บทที่ 48 โดย Ink Stone_Romance

บทที่ 48 เพื่อนเก่ากลับมา (3)

ฉินรั่วเข่อหยุดพูด มองดูอี้เป่ยซีที่ขดตัวอยู่ สูดหายใจแล้วพูดต่อ “หลังจากนั้นนะ ซินเดอเรลล่าก็คิดว่า เธอจะหาเจ้าชายคนนั้นเจอหรือเปล่า เลยยืนอยู่ตรงนั้น หลบซ่อนอยู่ตรงนั้นจากที่ไกลๆ พลางมองดูเขา มองเขาอยู่เงียบๆ ก็พอ ซินเดอเรลล่าตัดสินใจจากบ้านเกิดของตัวเองมาที่ประเทศของเจ้าชาย เธอเห็นเจ้าชายแล้ว ได้เห็นเจ้าชายที่ยิ้มมีความสุขแล้ว

ซินเดอเรลล่าก็มีความสุขมากเลยนะ เธอยิ้มไปยิ้มมา จู่ๆ ก็ร้องไห้ เธอรู้ดีว่าในนิทานของเจ้าหญิงกับเจ้าชาย ซินเดอเรลล่าไม่ใช่นางเอก เธอเป็นเพียงแค่ตัวประกอบ เป็นแค่ตัวละครหนึ่ง สอง สามที่ไม่เข้าตาเท่านั้น แม้ว่าเธอจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเจ้าชาย เจ้าชายก็จำไม่ได้ว่าเคยมีซินเดอเรลล่าในหมู่บ้าน ซินเดอเรลล่าน่าจะพอใจแล้ว และซินเดอเรลล่าพอใจมากจริงๆ อย่างน้อยเจ้าชายของเธอก็มีความสุขมาก”

เธอถอนหายใจ… อี้เป่ยซี เจ้าหญิงตัวน้อยๆ อย่างเธอจะเผชิญกับอะไรได้ล่ะ? จะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรคืออยากได้แต่ไม่ได้มา อะไรคือความรู้สึกด้อยค่า อะไรคือความต่ำต้อย

ดังนั้นจะมีอะไรให้เสียใจล่ะ เธอมีมากมายขนาดนี้ ยืนอยู่สูงส่งขนาดนี้ สวยงาม ฉลาด และมีหลายคนอิจฉา ยังจะมีอะไรทำให้เธอเสียใจได้ขนาดนี้ล่ะ

เพราะวันนี้อากาศไม่ดี อาหารไม่ถูกปาก หรือลูกอมไม่หวานพอ?

อี้เป่ยซีเธอรู้หรือเปล่า หากเธอร้องไห้ต่อไป อี้เป่ยเฉินรู้แล้วจะเสียใจนะ เธอคิดเพื่อพี่ชายหน่อยไม่ได้เหรอ

“นี่เธอ เธอหนวกหูมากเลย” อี้เป่ยซีเงยหน้าขึ้น สองตาแดงก่ำ น้ำเสียงยังคงสะอื้นอ่อนแอจนชวนให้คนปวดใจ เธอค่อยๆ ลุกขึ้นยืน สูดหายใจลึกแล้วก้าวเดินจากไป ทั้งดื้อรั้นและแน่วแน่

ฉินรั่วเข่ออึ้งอยู่ตรงนั้น ‘อี้เป่ยซี ทำไมบนตัวเธอถึงมีกลิ่นอายของความเสียใจแบบนี้’ นี่เธอคิดผิดไปหรือเปล่า? ฉินรั่วเข่อส่ายหัว อาจเป็นเพราะว่าสาวน้อยคนหนึ่งได้ยินคำพูดไม่เข้าหูก็เลยน้อยใจมากล่ะมั้ง เธอบังคับตัวเองให้คิดแบบนี้

“รั่วเข่อ” เพื่อนของฉินรั่วเข่อเดินมาหาเธอ ดึงตัวเธอขึ้นมา “ฉันคงไม่เคยบอกเธอสินะ คนนี้คืออี้เป่ยซี เพิ่งย้ายมาเรียนเอกการเงินที่มหา’ลัยเราเมื่อปีที่แล้ว นิสัยเขาแปลกๆ แล้วก็ยัง…ช่างเถอะ เธออยู่ห่างเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วกัน”

ฉินรั่วเข่อพยักหน้า ขนตายาวปิดบังดวงตาเอาไว้ ทำให้ดูไม่ออกว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่

