บทที่ 49 โดย Ink Stone_Romance
บทที่ 49 เพื่อนเก่ากลับมา (4)
ฉินรั่วเข่อเดินออกจากทางเดินยาว เพียงไม่กี่ก้าวก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งเดินมาทางนี้อย่างตื่นตระหนก ไม่ใช่สิ เป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่ง เมื่อเห็นว่ามีเพียงฉินรั่วเข่อคนเดียวก็ผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด เขามองไปข้างหลังแล้วเอ่ยถาม “พี่ครับ อี้เป่ยซีล่ะครับ?”
เธอยิ้มน้อยๆ “พี่ชายเขาพาไปแล้ว”
“พี่ชายเขา?” เขาพึมพำ “ถูกเขาพาไปอีกแล้ว”
“เธอเป็นอะไรหรือเปล่า?”
“เปล่าครับ ขอบคุณพี่มาก”
“ไม่เป็นไร งั้นฉันไปก่อนนะ” ฉู่ซ่งตอบรับเบาๆ แล้วเดินไปนั่งที่ทางเดินยาว มองไปยังต้นไม้เขียวขจีพลางครุ่นคิด…
……..
เพราะลาหยุดไปสองวัน อี้เป่ยซีจึงอยากกลับไปที่มหาวิทยาลัย ก่อนจะไปอี้เป่ยเฉินกำชับเธอด้วยความไม่สบายใจมาก
“ถ้ามีอะไรต้องโทรหาพี่ก่อนรู้รึเปล่า?”
“อืม รู้แล้ว”
“ไม่งั้นก็กลับมาอยู่บ้านเหมือนเดิมเถอะ”
อี้เป่ยซีส่ายหน้า “ไม่เอา ฉันก็อยากเรียนรู้การอยู่ร่วมกับคนอื่นนะ อีกอย่าง เพื่อนในหอพักก็ดีกับฉันด้วย”
“เสี่ยวซี เธอก็รู้…”
“ฉันไม่รู้ ฉันก็เก่งมากเหมือนกันนะ พี่เป่ยเฉินอย่าดูถูกฉันสิ”
“ได้ๆๆ เสี่ยวซีของพวกเราฉลาดที่สุดเก่งที่สุดแล้ว ไม่รู้ว่าเธอเหมือนใคร”
เธอพยักหน้าด้วยท่าทีจริงจัง “ใช่แล้ว ที่จริงฉันคือนางฟ้าตัวน้อย ลงมาจากสวรรค์เพื่อเที่ยวเล่นบนโลกมนุษย์ของพวกพี่ ไม่มีใครเหมือนฉันอยู่แล้ว”
“แล้วโลกสวรรค์พวกเธอเป็นยังไง?”
“โลกสวรรค์ของพวกเราสวยมาก มีหมอกควันปกคลุมทุกพื้นที่…” อี้เป่ยเฉินเห็นเธอพูดไม่หยุดก็ยิ้มวางใจ เออออไปกับคำพูดของเธอ รถวิ่งอยู่บนถนนอย่างมั่นคง “เอาละ พี่เป่ยเฉิน เจอกันสุดสัปดาห์”
“เจอกันสุดสัปดาห์”
อี้เป่ยซีก้าวเข้าไปในมหาวิทยาลัยอย่างสบายใจ เมื่อเลี้ยวตรงหัวมุมไหล่ก็ห่อเหี่ยวลง จากนั้นก็ฮึกเหิมขึ้นอีกครั้ง
‘แม้จะเสียใจก็ต้องก้าวต่อไปนะ ลู่เยี่ยหวา’ เธอก้มหน้าลง แล้วเงยหน้ามองท้องฟ้าสีครามสดใสที่ปลอดโปร่งไร้เมฆ เธอสูดหายใจแล้วก้าวเท้ายาวๆ ไป
“เป่ยซี ขอโทษที ฉันเพิ่งจะรู้ว่าเธอ…” ถังเสวี่ยดึงมือของเธอพลางกล่าวขอโทษ “ขอโทษ ขอโทษนะ”
อี้เป่ยซีเก็บโต๊ะหนังสือ กล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “เธอรู้แล้วเหรอ?”
ถังเสวี่ยรีบส่ายหน้า แล้วก็พยักหน้าด้วยความลังเลเล็กน้อย “แต่ก็ไม่เข้าใจเท่าไร แค่ได้ยินพี่ชายฉันพูดนิดหน่อย”
“อืม ไม่เป็นไร เรื่องพวกนี้น่ะสุดท้ายแล้วก็ต้องมีคนรู้ ซ่อนไม่ได้หรอก” เธอถอนหายใจ
“เป่ยซี เธอ…เสียใจมากใช่ไหม?”
