เมื่อพูดจบบุรุษเมฆาม่วงม้วนพับแขนเสื้อตัวใหญ่ของเขาและปล่อยพลังชีวิตสีม่วงสองร้อยเสี้ยวออกไปด้วยความแม่นยำ เสี้ยวพลังเหล่านั้นลอยไปที่เหนือศีรษะของยอดฝีมือทุกคน มันเกิดเป็นข้อความที่เหนือศีรษะ
ข้อความที่ปรากฏเหนือศีรษะของศิษย์ตำหนักโลหิตคือ‘แดง’ ส่วนศิษย์ตำหนักเมฆาม่วงเขียนว่า ‘ม่วง’ เช่นเดียวกับสำนักอื่น ควันพลังเหนือศีรษะของพวกเขาเป็นรูปลักษณ์ตามสำนักที่มา
“ถ้าหากฝ่ายใดยอมแพ้พลังชีวิตม่วงจะไปรวมกันที่ศีรษะของผู้ชนะ เมื่อการแข่งขันจบลง ผลจะตัดสินตามจำนวนพลังชีวิตเมฆาม่วง”
บุรุษเมฆาม่วงประกาศ
“การแข่งขันใช้เวลาหนึ่งวันในพื้นที่ลับ หากใครยอมแพ้หรือเจอกับสถานการณ์เสี่ยงชีวิตจะถูกย้ายออกมาด้านนอก จะไม่มีความเสี่ยงเข้ามาเกี่ยวข้องในครั้งนี้”
ซือหยูหน้านิ่วเมื่อได้ฟัง
“การประลองเปลี่ยนจากบนลานประลองเป็นการผจญภัญแล้วหรือ?”
เขาคิดกับตัวเอง
มันฟังดูประหยัดเวลาและยุติธรรมลำดับทั้งหมดจะถูกตัดสินในวันเดียว แต่พื้นที่ลับพิเศษเมฆาม่วงคือสถานที่ของตำหนักเมฆาม่วงเอง ดังนั้นศิษย์ตำหนักเมฆาม่วงจะคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมยิ่งกว่าผู้เข้าร่วมคนอื่น พวกเขาได้เปรียบกว่าสำนักอื่นมาก แล้วม่อเทียนฉวนยอมรับการแข่งขันที่ไม่ยุติธรรมแบบนี้ได้อย่างไร?
“แล้วก็…”
บุรุษเมฆาม่วงมองรอบๆ
“ทุกคนที่มีพลังชีวิตเมฆาม่วงจะเข้าร่วมการแข่งนี้ได้ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใด”
ซือหยูตระหนักได้ในทันทีในฐานะของข้ารับใช้คนสนิทของม่อเทียนฉวน ซือหยู ปิงหวูชิง กงซุนหวูซื่อ และไป่ชานเหลียงต่างมีพลังชีวิตเมฆาม่วงที่เหนือศีรษะ หมายความว่าพวกเขามีสิทธิ์ในการแข่งครั้งนี้แล้ว
แต่ในอีกฝั่งสำนักที่เหลือที่พาศิษย์เกินจำนวนมากลับไม่ได้พลังชีวิตเมฆาม่วง การได้รับปฏิบัติที่แตกต่างกันนี้ทำให้พวกเขาใบหน้ามัวหมอง
“ข้าขอบังอาจถามบุรุษเมฆาม่วงเหตุใดศิษย์ของพวกเราส่วนหนึ่งถึงไม่ได้รับพลังกัน?”
ปราชญ์วัยกลางคนหน้าขาวถามขึ้นเขาถือพัดสีขาวในมือและจ้องมองทิศทางของซือหยู เขากำลังบอกว่าสำนักเขาไม่ได้รับความยุติธรรม
ตำหนักโลหิตมีสิทธิพิเศษใดถึงได้สิทธิ์เพิ่มสิบสิทธิ์ขณะที่พวกเขาถูกยกเว้นเล่า?
