เนตรวิญญาณมองทะลวงไปช้าๆ สามร้อยศอก หกร้อยศอก พันศอก…ไปจนถึงสี่พันศอก มันคือขีดจำกัดของเนตรวิญญาณ เขาพบคนสองคน และเขายังรู้จักหนึ่งในนั้น!
มีชายหนุ่มอายุราวยี่สิบห้าที่ดูดีอย่างมากเขามีคิ้วหนาเหมือนกับกระบี่และดวงตาเปล่งประกาย เขาคือศิษย์พี่ถังที่ปกป้องความรักของตนต่อปิงหวูชิงจากซือหยู
ตอนนี้เขากำลังต่อสู้เต็มกำลังอยู่กับหญิงสาวที่สวมชุดตำหนักเมฆาม่วง ทั้งสองเป็นจ้าวเทวะระดับแปดเหมือนกัน ทุกการโจมตีส่งผลกระทบไปยังสิ่งรอบข้าง แม้จะอยู่ห่างกันสี่พันศอก ซือหยูก็สัมผัสถึงความดุดันของวิชาของพวกเขาได้
ถ้าหากซือหยูต่อสู้กับใครก็แล้วแต่ถ้าหากไม่ใช้ท่าไม้ตายสุดยอดก็ยากที่เขาจะเอาชนะได้ในระยะเวลาอันสั้น
ทั้งสองต่อสู้มาสักพักแล้วพื้นที่โดยรอบปั่นป่วนวุ่นวาย ทั้งสองมีรอยแผลและโลหิตไหลตามตัว โดยเฉพาะหญิงสาวที่หายใจหอบหนักจากความปวดร้าว พลังวิญญาณของนางถูกใช้ไปมหาศาล กำลังของนางลดน้อยลงไปมาก ด้วยแรงโน้มถ่วงรุนแรงของพื้นที่ลับเมฆาม่วง กำลังกายที่ต้องใช้นั้นมากกว่าเดิมหลายเท่า
เทียบกันแล้วศิษญ์พี่ถังสภาพดีกว่านางเล็กน้อย บางทีอาจจะเพราะเขาเป็นบุรุษหรือไม่ก็เพราะว่ามีการฝึกชำระล้างร่างกายมาก่อน ถ้าหากไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาก็น่าจะเป็นผู้ชนะในศึกนี้
“ถังหลิงเจ้าคิดจะรู้กับข้าจนตายไปข้างหนึ่งรึ? ทั้งเจ้าและข้ามีพลังมหาศาล ถ้าถูกคัดทิ้งไปทั้งอย่างนี้มันจะสูญเปล่า!”
นางตะโกนหลังจากจู่โจมอีกฝ่าย
ถังหลิงหยุดพักและจ้องมองหญิงสาว
“ศิษย์น้องเคาหลิงเจ้าเป็นคนเริ่มก่อนเองนะ ถ้าไม่ใช่เพราะพลังข้า ข้าจะไม่ถูกเจ้ากำจัดไปแล้วหรือ? ถ้าหากเจ้าไม่ใช่ฝ่ายเริ่มก่อน ข้าก็คงจะยอมรับได้”
เคาหลิงยิ้มอย่างสง่างาม
“ศิษย์พี่ถังหลิงโปรดให้อภัยที่ข้าบุ่มบ่ามลงมือ นี่โอสถฟื้นกำลัง มันเหมาะกับการเติมพลังวิญญาณและกำลังกาย ข้าว่ามันคงจะชดเชยได้มากพอ ถ้าหากเราสู้กันต่อไป พวกเราก็คงจะต้องแพ้มือที่สาม”
นางกล่าว
ถังหลิงขมวดคิ้วเมื่อคิดถึงเรื่องผลประโยชน์และผลเสีย เขาก็ตัดสินใจจะปล่อยไป
“ฮื่มเจ้าจะไม่โชคดีแบบครั้งนี้แน่ถ้าเจอกับข้าอีกในแดนมณี! ครั้งนี้ไม่เป็นไร แต่อย่าให้มีอีก!”
