บทที่ 669 คณะผู้แทน
เผ่าพันธุ์เอลฟ์มีประวัตศาสตร์อันรุ่งโรจน์น่าภาคภูมิใจ พวกเขาเคยปกครองทั้งทวีปนี้และในหลายๆ มิติ ทว่า ยามที่รอยแยกเริ่มปรากฏขึ้นและเชื่อมต่อระนาบก้นสมุทรเข้ากับโลกหลัก และบรรดาเจ้าแห่งปีศาจเดินทางมาเยือนพร้อมกับกองทัพแห่งหายนะ นำพามาซึ่งการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และการทำลายล้าง ทุกสิ่งทุกอย่างก็กลับกลายเป็นเพียงความทรงจำ

ในสงครามนั้น ราชสำนักเอลฟ์สามารถบดขยี้กองทัพปีศาจและปิดผนึกช่องทางเชื่อมต่อได้ในที่สุด แต่เหล่าเอลฟ์ก็สูญสิ้นไปเป็นจำนวนมากเช่นกัน จำนวนประชากรของพวกเขาลดลงฮวบ และเพราะอัตราการเกิดของพวกเขานั้นต่ำมาก เผ่าพันธุ์เอลฟ์จึงไม่อาจฟื้นฟูกลับมาจากหายนะครั้งนั้นได้เลย ท้ายที่สุด พวกเขาก็ค่อยๆ ถูกเผ่าพันธุ์อื่นเข้าแทนที่ เหล่าเอลฟ์ต้องถอยร่นกลับไปยัง ‘ถิ่นพำนักแห่งธรรมชาติ’ ที่ที่มีต้นไม้เอลฟ์ตั้งอยู่ หนึ่งในที่พำนักนั้นก็คือป่าสตรู๊ป ซึ่งมีขนาดหนึ่งส่วนสามของอาณาจักรโฮล์ม

เมื่อเวลาผ่านไป ผืนป่าแห่งอื่นที่มีต้นไม้เอลฟ์ก็ถูกทำลาย ครอบครอง และถูกกลืนเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับสังคมมนุษย์ทีละแห่งๆ แต่ป่าสตรู๊ป ซึ่งมีสมาชิกราชวงศ์อาศัยอยู่ ยังคงเป็นเผ่าพันธุ์เอลฟ์ที่ปกครองอยู่ และนั่นต้องขอบคุณผู้มีพลังชั้นสูงทั้งหลายกับต้นไม้เอลฟ์แห่งราชสำนัก ที่นั่นเป็นดั่งปูชนียสถานสำหรับเอลฟ์สุริยัน เอลฟ์จันทรา เอลฟ์แห่งพงไพร เอลฟ์แห่งท้องทะเล และเอลฟ์ประเภทอื่นๆ อีกมากมาย

จากเอกสารที่สภาเวทมนตร์มี เอลฟ์มากกว่าหนึ่งแสนตนอาศัยอยู่ในป่าสตรู๊ป นอกจากนี้ ขอบเขตดินแดนของพวกเขายังแผ่กว้างไปจนถึงมหาสมุทรไร้พรมแดน ที่ซึ่งพวกเขาปกครองอาณาบริเวณค่อนข้างใหญ่ร่วมกับชนเผ่าเอลฟ์แห่งท้องทะเล การจะขยายดินแดนนั้นเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขา แต่พวกเขาสามารถปกป้องดินแดนที่มีอยู่ได้อย่างง่ายดาย

“ราชสำนักเอลฟ์มีผู้มีพลังชั้นตำนานหกตน ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือราชินีอะเกลียยา ผู้ที่หลอมรวมเข้ากับต้นไม้เอลฟ์แห่งราชสำนักไปแล้วกึ่งหนึ่ง นางมีพลังชั้นตำนานระดับสูงสุดและเก่งกาจการใช้มนตราแห่งธรรมชาติ”