บุรุษเมฆาม่วงตอบอย่างไม่แยแส
“พื้นที่ลับจุคนได้จำกัดถ้าเจ้าอยากจะแบ่งตำแหน่งให้คนอื่น ตำหนักชิงวิญญาณจะไม่เข้าร่วมก็ได้”
น้ำเสียงของเขาชัดเจน
ปราชญ์วัยกลางคนพูด
“มิใช่เรื่องจริงจังขนาดนั้นหรอกบุรุษเมฆาม่วงสำนักพวกเราเพียงสงสัย พวกเราจะทำตามที่ท่านจัดแจง”
เขาก้าวไปด้านหลังด้วยความสุขุมแต่เขาถือพัดในมือแน่นขึ้น ใครกันจะกล้าตั้งคำถามกับบุรุษเมฆาม่วงไปมากกว่านี้?
ซือหยูเข้าใจแล้วว่าทำไมม่อเทียนฉวนถึงยอมรับการแข่งขันที่ไม่ยุติธรรมนี้เพราะตำหนักโลหิตจะได้ตำแหน่งเพิ่มอีกสิบที่นั่ง
“ทุกคนตามข้าไปที่แดนลับ”
บุรุษเมฆาม่วงบินขึ้นเขาก้าวย่างไปยังท้องนภาที่เต็มไปด้วยเมฆ บินไปยังยอดเขาที่สอง
ยอดเขาที่สองมีทั้งเมฆและหมอกลอยล่องห้อมล้อมพื้นที่ในระยะสามลี้มิอาจมองผ่านไปด้วยตาเปล่า พลังวิญญาณที่ยอดเขานี้หนาแน่นกว่าที่อื่น บางที่อาจจะเป็นเพราะค่ายกลภูเขา การบ่มเพาะที่นี่หนึ่งวันนับเป็นสิบวันในโลกภายนอก
วัตถุดิบหายากราคาแพงเติบโตอยู่บนยอดเขาแห่งนี้ยังมีพวกสัตว์อสูรล้ำค่าที่หายากด้วย และที่สำคัญที่สุด แรงกดดันบนยอดเขานี้เองยังมีอยู่มาก ความเร็วในการเดินบนยอดเขานี้จะช้าลง
ตามปกติพวกเขาสามารถบินข้ามยอดเขาได้ในระยะไม่ไกลในเวลาเพียงพริบตา แต่ในยอดเขานี้ พวกเขาไม่ต่างจากคนธรรมดาที่ทำได้แค่เดิน
“พวกเจ้ารีบเข้าไปพวกเจ้ามีเวลาหนึ่งวันก่อนจะถูกย้ายออกมา ถ้าหากไม่ได้พลังชีวิตเมฆาม่วงกลับมา ลำดับพวกเจ้าจะหลุดจากร้อยอันดับแรก”
บุรุษเมฆาม่วงกล่าว
ทุกคนเตรียมพร้อมเมื่อพวกเขาร่อนลงไปที่ร้อยศอกเหนือพื้นดิน จู่ ๆ แรงกดดันมหาศาลก็เข้ามากดดันพวกเขาจากทุกทิศทาง พวกเขาเริ่มใช้พลังอย่างดีที่สุด แต่แรงกดดันก็มิอาจถูกต้านได้ พวกเขาถูกบังคับให้ตกลงมาจากฟ้า พ้อมกันนั้นแรงกดดันด้านข้างยังทำให้พวกเขาเปลี่ยนเส้นทางไม่ได้ หลายกลุ่มที่ผูกมิตรกันต้องถูกบังคับให้แยกจากกัน
ปั้ง!ปั้ง! ปั้ง!
