ตอนที่ 708 จิตวิญญาณกระบี่พิฆาตวิญญาณ

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

“ใช่! มันเป็นเช่นนั้น และเจ้าก็หยุดคิดได้แล้ว บนโลกใบนี้มันกว้างใหญ่นัก หากเจ้าต้องการครอบครองพลังธาตุอัคคีแล้วล่ะก็ ข้าจะต้องช่วยเจ้าหาหนทางอื่นได้แน่ แต่เจ้าจะไปยั่วยุกับพิฆาตวิญญาณไม่ได้เด็ดขาด!” อาถิงกล่าวเตือนด้วยเสียงขรึม

“หากเจ้านั่นเอาจริงเข้า อย่าว่าแต่ข้าเลย ต่อให้เป็นเจ้าสารเลวนั่นก็เกรงว่าจะมาช่วยเจ้าไม่ทัน!”

เจ้าสารเลวที่อาถิงหมายถึงแน่นอนว่าเป็นจิ่วเยี่ย

มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าเข้าใจแล้ว”

หลังจากที่พูดคุยกับอาถิงเสร็จ มู่เฉียนซีก็กล่าวกับอาจารย์ใหญ่ซวนว่า “ข้าก็ไม่อาจที่จะละโมบโลภมากได้ เอาเป็นว่าหาตัวกระบี่เจอแล้วค่อยว่ากันเถอะ กระบี่ของตัวเองใช้ครั้งเดียวแล้วหักซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้ ความรู้สึกนี้มันไม่ดีเอาซะเลย”

อาจารย์ใหญ่ซวนกล่าว “ก็จริง! ทุก ๆ เรื่องมันต้องเป็นไปทีละก้าว แต่สาวน้อย เจ้าจะยอมแพ้ไม่ได้เด็ดขาดเชียวนะ หากสามารถครอบครองกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดได้ ภายในเวลาร้อยปีนี้เจ้าจะต้องเป็นผู้ที่มีอำนาจยิ่งใหญ่เกินใครทั้งสิ้นแน่นอน”

มู่เฉียนซีกล่าว “อาจารย์ใหญ่ซวน ตำราในห้องตำราของท่านข้าก็ได้อ่านแล้ว กระบี่มังกรเพลิงพิฆาตวิญญาณหากไม่สามารถควบคุมมันได้ มันก็จะฆ่าผู้เป็นนาย นับว่ามันอันตรายมาก!”

อาจารย์ใหญ่ซวนกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “ใช่ ข้าได้ศึกษาเรื่องราวของกระบี่มังกรเพลิงพิฆาตวิญญาณมานานแล้ว ตั้งแต่อดีตกาลจนถึงบัดนี้ ถึงแม้ว่าจะมีคนโชคดีได้กระบี่มังกรเพลิงพิฆาตวิญญาณไปครอบครอง แต่สุดท้ายก็ถูกกระบี่มังกรเพลิงพิฆาตวิญญาณควบคุมแทน กลายเป็นข้ารับใช้ของมัน และหลังจากที่มันเบื่อเจ้านายของมันแล้ว มันก็จะกลืนกินวิญญาณของเจ้านายมัน”

“กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ หรือกระบี่มังกรเพลิงพิฆาตวิญญาณ วิญญาณของมันก็คือมังกรเพลิง มีลักษณะพิเศษเป็นเปลวเพลิง ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษของการกลืนกินที่น่าเกรงกลัวที่สุด จิตวิญญาณกระบี่นั้นแข็งแกร่งกว่าวิญญาณกระบี่มาก ดังนั้นจิตวิญญาณกระบี่ก็คือหัวใจของมัน ทำให้กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์เป็นกระบี่ที่อันตรายมาก”

“ถึงแม้ว่าข้าจะเลื่อมใสศรัทธากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์มาก แต่ก็อยากจะแนะนำสาวน้อยอย่างเจ้าสักคำว่าอย่าได้ดึงดัน ในเมื่อเจ้าได้ครอบครองคมกระบี่แล้ว นั่นก็เป็นโอกาสของเจ้าแล้ว”

มู่เฉียนซีกล่าว “เรื่องตัวกระบี่ ข้าต้องวานท่านอาจารย์ใหญ่ซวนแล้ว”