ในเมื่อลูเซียนอาสาไปทำหน้าที่แล้ว ดักลาสจึงอธิบายถึงสถานการณ์ของราชสำนักเอลฟ์ให้เขาฟัง “จากผู้มีพลังชั้นตำนานอีกห้าตน มีสามคนที่เป็นชาวดรูอิด ผู้เฒ่าหลวงมัลฟิวเรียนที่เคยมาเยือนสภาก่อนหน้านี้ คือหนึ่งในสามคนนั้น เขาร่วมมือกับชาวดรูอิดผู้มีพลังชั้นตำนานที่มิใช่เผ่าพันธุ์เอลฟ์อีกสองคนในการก่อตั้ง ‘สภาผู้เฒ่าแห่งเผ่าดรูอิด’ เพื่อสานสัมพันธ์ระหว่างชาวดรูอิดที่มิใช่เผ่าพันธุ์เอลฟ์และชาวเอลฟ์”

“สรุปแล้วก็คือ ในป่าสตรู๊ปมีชั้นตำนานเพียงแปดคนเท่านั้นใช่ไหมขอรับ” ลูเซียนไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับเอลฟ์และดรูอิดนัก

บรูกกล่าวเสรมจากดักลาสขณะยกมือขึ้นกุมปลายคาง “ใช่ เอลฟ์ชั้นตำนานอีกสองตนคือชั้นตำนานที่ใกล้เคียงกับอัศวินชั้นตำนาน พวกเขาสามารถใช้มนตราแห่งธรรมชาติได้ด้วยรอยสักบนตัว พวกเขาจะแข็งแกร่งขึ้นครึ่งขั้นเมื่อต่อสู้ภายในป่า ส่วนรายละเอียดทั้งหมดจะส่งไปให้เจ้าในภายหลัง”

“บอกตามตรง เราเคยคิดจะขอความช่วยจากชาวเอลฟ์ในตอนที่เราต่อสู้กับศาสนจักรฝ่ายใต้ครั้งก่อน แม้ว่าพวกเขาจะต้องปกป้องตัวเอง แต่ก็คงมิมีปัญหาอะไรหากจะส่งผู้มีพลังชั้นตำนานมาสักสองสามคน แต่ว่า สงครามกลับจบลงก่อนที่เราจะได้ทำเช่นนั้น…” โอลิเวอร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเสียดาย เขาสนใจในตัวชาวเอลฟ์ผู้เก่งกาจด้านศาสตร์ศิลป์และประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอลฟ์สาวๆ “น่าเสียดายที่ข้าต้องเข้าไปในโลกแห่งวิญญาณ…”

เมื่อรู้ว่าสัตว์ประหลาดไวเค็นและพระสันตะปาปาไวเค็นคือศัตรูชั่วนิรันดร์ของกันและกัน นักเวทชั้นตำนานหลายคนก็ตัดสินใจเข้าไปศึกษาเตาหลอมวิญญาณและสังเกตการณ์เส้นทางสู่ความเป็นอมตะจากจุดที่ใกล้ยิ่งขึ้น สำหรับพวกเขาแล้ว จะมิมีสิ่งใดเป็นภัยร้ายแรง ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้เผชิญหน้ากับพระสังฆราชจากศาสนจักรฝ่ายเหนือ

นั่นเป็นเพราะสัตว์อสูรชั้นตำนานหลายตัวในโลกแห่งวิญญาณได้ดับดิ้นไปหลายตัวในระหว่างภารกิจสำรวจครั้งแรกของสภาเวทมนตร์ แม้แต่มัมมี่บรรพชนยังถูกลูเซียนสังหารไปแล้ว ปีศาจชั้นตำนานที่มีสติปัญญากว่าครึ่งหนึ่งก็ถูกกำจัดไปแล้วเช่นกัน!

ส่วนทวารานาจักรนั้น แม้ว่าสัตว์ประหลาดไวเค็นจะไม่โจมตีคนแปลกหน้าอย่างเต็มกำลัง แต่ผู้ที่เข้าไปสำรวจก็อาจบังเอิญพบเจอกับราชาทูตสวรรค์และทูตสวรรค์เสราฟิมทั้งหกก็เป็นได้ มิมีผู้มีพลังชั้นตำนานคนใด ยกเว้นดักลาส บรูก เฟอร์นันโด และแฮทธาเวย์ ที่ยินดีจะเข้าไปเสี่ยง

ดักลาสครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “นี่เป็นเพียงการตรวจสอบขั้นต้น เป้าหมายหลักของเราก็คือหาคำตอบให้ได้ว่าเหตุใดรอยแยกของอเวจี ซึ่งมีความเสถียรมั่นคงมานับหมื่นๆ ปี จู่ๆ ก็หลุดจากการควบคุมและยังทำให้ต้นไม้เอลฟ์แห่งราชสำนักเสียหายอีกด้วย…เอริก้า แอตแลนต์ เจ้าสองคนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านปีศาจ ใครจะไปกับลูเซียนดีเล่า”

“ข้าจะไปเอง บังเอิญว่าข้ากำลังต้องการปีศาจมาทำการวิจัยอยู่พอดี” แอตแลนต์พยักหน้าขณะที่ดวงตายังปิดสนิท แต่เสียงของเขากลับคล้ายจะดังก้องสะท้อนอยู่ในใจของทุกผู้คน

หลังจากที่ได้ตัวแทนแล้ว การประชุมวิสามัญจึงจบลง สมาชิกสภาสูงสุดส่วนใหญ่ต่างเร่งร้อนจากไป

พวกเขาพอจะมีความคิดดีๆ เกี่ยวกับอนาคตของกลศาสตร์ควอนตัมหลังจากได้อ่านรายงานฉบับล่าสุดของลูเซียน แต่พวกเขายังพบเจออุปสรรคนานัปการขณะทำการทดลองจริงๆ เพราะพวกเขาต้องมีเครื่องมือทางคณิตศาสตร์ที่ทรงพลังมาช่วย!

แม้ว่าคณิตศาสตร์จะเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้นนับแต่ที่วารสาร ‘ธรรมชาติ’ เริ่มก่อตั้ง แต่พัฒนาการก็มิได้มากเท่าการศึกษาโลกจุลภาคที่มีพัฒนาการอย่างก้าวกระโดด ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงต้องหยุดการทดลองแล้วหันมาให้ความสนใจกับคณิตศาสตร์เพื่อสร้างรากฐานขึ้นมาเสียก่อน

เนื่องจากข้อจำกัดทางด้านคณิตศาสตร์ กระแสการศึกษาโลกจุลภาคที่กำลังพลุ่งพล่านจึงชะลอตัวลง เฝ้ารอกระแสขึ้นในครั้งถัดไป

ดักลาสเดินนำลูเซียนกับแอตแลนต์ไปยังห้องบนชั้นสามสิบห้า เอลฟ์สองตนพลันลุกขึ้นและเอ่ยถามด้วยความกระตือรือร้น “ท่านดักลาสคัดเลือกตัวแทนเสร็จแล้วหรือ ท่านสุภาพบุรุษทั้งสองจะไปกับเราใช่หรือไม่ โอ้ ลู…”

ทั้งสองก็คือเจ้าหญิงไอริสทีนและเจ้าชายอาร์เซเลียน คนรู้จักของลูเซียน ทั้งสองจึงเผลอโพล่งออกมาหลังจากเห็นเขา แต่พวกเขาก็นึกถึงตัวตนของลูเซียนขึ้นมาได้ จึงรีบเปลี่ยนท่าที “…ท่านอีวานส์”

หลังจากทักทายกัน อาร์เซเลียนกับไอริสทีนต่างก็เกิดความรู้สึกซับซ้อนหลากหลาย ทั้งสองเคยพบเจอกับลูเซียนเมื่อสิบปีก่อน ตอนนั้นเขายังเป็นเพียงนักเวทระดับสอง แต่หลังจากเวลาผ่านไปเพียงสิบปี เขากลับกลายเป็นนักเวทชั้นตำนานระดับสองแล้ว หากเทียบกันแล้ว พวกเขาแทบจะยังอยู่ในระดับเดียวกันกับเมื่อสิบปีก่อน!