เสียงการปะทะรุนแรงดังมาจากศิษย์สองร้อยคนที่เข้าร่วมการคัดเลือกที่ตกลงจากท้องฟ้า
ที่พื้นหมอกนั้นหนากว่าจากที่เห็นบนฟ้าหลายเท่า จากเบื้องบนพวกเขาเห็นได้ในระยะหนึ่งลี้ แต่เมื่อพวกเขาอยู่บนพื้นดิน พวกเขาก็ต้องตกใจมากที่พวกเขามองได้ไม่ได้กว่าสามร้อยศอก ยากมากที่กลุ่มที่ถูกแยกจากกันจะรวมตัวกันอีกครั้ง การค้นหากลุ่มตัวเองแบบไม่มีแผนการก็จะยิ่งทำให้เป็นอันตรายยิ่งกว่าเดิม
หลังจากร่อนลงพื้นซือหยูไม่ได้ขยับตัวเลย เขาปกปิดกลิ่นอายของตัวเองเอาไว้ เขายืนนิ่งราวกับท่อนไม้ที่ไร้การเคลื่อนไหว ทั้งหมดที่เขาทำคือการปรับประสาทสัมผัสทั้งห้าเพื่อสังเกตความเคลื่อนไหวโดยรอบ
แต่ก็แปลกมากหลังจากที่เสียงกระแทกพื้นสลายไป พื้นที่รอบกายเขานั้นเงียบกริบ มันเงียบจนได้ยินเสียงของแมลง
มีอย่างน้อยห้าคนที่ตกบนพื้นที่ใกล้เขาในระยะสามลี้แต่ก็ไม่มีร่องรอยของการเคลื่อนไหวใกล้ ๆ ที่สื่อถึงพวกเขาเลย เขาสังเกตสภาพแวดล้อมประหลาดนี้ได้และไม่กล้าขยับตัว
ซือหยูรอไปครึ่งชั่วโมงเขารู้สึกราวกับอยู่ที่นี่เพียงคนเดียว แต่ในตอนนั้นเอง เขาเห็นแสงพลังวิญญาณที่ระยะไม่ถึงลี้ทางด้านขวา
มีคนอดทนยืนรอไม่ไหวและขยับตัว!ต่อมาพลังวิญญาณอันเข้มข้นได้ปั่นป่วนตามด้วยเสียงกรีดร้องที่แทบจะไม่ได้ยิน
ซือหยูถอนหายใจเงียบๆ คนที่ขยับคนแรกนั้นถูกจัดการไปแล้ว ซือหยูกำลังจะขยับท่ามกลางความยุ่งเหยิงไปที่ใกล้ๆ แต่เขาก็ต้องหยุดลง
“มีบางอย่างแปลกๆ! ข้าเกือบจะโดนกับดักแล้ว!”
เขาคิดเขาก้าวถอยช้า ๆ และปกปิดกลิ่นอายของตัวเองต่อไป
จากนั้นคลื่นพลังสามสายได้พุ่งมาจากทิศทางที่แตกต่างกัน มีสามคนคิดจะออกจากพื้นที่โดยอาศัยความวุ่นวายจากการต่อสู้อย่างที่ซือหยูคิดจะทำ แต่ทันทีทันใดก็เกิดเสียงกรีดร้องอย่างทุกข์ทรมานดังไปทั่วหมู่เมฆตามด้วยเสียงคำรามดังก้อง
“อ๊าาาากก!เจ้าเล่นสกปรก!!” novel-lucky
“สายไปแล้ว!”