“วางใจเถอะ! ข้าจะต้องตีตัวกระบี่ออกมาอย่างสุดความสามารถ เพื่อให้เจ้าใช้ได้หลายครั้งแน่นอน”

หลังจากที่อาจารย์ใหญ่เดินจากไป อาถิงก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้ามู่เฉียนซี เขามองตามหลังอาจารย์ใหญ่ซวนที่เดินจากไปและกล่าวว่า “ตาเฒ่านั่นก็รู้มากเหมือนกันนะ”

มู่เฉียนซีกล่าว “นั่นก็หมายความว่า จิตวิญญาณกระบี่นั้นอันตรายที่สุด ตราบใดที่หาจิตวิญญาณกระบี่ไม่เจอก็ถือว่าดีไป ส่วนวิญญาณกระบี่กับฝักกระบี่นั้นนับว่าปลอดภัยมาก”

อาถิงกล่าว “เจ้าผู้หญิงโง่ เจ้านี่โง่จริง ๆ เลย เดิมทีพวกมันก็เป็นร่างเดียวกัน มันสามารถเหนี่ยวนำซึ่งกันและกันได้ เจ้ามีคมกระบี่กับตัวกระบี่ การเหนี่ยวนำยังไม่แข็งแกร่งพอ แต่หากเจ้าหาวิญญาณกระบี่มังกรเพลิงเจอ และหากเจ้าพิฆาตวิญญาณนั่นยังไม่ดับสลายไป มันต้องมาหาถึงที่แน่นอน!”

เขาโบกมือพลางกล่าว “เมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้พลังวิญญาณของเจ้าถึงขั้นมหาจักรพรรดิเจ้าก็จบเห่อยู่ดี”

“เจ้าต้องการกระบี่มังกรเพลิงพิฆาตวิญญาณ ข้ารู้ดี แต่ในขณะที่พลังของข้ากับท่านพี่ข้ายังฟื้นฟูกลับมาไม่หมด และลักษณะพิเศษของมังกรวารียังไม่กลับคืนสู่สภาพเดิมเจ้าอย่าได้ทำอะไรบุ่มบ่ามเด็ดขาด การเผชิญหน้ากับเจ้าพิฆาตวิญญาณนั่น หากประมาทเพียงเล็กน้อย ดวงจิตก็จะถูกกลืนกินจนไม่เหลือแน่”

ทันใดนั้นเองเสียงอันเกียจคร้านเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “ที่หัวหน้าหอกล่าวมานั้นไม่ผิด ถึงแม้ว่าข้าอยากให้เจ้ามีพลังธาตุอัคคี แต่ของที่อันตรายเช่นนี้ สาวน้อยอย่าไปแตะมันจะดีกว่า”

จู่ ๆ จวินโม่ซีก็ปรากฏตัวขึ้นในชุดคลุมยาวสีขาวสะอาดอย่างไร้ที่ติราวกับเทพเซียนจุติบนโลกก็มิปาน

อาถิงกล่าว “ข้าไม่ได้อยากเป็นหัวหน้าหออะไรนั่นสักหน่อย เจ้าผู้หญิงโง่เง่าผู้นี้ต่างหากที่ใช้ชื่อของข้าไปทำเรื่องเช่นนั้น ข้าขี้เกียจจะคุยกับผู้หญิงโง่เง่าอย่างเจ้าแล้ว จะเชื่อหรือไม่ก็เรื่องของเจ้า!”

กล่าวจบอาถิงก็กลับเข้าไปในมิติพันธสัญญาทันที มู่เฉียนซีกล่าวถามว่า “เจ้ามาได้ยังไง ?”

“ขะ ข้า…” ชั่วครู่หนึ่งจวินโม่ซีก็อยากจะร้องไห้

“ข้ามาบอกลาเจ้า ฮือ ฮือ ฮือ! หลังจากนี้ข้าต้องกลับไปกินนอนข้างถนนอีกแล้ว กินก็ไม่อิ่ม ชีวิตช่างลำเค็ญยิ่งนัก…”

จวินโม่กล่าวพลางจับชายเสื้อของมู่เฉียนซีแกว่งไปมา แสดงท่าทางที่น่าสงสารเป็นพิเศษ

มู่เฉียนซีกล่าว “ดูเหมือนว่าช่วงนี้หุบเขาหมอเทวดาจะส่งคนมารังควานเจ้าไม่น้อยเลยใช่ไหมล่ะ!”