เคาหลิงพูดถูกการต่อสู้ครั้งใหญ่ของพวกเขาได้เข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ คนนอกอาจจะแอบเล็งเป้าพวกเขาอยู่แล้วก็ได้ หรือก็อาจจะมีคนจับตาดูพวกเขา รอให้พวกเขาทั้งสองพลาดท่า เคาหลิงหัวเราะและโยนกล่องหยกไปให้ถังหลิง
ถังหลิงระวังตัวและไม่รับมันเขาพันมันด้วยชายเสื้อ เขามองดูมันและยิ้ม
“นี่เป็นโอสถฟื้นกำลังของจริงข้าขอตัวก่อน”
ถังหลิงประสานมือเขาไม่ได้ดื่มโอสถในทันทีแต่คิดจะไปดื่มมันในที่ปลอดภัยเขาตรวจสอบให้แน่ใจก่อนดื่มมัน เขาก้าวไปข้างหลังอย่างระมัดระวัง
แต่เคาหลิงก็สีหน้าเปลี่ยนไป
“ใยไม่ดื่มตรงนี้เล่ากลัวว่าข้าจะทำร้ายหรือ?”
“ฮ่าๆๆถ้าเป็นเจ้าจะวางใจของที่ข้าให้เจ้าไหมล่ะ?”
ถังหลิงถามกลับ
เคาหลิงยิ้ม novel-lucky
“ข้าก็คงกังวลนั่นแหละเพราะถ้าข้าอยากจะวางพิษเจ้า ข้าก็คงไม่ทำด้วยโอสถ แต่เป็นกลิ่น”
กลิ่นรึ?ถังหลิงตกใจ จากนั้นเขาก็ชักสีหน้า เขาขว้างขวดหยกออกจากชายเสื้อ ถึงอย่างนั้นมันก็สายไปแล้ว ถังหลิงตัวบิดไปทั้งร่าง ฟองขาวไหลออกจากปาก เขาล้มลงไปกองกับพื้น เหลือเพียงแค่ดวงตาที่ยังตกตะลึง
“หึหึเวลาที่ข้ารอมานานมาถึงแล้ว”
เคาหลิงเดินไปหาเขาพร้อมกับหัวเราะ
“เจ้ารู้วิธีจัดการกับคนที่มีพลังเท่ากันไหมล่ะ?ข้าคิดในใจมาหลายสิบครั้ง แล้วข้าก็ใช้วิธีนี้บ่อยในพื้นที่ลับเมฆาม่วงเลยล่ะ”
สำหรับคนในตำหนักเมฆาม่วงพื้นที่ลับเมฆาม่วงเป็นดั่งสวนหลังบ้านของพวกเขา พวกเขาสามารถใช้กลการต่อสู้ได้ทุกเมื่อ ถังหลิงโดนกับดักนี้เข้าอย่างจัง
เขาร่างบิดเบี้ยวตาเหลือกมองบน เขากำลังจะถูกเคลื่อนย้ายออกไป
เคาหลิงย่อตัวลงและแตะแก้มของเขาพร้อมกับกึ่งยิ้ม “ลาก่อนศิษย์พี่เจ้าคงต้องไปแดนมณีในอีกร้อยปีแล้วล่ะ”
เมื่อนางพูดจบเคาหลิงคว้าพลังชีวิตเมฆาม่วงที่เหนือศีรษะถังหลิงมา แต่นางก็ชักสีหน้าทันทีที่จะคว้าพลัง นางชักมือกลับในทันทีและกระโดดไปข้างหลัง
ฟึ่บ!
นางสายเกินไปกระบี่ขาวราวหิมะโผล่มาจากชายเสื้อของถังหลิงพุ่งไปที่ท้องของเคาหลิง พลังมหาศาลส่งตัวเคาหลิงกระเด็นไปกระแทกกับต้นไม้ใหญ่
เคาหลิงเอามือจับท้องและมองถังหลิงที่คลานช้าๆ อย่างไม่เชื่อสายตา
“เจ้าไม่โดนพิษเรอะ?”