“ขอโทษทีถังเสวี่ย ฉันไม่อยากพูดเรื่องนี้”
“อือ ได้” ถังเสวี่ยรีบเปลี่ยนเรื่อง “เป่ยซี เธอรู้ไหมว่าพรุ่งนี้ต้องส่งงานวิจัยแล้ว?”
อี้เป่ยซีเบิกตากว้าง “ทำไมเธอไม่รีบบอกล่ะ”
เธอหัวเราะอย่างเขินอาย “ก็เป็นห่วงเธอจนวุ่นวายน่ะสิ งานวิจัยสำคัญกว่าเธอที่ไหนกัน”
“งานวิจัยสำคัญสิ อาจารย์หนีเข้มงวดแบบนั้น ลาก่อนนะเพื่อน คืนนี้ฉันไม่กลับมาแล้ว” เธอพูดพลางแบกโน้ตบุ๊กของตัวเองออกจากไปหอพัก
ฟางหมิ่นที่อยู่ข้างๆ ไม่พูดไม่จาตลอดเวลานั้น วางหนังสือที่ปิดหน้าลง ใบหน้าน้อยๆ ซีดขาว เสียงก็อ่อนแรงเล็กน้อย “ถังเสวี่ย”
ถังเสวี่ยหันไปมองคนเรียก ผ่านไปเนิ่นนาน ฟางหมิ่นถึงเหมือนกับถอนหายใจ “รินน้ำให้ฉันสักแก้วได้ไหม?”
“อือ ได้สิ”
………
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว อี้เป่ยซีรีบกลับมายังบ้านที่ตัวเองเช่าไว้ข้างนอก เธอเอาเอกสารไปที่มหาวิทยาลัยแล้วไม่ใช่เหรอ อี้เป่ยซีส่ายหัว ความจำของเธอยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ จริงๆ
ฉู่ซ่งหอบของว่างจำนวนหนึ่ง เดินเข้ามาหาเธอแล้วเอ่ยทัก “สวัสดีครับ”
มือของอี้เป่ยซีที่ถือกุญแจหยุดกึก พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นเด็กผู้ชายตรงหน้า บนใบหน้าเผยรอยยิ้มที่สดใสเป็นอย่างมาก “สวัสดี”
“ฉันยังนึกว่าบ้านหลังนี้ไม่มีคนอยู่ซะอีก”
“เอ่อ คุณเป็นเจ้าของบ้านเหรอ?”
“ไม่ใช่ๆ ฉันก็เป็นผู้เช่าที่นี่ อยู่ข้างๆ เธอเลย เป็นเพื่อนบ้านกัน วันหลังมีอะไรต้องช่วยเหลือกันนะ”ฉู่ซ่งพูดพลางหยิบไก่เส้นรสเผ็ดสองสามห่อออกมาจากกระเป๋าแล้วยัดใส่ในมือของเธอ เดิมทีอี้เป่ยซีอยากปฏิเสธ แต่เมื่อเห็นห่อบรรจุแล้วก็รู้สึกประหลาดใจ
“ของว่างพวกนี้…”
ฉู่ซ่งยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “ใช่ไหมล่ะ หลายที่เขาไม่ขายแล้ว บางอันยังเป็นอาหารขึ้นชื่อของเมือง A เลยนะ”
“ขอบคุณนะ คือว่าฉันยังมีธุระนิดหน่อย ขอตัวก่อนนะ”
“อืม งั้นฉันก็จะกลับเหมือนกัน”
ฉู่ซ่งอุ้มของกินไว้ในอ้อมอก อารมณ์ดีมาก ‘คือเธอใช่ไหม จะต้องใช่เธอแน่ๆ’
อี้เป่ยซีมองของกินในมือ ผ่านไปเนิ่นนานเธอจึงละสายตาไป แล้ววางของว่างในมือบนพื้นที่ว่างเปล่าบนชั้นหนังสืออย่างดี รู้สึกกระปรี้กระเปร่า
จากนั้นเธอนั่งลงหน้าโต๊ะหนังสือที่ถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ เริ่มขีดเขียนลงในเอกสารที่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เธอเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกา รู้สึกผิดหวังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หวังว่าคืนนี้จะนอนเร็วได้นะ
แต่เสียงระเบิดดังขึ้นกะทันหัน ทั้งห้องเข้าสู่ความมืด แสงไฟของหน้าจอคอมพิวเตอร์ส่องอยู่บนหน้าของเด็กสาว เธอไม่หวั่นไหว ยังคงตั้งใจทำงานของตัวเองไป ใกล้จะเสร็จแล้ว ทันใดนั้นแสงไฟหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็ดับลง การเชื่อมต่อประหลาดเด้งขึ้นมา
บ้าเอ๊ย เธอตบโต๊ะด้วยความโมโห ทำไมพี่เป่ยเฉินถึงได้…เธอมองคอมพิวเตอร์บนโต๊ะ แย่แล้ว ทำไมถึงไม่ใช้ชุดที่พี่เป่ยเฉินเตรียมให้เธอนะ คราวนี้เยี่ยมไปเลย แล้วงานวิจัยของเธอล่ะ
อี้เป่ยซีสาปแช่งให้คนปล่อยไวรัสต้องไม่ตายดี เธอกำลังจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย เสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้นจากด้านล่าง
“เอ่อ ไฟดับแล้ว ฉันก็แค่มาดูว่าบ้านเธอมีอะไรหรือเปล่า” ฉู่ซ่งถือไฟฉาย เมื่อเห็นท่าทีที่ทั้งน้อยใจทั้งโมโหของอีเป่ยซีก็รีบถาม “เป็นอะไรไป?”