“อืม!” จวินโม่ซีพยักหน้าพลางกล่าว

“ข้าบอกว่าไม่ให้เจ้าออกมา เจ้าก็ยังจะออกมาแสดงอำนาจอยู่ได้ ตอนนี้ลำบากแล้วข้าก็ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้ รีบออกไปจากเสียโจวแล้วหาที่ปลอดภัยหลบซ่อนตัวเถอะ ทักษะการหนีเอาตัวรอดของเจ้านั้นยอดเยี่ยมที่สุด ข้าเชื่อมั่นในตัวเจ้าเป็นอย่างมาก” มู่เฉียนซีกล่าว

“ทักษะการหนีเอาตัวรอดของข้ายอดเยี่ยมมากก็จริง แต่ข้าก็ไม่อยากให้ท้องของข้าพลอยลำบากไปด้วยนะ!” จวินโม่ซีแทบอยากจะเอาหัวชนกำแพง

“เจ้าก็อดทนไปก่อนสักช่วงหนึ่งเถอะ รอให้หุบเขาหมอเทวดาถูกกำจัดไปจนสิ้นซากแล้ว เจ้าก็จะได้เป็นหัวหน้านักปรุงยาของหอหมอปีศาจอย่างสุขกายสบายใจอย่างไรล่ะ”

“มื้อสุดท้าย ให้รางวัลข้าสักมื้อเถอะนะ!” จวินโม่ซีกล่าวอย่างน่าสงสาร

ตั้งแต่หุบเขาหมอเทวดาพบว่าจวินโม่ซีอยู่ที่นี่ ก็ได้ส่งคนจำนวนมากมารังควานเขา

ทว่า จิ่วเยี่ยนั้นอยู่ข้างกายมู่เฉียนซี เขาจึงไม่กล้ามาหานาง และไม่กล้ามาให้นางทำอาหารให้กิน และหากว่าเขากล้าย่างกรายมาแล้วล่ะก็ คงไม่ต้องรอให้คนของหุบเขาหมอเทวดาลงมือ เขาก็คงจะไปรายงานตัวที่แดนนรกแล้ว

“ฮือ ฮือ ฮือ! สงสารข้าเถอะนะ สงสารข้าเถอะ!”

ยอดปรมาจารย์นักปรุงยาผู้สูงศักดิ์ดุจดั่งเทพเซียนกลับกลายเป็นผีหิวโหยผู้น่าสงสารภายในชั่วพริบตา

เมื่อเห็นเจ้าหมอนี่ต้องเริ่มหลบหนีเอาชีวิตรอดครั้งใหญ่อีกครา นางก็ไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงมากนัก จึงพยักหน้าตอบรับไป “เช่นนั้นเจ้าก็รอก่อนก็แล้วกัน อย่าได้หิวตายไปซะก่อนล่ะ”

หุบเขาหมอเทวดาไม่กล้าเหิมเกริมอย่างโจ่งแจ้ง เพราะว่าเกรงกลัวหมอปีศาจ และเกรงกลัวจิ่วเยี่ย

ทว่า การเคลื่อนไหวอย่างอันตรายในที่ลับนั้น ก็ทำให้จวินโม่ซีตกอยู่ในอันตรายตลอดเวลา และตอนนี้จวินโม่ซีก็เป็นเป้าอยู่ในที่แจ้ง

เพื่อความปลอดภัยของตนเอง เขาจำต้องกลับไปซ่อนตัวอยู่ในที่มืดอีกครั้ง

ในที่สุดมู่เฉียนซีก็ได้เตรียมอาหารอันโอชะให้เขาเต็มโต๊ะ ในขณะที่ซวนอี้มาถึงนั้นก็ได้เห็นกับชายคนหนึ่งรูปร่างหน้าตาดีและโดดเด่นมาก แต่กลับกินอาหารอย่างมูมมามราวกับผีผู้หิวโหยก็มิปาน

ซวนอี้กะพริบตารวดเร็วอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง นี่ไม่ใช่หัวหน้านักปรุงยาของหอหมอปีศาจผู้ที่มาช่วยต่อสู้ในศึกครานั้นหรอกเหรอ ?