สำหรับชาวเอลฟ์แล้ว สิบปีมิถือว่ายาวนานเลย แต่เมื่อทั้งสองได้มาพบเจอกับลูเซียนอีกครั้ง จู่ๆ พวกเขาก็รู้สึกว่าเวลาช่างผ่านไปไวเสียจริง และเวลาก็เปลี่ยนให้ผืนป่ามากมายกลายเป็นมหาสมุทรและทำให้มหาสมุทรแห้งเหือดกลายเป็นทวีปต่างๆ

‘ไม่แปลกใจเลยที่ลูเซียน อีวานส์ จะเน้นย้ำว่ากาลเวลาจะชัดเจนได้ด้วยความเปลี่ยนแปลง…’ ไอริสทีนเข้าใจอาร์คานาแต่เพียงผิวเผินเท่านั้น

ทั้งสองดูไม่ต่างจากเมื่อสิบปีก่อนเลย เว้นแต่ว่าจะดูมีวุฒิภาวะมากขึ้น และทั้งคู่ต่างยังคงสวมเสื้อผ้าที่ทำจากสิ่งของในธรรมชาติที่ดูสะอาดเรียบร้อย ด้วยเหตุนี้ ลูเซียนจึงจำทั้งสองได้เช่นกัน เขาพยักหน้าให้ยิ้มๆ เป็นการทักทาย

“ลูเซียน ‘ผู้บัญชาอะตอม’ อีวานส์ และแอตแลนต์ ‘เนตรแห่งคำสาป’ ฟอร์แมน จะนำนักเวทชั้นสูงและชั้นกลางบางส่วนไปที่ป่าและให้การช่วยเหลือพวกท่าน” ดักลาสแนะนำทั้งสองอย่างเป็นทางการ

ไอริสทีนสูดหายใจเข้าเพื่อลดความประหม่า ก่อนจะเอ่ยว่า “ท่านมหาจอมเวท ข้าจะอธิบายสถานการณ์ให้ท่านฟังคร่าวๆ…”

จากคำบอกเล่าของนาง ในป่าสตรู๊ปมีรอยแยกที่นำไปสู่อเวจีอยู่แห่งหนึ่ง พวกปีศาจมาโจมตีที่นั่นบ่อยครั้ง แต่เพราะรอยแยกนั้นกว้างไม่มากพอ เจตจำนงแห่งอเวจีและเจ้าชายแห่งอเวจีจึงเดินทางมาไม่ได้ เมื่อไร้ซึ่งผู้นำ เจ้าแห่งปีศาจทั้งหลายจึงโจมตีใส่กันเองมากกว่า ด้วยเหตุนี้ ราชสำนักเอลฟ์และสภาผู้เฒ่าแห่งเผ่าดรูอิดจึงปกป้องป่าได้อย่างง่ายดาย

แต่อยู่ๆ รอยแยกที่ควรจะเสถียรมั่นคงดีก็หลุดจากการควบคุมและแผ่ขยายใหญ่ขึ้นในช่วงหลายเดือนก่อน ปีศาจมากมายหลั่งไหลออกมาพร้อมกับผู้เป็นนายของพวกเขา โชคยังดีที่ยามนั้นมัลฟิวเรียนคือผู้ทำหน้าที่ปกป้องสถานที่นั้น มิเช่นนั้นคงมิอาจหลีกเลี่ยงผลลัพธ์แสนเลวร้ายไปได้

หลังจากจบการต่อสู้ พวกปีศาจก็ถูกขับไล่กลับไปยังอเวจี และรอยแยกนั้นก็ถูกปิดผนึก แต่ราชินีเอลฟ์กลับค้นพบว่าต้นไม้เอลฟ์ได้รับความเสียหายจากรังสีฆ่าฟันและความโกลาหล หลังจากนั้นมา ชาวเอลฟ์บางส่วนก็เริ่มได้รับสารพิษเจือปนและคล้ายกับถูกปีศาจครอบงำ

“ข้าหวังว่าท่านจะช่วยให้เราหาสาเหตุว่าทำไมรอยแยกนั้นจึงหลุดจากการควบคุมและหาวิธีที่จะทำให้มันเสถียร นั่นคือหนทางเดียวที่เราจะกำจัดรังสีแห่งอเวจีและป้องกันมิให้เกิดการแพร่ระบาดของสารพิษ แต่มิว่าจะเกิดอะไรขึ้นในท้ายที่สุด เราชาวเอลฟ์ก็จะสำนึกในบุญคุณครั้งนี้ของท่านด้วยใจจริง” ไอริสทีนดูท่าทางสุภาพเรียบร้อยขึ้นมากและพูดจาได้เก่งขึ้นกว่าแต่ก่อน