ซือหยูได้ยินเสียงอันคุ้นเคยคนที่ส่งเสียงคำรามหยุดเสียงลง
ไม่นานหลังจากนั้นหมอกก็สั่นไหวเบา ๆ พลังมิติแล่นผ่าน อาจจะมีคนที่กำลังจะตายและถูกเคลื่อนย้ายออกไป เสียงกรีดร้องแรกสุดกลับกลายเป็นเสียงลวงอันเจ้าเล่ห์จากคนที่จงใจสร้างความปั่นป่วนเขาตั้งใจลวงคนที่ซ่อนตัวอยู่ให้ส่งเสียง และก็เป็นอย่างที่เขาหวัง ทุกคนที่ซ่อนตัวอยู่ถูกลวงออกมายกเว้นแค่ซือหยู มีหนึ่งคนถูกลอบสังหารไป
ไม่นานต่อมาก็เกิดความวุ่นวายในระยะใกล้ๆ อีกสองคนที่รู้ว่าเป็นกลสกปรกแต่ก็เผยกลิ่นอายตัวเองไปแล้วไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวอีกต่อไป พวกเขาปลดปล่อยพลังวิญญาณและวิ่งหนีด้วยความเร็วเท่ากับการบิน แต่การหนีของพวกเขาก็ตรงกับอุบายของอีกฝ่ายเช่นกัน
“หึหึจะไม่มีใครหนีไปได้ทั้งนั้น!”
ผู้ใช้อุบายนี้มีวิชาเคลื่อนไหวอันรวดเร็วเสียงกรีดร้องที่ดังสั้นกว่าเมื่อครู่ดังขึ้น ไม่นานก็ตามด้วยเสียงอ้อนวอนของอีกคน
ในบรรดาห้าคนที่ร่อนลงพื้นที่เดียวกันสามคนถูกกำจัดไปอย่างรวดเร็วมาก ซือหยูต้องระวังตัวมากขึ้น “ข้าต้องเตรียมตัวแล้ว…”
ซือหยูลูบคางคิดเขาออกจากบริเวณในทันที ด้วยระยะที่ห่างกัน การเคลื่อนไหวของพลังที่สั่นสะเทือนจึงไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายรู้ตัว
ไม่นานหลังจากเขาเดินออกไปชายหนุ่มหน้าคล้ำปรากฏตัวทะลวงหมอกมาใกล้ ๆ หลังจากค้นจนทั่วก็หรี่ตา
“เจ้าคนที่อยู่ที่นี่ระวังตัวมากนักมันใจเย็นอยู่ได้แม้จะได้ยินเสียงกรีดร้อง ไม่ทิ้งแม้ร่องรอยบ แต่ก็เอาเถอะ ข้าต้องหาซือหยูเซี่ยนห้เจอก่อน ศิษย์พี่เทียนหยูสั่งข้าไม่ให้มันผ่านการคัดเลือก…”
เขามุ่งหน้าไปสู่หมอกหนา
ซือหยูพบต้นไม้เก่าแก่ที่ลับตาเขาปีนขึ้นไปอย่างเงียบเชียบ เขาเงยหน้ามองท้องนภาพลางคิด มีความยากอยู่สองรูปแบบในพื้นที่ลับเมฆาม่วงแห่งนี้ ประการแรกคือแรงกดดันที่จะแตกต่างกันตามพลังของแต่ละคน มันทำให้ทุกคนเสียพลังในการเคลื่อนไหวอันรวดเร็วไป พวกเขาไม่ต่างกับคนธรรมดาความเร็วมากสุดอยู่ที่ราวยี่สิบหกศอกต่อหนึ่งวินาที แม้แต่การปีนต้นไม้ก็กินแรงไปมาก
ประการที่สองที่นี่เต็มไปด้วยหมอกหนา ระยะสายตาถูกจำกัดอยู่แค่สามร้อยศอก ถ้าเป็นเช่นนี้ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะแอบซุ่มโจมตี ทุกคนมีโอกาสเจอกับศัตรูได้ในโอกาสที่เท่ากัน ซือหยูตระหนักว่าสองจุดนี้ทำให้การแข่งขันมีความยุติธรรม มันขัดขวางการร่วมมือกันของคนอ่อนแอที่คิดจะกำจัดคนที่แข็งแกร่งไปได้