“คอมพ์โดนไวรัสแล้ว ฉันมีงานวิจัยต้องเขียนให้เสร็จ ถ้าฉันรู้นะว่าเป็นฝีมือใคร…” เธอกัดฟันหรี่ตา “ฉันจะทำให้เขาเขียนวิจัยสามหมื่นคำของฉันร้อยรอบ ไม่สิ เอาพันรอบไปเลย ไม่กินไม่ดื่ม ไม่หลับไม่นอน”
ฉู่ซ่งจงใจกระแอมไอ “ฉันจะลองดูให้”
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องรบกวนนายหรอก เดี๋ยวเพื่อนฉันก็มาแล้ว”
“ดึกป่านนี้แล้ว เธอยังจะเรียกเพื่อนมาอีกเหรอ?”
อี้เป่ยซีมองดูเวลาในโทรศัพท์มือถือ เธอแลบลิ้น ป่านนี้แล้ว พี่เป่ยเฉินคงนอนแล้วล่ะมั้ง
“งั้นก็รบกวนนายแล้ว”
“ไม่เป็นไร”ฉู่ซ่งส่องไฟเดินตามอี้เป่ยซีไปยังห้องหนังสือของเธอ โคมไฟบนโต๊ะยังสว่างอยู่ ฉู่ซ่งนั่งลงบนเก้าอี้ นิ้วพิมพ์อยู่บนคีย์บอร์ดอย่างรวดเร็วครู่หนึ่ง ก็สามารถดึงการเชื่อมต่อเดิมกลับมาได้
อี้เป่ยซีรุดไปข้างหน้า “ว้าว เธอนี่เก่งจังเลย แป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว”
เขาพยักหน้าให้ “การป้องกันความปลอดภัยของคอมพิวเตอร์เธอมันอ่อนเกินไป ฉันช่วยเธอเสริมให้มันแรงได้”
“งั้นก็รบกวนเธอแล้ว แล้วเธอช่วยฉันดูได้ไหมว่าใครเป็นคนโจมตีคอมพ์ของฉัน?”
มือบนแป้นพิมพ์ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พิมพ์ต่อด้วยความรวดเร็วอีกครั้ง “เรื่องนี้น่ะ เดิมทีก็ทำได้ แต่ว่าฉันลบไอพีไปแล้ว” ฉู่ซ่งอ้างส่งเดช อี้เป่ยซีเชื่อโดยไม่สงสัย แล้วพยักหน้าให้
“น่าเสียดายจริงๆ”
“คนเรามันผิดพลาดกันได้ ให้อภัยได้ก็ให้อภัยเถอะ อีกอย่างไฟล์ก็ไม่เป็นไรไม่ใช่เหรอ?” เขาหัวเราะเขินอาย
อี้เป่ยซีหาว “ใครจะไปรู้ล่ะ แต่ว่ายังไงก็ขอบคุณเธอนะ”
“แหะๆ เรื่องเล็กน้อยน่ะ งั้นฉันรับสายก่อนนะ”
ฉู่ซ่งเห็นชื่อคนที่โทรเข้ามา จึงรีบหลบไปด้านข้าง
“ฉู่ซ่ง นายเลิกเล่นได้แล้ว รีบเปิดไฟเหมือนเดิมเถอะ”เสียงของลั่วจื่อหานเหนื่อยหน่ายเล็กน้อย
ฉู่ซ่งเหลือบมองด้านข้าง เมื่อเห็นว่าอี้เป่ยซียังคงอยู่ด้านหน้าคอมพิวเตอร์จึงถอนหายใจโล่งอก “รู้แล้ว ผมจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
……………………….