พลังเขาแข็งแกร่งมาก อีกทั้งยังเป็นถึงยอดปรมาจารย์นักปรุงยาอีกด้วย

ในสายตาของคนเสียโจว เขาเป็นดั่งเทพเซียนผู้สูงส่ง แต่ตอนนี้เขาได้เห็นกับสิ่งใดกัน ?

ข้าไม่ได้ตาฝาดไปใช่หรือไม่!

อาหารอันโอชะวางอยู่ตรงหน้าเช่นนี้ จวินโม่ซีไม่คำนึงถึงภาพลักษณ์ของตัวเองเลยแม้แต่น้อย

ซวนอี้กล่าวขึ้นว่า “ท่านนักปรุงยาจวิน เฉียนซีไปไหนเสียแล้วล่ะ ?”

จวินโม่ซีกล่าว “สาวน้อยไปห้องปรุงยาแล้ว เจ้าไปหานางเถอะ อย่าได้คิดจะมาแย่งของกินของข้าเชียว”

จวินโม่ซีชำเลืองสายตามองเขาคล้ายกับว่าหากซวนอี้แย่งของกินของเขา เขาจะต่อสู้อย่างสุดชีวิต

ซวนอี้จนหมดคำพูดกับเขาจริง ๆ ทำได้เพียงแค่เดินจากไปและรอมู่เฉียนซีที่หน้าห้องปรุงยา

มู่เฉียนซีใช้เวลาในการปรุงยาเป็นครึ่งค่อนวัน เมื่อคิดว่าตอนนี้จวินโม่ซีน่าจะกินเสร็จแล้วนางจึงได้เก็บของ

ทันทีที่เดินออกมาก็ได้เห็นกับชายรูปงามสวมชุดคลุมยาวสีเงินผู้หนึ่ง นางกล่าว “ซวนอี้ นี่เจ้ากำลังรอข้าอยู่เหรอ ?”

“เหล่าบรรดาผู้อาวุโสของสำนักศึกษากำลังปรึกษากันเรื่องการรับมือกับสำนักปีศาจดำ ท่านผู้อาวุโสสูงสุดให้ข้ามาตามเจ้าไป” ซวนอี้กล่าว

“ตามข้า ?” มู่เฉียนซีนิ่งอึ้งไป

“ท่านปู่ไปห้องหลอมอาวุธแล้ว ท่านปู่บอกว่าเรื่องกำราบคนเลวพวกนี้มอบให้เป็นหน้าที่พวกเราสองคนจัดการ เพื่อให้คนรุ่นหนุ่มสาวได้ฝึกฝนฝีมือหน่ะ” ซวนอี้เองก็จนปัญญามากเช่นกัน

“สิ่งใดคือให้คนหนุ่มสาวได้ฝึกฝนฝีมือกันล่ะ นี่เขาขี้เกียจไม่อยากจะสนใจต่างหาก!” มู่เฉียนซีแสยะปากเล็กน้อย

“อืม! ท่านปู่ก็เป็นเช่นนี้มาโดยตลอดนั่นแหละ!”

“ต้องเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว มิเช่นนั้นก็คงจะไม่กลายเป็นอาจารย์ใหญ่ที่หายตัวไปหลายปีหรอก”

“ให้ท่านผู้อาวุโสทั้งหลายรอข้าสักครู่ ข้าจะไปส่งเจ้านั่นก่อนแล้วค่อยว่ากัน” มู่เฉียนซีกล่าวจบก็กลับไปยังอาณาเขตของตนเอง

ทันทีที่มาถึงอาณาเขตของตนเองก็พบว่าจวินโม่ซีนั้นได้กินอาหารที่นางเตรียมเอาไว้ให้ทั้งหมดเรียบแล้ว ซวนอี้ตกใจขึ้นอีกครั้ง

นี่กินเยอะเกินไปแล้ว!

ปัง! มู่เฉียนซีโยนกล่องกล่องหนึ่งให้กับเขา “อันนี้ให้เจ้า!”