ซือหยูวิเคราะห์สถานการณ์ต่อไปหากการแข่งดำเนินเรื่อยไป เป้าหมายก็ย่อมน้อยลงตามไปด้วย มีคนทั้งหมดสองร้อยคน ตามทฤษฎี การได้เสี้ยวพลังเดียวมาก็มากพอที่จะไปแดนมณีแล้ว เมื่อเป้าหมายสำเร็จ คนที่ได้พลังมาย่อมต้องไปหาที่ซ่อนตัวและรอจนกว่าเวลาจะหมดลง ดังนั้นยิ่งใกล้หมดเวลาเท่าใดก็จะยิ่งเสียเปรียบมากเท่านั้นหากยังไร้พลัง
ถ้ายังรีรออยู่คนที่แข็งแกร่งจะต้องเก็บพลังไปอีกมาก
และการที่มีคนกำจัดสามคนไปเมื่อครู่นั้นตรงตามความคิดนี้พอดี
หลังจากวิเคราะห์เสร็จซือหยูรีบคิดถึงสิ่งที่ต้องทำ เขาต้องหาเสี้ยวพลังเมฆาม่วงมาให้ได้หนึ่งพลังในครึ่งวันแรก เพราะในครึ่งวันหลังจะมีความเสี่ยงสูง เขาอาจจะต้องไปเจอกับสถานการณ์ที่มิอาจหาร่องรอยของศัตรูได้
ก่อนที่เขาจะลงมือซือหยูพยายาทใช้เนตรวิญญาณช้า ๆ ดวงตาของเขาเปล่งประกาย เนตรวิญญาณของเขามองทะลวงได้ไปเกือบสี่พันศอก มันขยายมากกว่าเดิมไปสิบเท่า ระยะทางนี้ทำให้ซือหยูเห็นศัตรูได้ก่อนใคร และดียิ่งกว่าคือเขาจะแอบโจมตีล่วงหน้าได้
ซือหยูมั่นใจขึ้นมากเมื่อใช้เนตรวิญญาณเขาเอนกายที่ต้นไม้และเหลือบมองรอบ ๆ ในระยะสี่พันศอก
ไม่มีใครอยู่บริเวณนี้ซือหยูปีนลงจากต้นไม้เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใคร เขาเดินไปข้างหน้า เพราะดูเหมือนว่าเขาจะร่อนลงในตำแหน่งใต้สุดของพื้นที่ลับ ขณะที่คนส่วนใหญ่ตกลงตรงกลาง
“พื้นที่ตรงกลางคือสนามรบหลักสินะ”
ซือหยูคิดหลังจากรู้ทิศทางที่ต้องไป เขามุ่งหน้าไปยังทิศเหนือทันที
หนึ่งชั่วยามต่อมาเวลาหนึ่งในหกของวันได้ผ่านไปแล้ว หากรวมกับช่วงเวลาก่อนหน้า หนึ่งในสี่ของเวลาก็ผ่านไปแล้ว ซือหยูกต้องหาเป้าหมายให้เจอในหนึ่งชั่วยาม มิเช่นนั้นเขาจะเสียเปรียบอย่างมากหากต้องล่าศัตรูในครึ่งวันหลัง
ซือหยูเดินไปหลายสิบลี้หลังจากข้ามน้ำข้ามภูเขามาหนึ่งชั่วยาม เขาได้เจอกับขอบของพื้นที่ส่วนกลาง
ตลอดทางเขาพบสถานที่มากมายที่มีร่องรอยของการต่อสู้ เขาเชื่อว่าจะต้องมีคนโดนกำจัดไปแล้วในทุกแห่ง มันยิ่งทำให้ซือหยูมีความปรารถนาที่จะล่า
จู่ๆ เขาสัมผัสคลื่นหนาแน่นของพลังวิญาณได้ เขาหันไปมองและกระโจรไปยังหินก้อนใหญ่อย่างคล่องแคล่วราวกับกระต่ายและมองรอบ ๆ ด้วยเนตรวิญญาณ