้า ทำให้ท่านปู่ของพวกเจ้าต้องตายด้วยน้ำมือของคนอื่น แล้วยังให้ลูกสาวของเขาลอบทำร้ายลูกพี่ลูกน้องของพวกเจ้า หลังจากนั้นลูกชายเขาฟางหมิงเจ๋อทำลายลูกพี่ลูกน้องพวกเจ้าอย่างสิ้นเชิง นิสัยโหดเหี้ยมขนาดนี้เหมือนกับแม่ของเขาไม่มีผิด ไม่มีสัมพันธ์ครอบครัวแม้แต่น้อย”

—————————