อี้เป่ยซีเดินอยู่ในบริเวณมหาวิทยาลัย ไม่รู้ว่าตัวเองเดินมานานแค่ไหนแล้ว และก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะเดินไปที่ไหน ไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ใด และไม่รู้ว่าก้าวต่อไปจะอยู่จุดไหน ถ้าหากชีวิตเป็นเพียงเครื่องจักรกลที่ทำงานซ้ำๆ ไม่มีความทรงจำ ไม่มีความคิด เป็นเหมือนฟันเฟืองที่หมุนไปหมุนมาไม่หยุด ก็คงจะดีไม่น้อย

“เธอ เธอ เธอ อี้เป่ยซี” ฉินรั่วเข่อวิ่งมาหยุดข้างเธอ อี้เป่ยซีไม่ได้พูดอะไร ยังคงเดินต่อไป ดวงตาของเธอยังแดงก่ำ ดวงตาแห้ง แห้งจนไร้ความชุ่มชื้น

“เธอทำของหล่นไว้น่ะ” ฉินรั่วเข่อหยิบปากกาหมึกซึมที่ประณีตด้ามหนึ่งออกมา อีกฝ่ายยังคงไม่สนใจเธอ “อี้เป่ยซี เธอไม่เป็นไรนะ”

“หึ ไม่เป็นไร จะเป็นอะไรได้ยังไง คนชั่วอายุยืนเป็นพันปี ฉันถูกกำหนดให้อยู่แค่ร้อยปี ตอนนี้จะเป็นอะไรได้ยังไง จะเป็นอะไรได้ยังไง ฉันมีสิทธิ์อะไรมาพูดว่าตัวเองเป็นอะไร”

ฉินรั่วเข่อได้ยินน้ำเสียงประชัดประชันของอี้เป่ยซี ในใจก็รู้สึกเศร้าเล็กน้อย สุดท้ายแล้วเด็กต้องได้รับการปลอบใจ ไม่ใช่เพียงแค่เล่านิทานให้ฟังก็จบ เธอเอ่ยปาก “ที่จริงเธอไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้ เธอคืออี้เป่ยซี คนที่สวรรค์โปรดปราน ทุกคนชอบเธอเอ็นดูเธอขนาดนี้ อย่าเศร้าไปเลย เด็กดี”

อี้เป่ยซีมองอีกฝ่ายพลางยิ้มเย็นชา “ซินเดอเรลล่าใช่ไหม? คนที่สวรรค์โปรดปราน ทำไมล่ะ รู้สึกไม่แฟร์รึไง? ต่อให้เธอเป็นเจ้าหญิงแล้วยังไง? ตัวประกอบก็คือตัวประกอบอยู่ดี ไม่ใช่เพราะว่าเปลี่ยนตัวตนแล้วก็เปลี่ยนได้ทุกอย่าง ต่อให้เจ้าหญิงคนนั้นกลายเป็นสนมธรรมดา สุดท้ายแล้วเจ้าชายของเธอก็เลือกเขาอยู่ดี เธอรู้ไหมว่าเพราะอะไร?”

ฉินรั่วเข่อกัดริมฝีปากไม่พูดอะไร มือกำปากกาไว้แน่น

“ความต่ำต้อยจากเนื้อแท้ยังไงก็เปลี่ยนกันไม่ได้หรอก เธอเข้าใจรึเปล่า?”อี้เป่ยซีพูดจบก็รีบก้าวเท้าจากไป ฉินรั่วเข่อสูดหายใจลึก ข่มกลั้นหยาดน้ำที่ผุดขึ้นในดวงตา จากนั้นเดินไปข้างๆ อี้เป่ยซีอย่างรวดเร็ว

“เธอพูดจบแล้วหรือยัง” ฉินรั่วเข่อยิ้มอ่อนโยน ท่าทางบริสุทธิ์ไร้พิษภัย “เธอเป็นแบบนี้ฉันวางใจไม่ได้”

อี้เป่ยซีชำเลืองมองเธอเงียบๆ สะบัดหน้าหนีแล้วพูดด้วยเสียงดุดันเล็กน้อย “แล้วแต่เธอ”

ทั้งสองคนไม่รู้ว่าเดินอยู่ในบริเวณมหาวิทยาลัยมานานแค่ไหนแล้ว ฉินรั่วเข่อรู้สึกได้ว่ามีชั้นเหงื่อบางๆ ซึมอยู่ด้านหลังของตัวเอง ขณะที่ไม่รู้ว่าเดินผ่านทางเดินยาวเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วนั้น อี้เป่ยซีก็หยุดเดิน เธอมองฉินรั่วเข่อ นั่งลงบนเก้าอี้กลมตรงทางเดินยาวโดยไม่พูดไม่จา พร้อมกอดตัวเองไว้แน่น

ฉินรั่วเข่อเดินมาข้างเธอเหมือนต้องการพูดอะไรบางอย่าง แต่เพิ่งอ้าปากก็ปิดปากลงอีก

“เพราะคิดว่าตัวเองผ่านอะไรมาเยอะใช่ไหม ก็เลยรู้สึกว่าอดีตของคนอื่นเป็นเรื่องเล็กๆ” อี้เป่ยซียังคงพูดต่อ ฉินรั่วเข่อรีบส่ายหัว

“ไม่ใช่แน่นอน ฉันก็แค่อยากปลอบใจเธอ ไม่อยากเห็นเธอเศร้าแบบนี้”

อี้เป่ยซียิ้มเย็นชา “ตลกจังเลย พวกเรารู้จักกันเหรอ?”