ถังหลิงเช็ดฟองขาวที่มุมปากออกไปเขาถอนหายใจแรงจากใบหน้าที่เจ็บปวด
“เจ้าคิดจริงๆ รึว่าจะใช้กลกระจอกไม้นี้หลอกข้าได้?”
เขาถอดชิ้นอำพันออกจากลำตัวมันมีแมลงสีขาวอยู่ในอำพันนี้ มันเหมือนกับหิมะและมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ
“จักจั่นร้อยพิษ?”
เคาหลิงตกตะลึงจักจั่นร้อยพิษเป็นแมลงวิญญาณที่สูญพันธุ์ไปตั้งแต่ครั้งโบราณ ว่ากันว่ามันรอดชีวิตโดยการกลืนกินสิ่งที่เป็นพิษหลายชนิดบนโลก มันมักจะใช้เป็นของต้านพิษมาตั้งแต่ครั้งโบราณ ในยุคสมัยปัจจุบัน มันเป็นของที่หาได้ยากมาก โดยทั่วไปมักจะเป็นซากที่ถูกอำพันห่อหุ้ม กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของมันมากพอแล้วที่จะใช้ต้านพิษ
ถังหลิงที่ถูกพิษเข้าถึงไม่เป็นอะไรในเวลาต่อมาแล้วเคาหลิงจะรู้หรือว่าถังหลิงมีของล้ำค่าเช่นนี้อยู่กับตัว?
“ศิษย์น้องมันจบแล้ว”
ถังหลิงหัวเราะอย่างเย็นชาเขาปล่อยหมัดอันไร้ปรานีออกไป หมัดนี้มีพลังเต็มที่ของถังหลิง และเคาหลิงที่บาดเจ็บหนักย่อมต่อต้านไม่ได้ เคาหลิงรู้สึกว่าชีวิตนางเป็นภัยพลังมิติโอบล้อมกายนางพานางออกไปด้านนอก
เสี้ยวพลังชีวิตเมฆาม่วงถูกทิ้งเอาไว้ถังหลิงเอื้อมมือคว้า พลังชีวิตเมฆาม่วงลอยมาเหนือศีรษะของเขา มันทำให้พลังที่มีอยู่เพิ่มเป็นสองเท่า
หลังจากการต่อสู้จบลงถังหลิงเหลือบมองรอบ ๆ และเตรียมจะหนีเพื่อหาที่พักฟื้นพลัง
“นั่นใครน่ะ?”
ถังหลิงตะโกน
ซือหยูตกใจเล็กน้อย…มันเจอตัวข้ารึ?
ซือหยูถอยออกไปช้าๆ แต่จากนั้นเขาก็หยุดเดิน เขาจ้องไปยังที่ไกลออกไปสี่พันศอก ในจุดที่เกินกว่าระยะนี้ มีสัมผัสพลังมหาศาลก้าวเข้ามาช้า ๆ
ถังหลิงสัมผัสพลังนี้ได้เช่นกันเขาจ้องมองระยะสามร้อยศอกข้างหน้า
เมฆหมอกลอยล่องเป็นคลื่นราวกับมีสัตว์อสูรอยู่ในเมฆหมอกเหล่านั้นพื้นที่โดยรอบเงียบกริบ เหล่าแมลงหยุดเคลื่อนไหว แม้แต่สายลมยังเงียบไป มีเพียงเมฆที่ลอยเคว้งไปอย่างช้า ๆ ไม่หยุด บรรยากาศนี้แปลกประหลาดมาก
แม้แต่ซือหยูยังสัมผัสได้ว่ามีเรื่องพิสดารในพื้นที่นั้นเขาเคยเห็นจ้าวเทวะมามากมายและเคยสังหารจ้าวเทวะระดับเก้ามาด้วยมือตัวเอง แต่ก็ไม่มีจ้าวเทวะคนใดที่ทำให้เขากังวลถึงเพียงนี้ ราวกับว่าเขาไม่ได้เจอจ้าวเทวะ แต่เป็นอสูรเนรมิตร
เหงื่อเย็นยะเยือกผุดขึ้นมาที่หน้าผากถังหลิงเขากำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว เขาตะโกนเสียงต่ำ
“ใครน่ะ?”