“เธอคืออี้เป่ยซี ฉันรู้”

“ใช่สิ ฉันคืออี้เป่ยซี เป็นอี้เป่ยซีแล้วยังไง เธอรู้ว่าเป็นอี้เป่ยซีก็รู้จักฉันแล้วเหรอ เธอไม่รู้อะไรเลยแต่ก็ยังวิพากษ์วิจารณ์อยู่ข้างคนอื่นเหมือนกับตัวเองถูก แบบนี้มันเหมาะแล้วเหรอ เพื่อนนักศึกษา”

ฉินรั่วเข่อก้มหน้า พูดเสียงต่ำว่า “ฉันแค่อยากช่วยเธอ”

“สงสารฉัน?”

“เปล่า ฉันแค่รู้สึกว่าอดีตมันก็ผ่านไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เธอไม่ควรผูกมัดอยู่กับเรื่องราวในอดีต ควรจะมองไปข้างหน้า ไม่ควรมองว่าเธอขาดอะไร แต่ควรมองว่าเธอมีมากแค่ไหน เธอคืออี้เป่ยซี คนที่มีคนมากมายรัก เธอควรใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ไม่ใช่สับสนอยู่กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ บางอย่าง”

จู่ๆ อี้เป่ยซีก็หัวเราะ ทำเอาฉินรั่วเข่อสะดุ้งโหยง เธอพูดต่อว่า “ควรจะปลงกับเรื่องทุกอย่างหน่อยไม่ใช่เหรอ?”

อี้เป่ยซีกวาดตามองอีกฝ่าย ไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแต่กอดตัวเองแน่นกว่าเดิม วางศีรษะอยู่บนเข่าของตัวเองอย่างเหนื่อยล้า

ไม่นานก็ได้ยินเสียงฝีเท้า เมื่ออี้เป่ยเฉินปรากฏตัวต่อหน้าสองคน ฉินรั่วเข่อจึงค่อยโล่งอก รอยยิ้มอ่อนโยนยังคงประดับบนใบหน้า แต่แก้มกลับแดงโดยไม่รู้ตัว อี้เป่ยเฉินเดินผ่านเธอไป กลิ่นสดชื่นจากตัวเขาลอยปะปนอยู่ในสายลม

“เสี่ยวซี”

“พี่เป่ยเฉิน ฉันไม่สบาย ฉันรู้สึกเหนื่อยมากเลย” อี้เป่ยซีพิงอยู่บนไหล่ของเขา

อี้เป่ยเฉินกล่าวโทษตัวเอง ตั้งแต่ที่อี้เป่ยซีกลับมาเขาก็มักจะละเลยไม่ดูแล ไม่รู้จักถามว่าอี้เป่ยซีมาที่มหาวิทยาลัยทำไมกันแน่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นที่มหาวิทยาลัยบ้าง ถ้าหากตัวเองใส่ใจมากกว่านี้ละก็…

“ได้ พี่จะพาเธอกลับบ้าน”

“อือ กลับบ้าน” เธอพยักหน้าหงึกหงัก อี้เป่ยเฉินอุ้มเธออย่างระมัดระวัง แล้วจึงค่อยสังเกตเห็นว่ายังมีอีกคนยืนอยู่ที่ทางเดิน “ขอบคุณมาก” จากนั้นก้าวจากไปโดยไม่หันมามองเธอแม้แต่นิดเดียว ฉินรั่วเข่อได้แต่มองดูพวกเขา ทั้งอยากหัวเราะ ทั้งอยากร้องไห้

‘ดีจังเลย อี้เป่ยเฉิน วันนี้ได้เจอคุณอีกแล้ว แต่ว่าอี้เป่ยเฉิน คุณจำฉันไม่ได้สักนิดจริงเหรอ?’ เธอมองปากกาหมึกซึมในมือซึ่งมีตัวอักษร ‘เฉิน’ กับ ‘ซี’ สลักเอาไว้

หวังว่าเจ้าหญิงกับเจ้าชายจะมีความสุขด้วยกัน เธอคิดในใจพลางเอามือเช็ดๆ ตา อากาศช่วงนี้ชื้นจังเลยนะ บนมือก็เปียกนิดหน่อยด้วย

…………………………..