ทว่า สารปนเปื้อนและการแพร่ระบาดเกี่ยวข้องกับรอยแยกแห่งอเวจีหรือไม่นั้นยังต้องตรวจสอบให้ดี

ลูเซียนพยักหน้า “ข้าจำเป็นต้องเตรียมการและหาผู้ช่วยเสียก่อน”

หลายสิ่งหลายอย่างสามารถตรวจสอบได้โดยนักเวทชั้นสูงและชั้นกลาง และยังเป็นวิธีการพัฒนาทักษะความสามารถของสภาเวทมนตร์อีกด้วย

“ทราบแล้วขอรับ ท่านมหาจอมเวท” อาร์เซเลียนสะกดข่มความประหม่าขณะเอ่ยตอบ

เขายังคงดูเจิดจรัสดุจดังดวงอาทิตย์เหมือนเดิม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ได้ทำให้เขารู้สึกเหนื่อยล้าและหัวเสีย ส่งผลให้เขาหม่นประกายจนดูคล้ายกับพระอาทิตย์ตกดิน

ภายในจักรวาลอะตอม…

หลังจากบอกให้คณะกรรมการกิจการหาผู้ช่วยให้ ลูเซียนก็ตรงกลับบ้านและเล่าสถานการณ์ให้นาตาชาฟัง

“ราชสำนักเอลฟ์รึ ป่าสตรู๊ปงั้นรึ ปีศาจรุกรานรึ” ดวงตาของนาตาชาพลันเปล่งประกาย ด้วยเพราะเพิ่งจะเลื่อนระดับขึ้นเป็นอัศวินชั้นตำนาน นางจึงต้องการเหยื่อสำหรับการฝึกใช้ทักษะของนางอย่างยิ่งยวด

เมื่อเห็นสีหน้านั้นของนาง ลูเซียนก็พลันยกมือขึ้นเกาคางและหัวเราะขบขัน “เจ้าอยากไปด้วยหรือ”

นาตาชาตอบอย่าง ‘จริงจัง’ “ระบบของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และรัฐมนตรีทำให้ข้ามั่นใจว่าจะไม่เกิดข้อผิดพลาดอะไรขึ้นภายในอาณาจักรแห่งนี้แม้ว่าข้าจะไม่อยู่ที่นี่สักสองสามเดือนก็ตาม เจ้ามักจะต้องออกไปผจญภัยตัวคนเดียว แต่ตอนนี้ ในที่สุดข้าก็ไปกับเจ้าได้แล้ว นี่คือคำสาบานในงานแต่งที่ข้ามอบให้เจ้านะ!”

“แต่ข้ารู้สึกว่าสำหรับเจ้าแล้ว การติดตามข้าไปนั้นเป็นเพียงเหตุผลรอง อืม ตอนนี้ข้าได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นรัวและเลือดที่กำลังพลุ่งพล่านของเจ้าเลยล่ะ” ลูเซียนหยอกล้อนาง

นาตาชาประกาศกร้าวอย่างไม่เหนียมอาย “ความคิดของเรานี่ตรงกันจริงๆ! ถ้าอย่างนั้นก็เป็นอันตกลงตามนี้!”

ลูเซียนทำได้เพียงส่ายศีรษะไปมา และแย้มยิ้มชอบใจ

ยามเที่ยงวันถัดมา ภายในห้องข้างๆ ห้องประชุมของสภาสูงสุด ลูเซียนมาถึงก็พบกับเหล่านักเวทที่ถูกเรียกตัวมาร่วมการเดินทางในครั้งนี้กับเขา

“แอนนิค? สปรินต์? เหตุใดพวกเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่เล่า” ลูเซียนพบว่าลูกศิษย์ของเขาสี่คนอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย

ไฮดี้แย้มยิ้มกว้าง “ช่วงนี้พวกเขาเงียบมากเจ้าค่ะ ข้าก็เลยลากออกมาเดินเล่น ไม่ดีหรือเจ้าคะที่พวกเขาจะได้ทำภารกิจหลักภายใต้สายตาท่าน น่าเสียดายจริงๆ เจ้าค่ะที่เชลีย์กับเลย์เรียต้องเข้าเวรดูแลสถาบัน”

“อ้อ แบบนี้ก็ไม่แย่” ลูเซียนพยักหน้าอย่างเห็นดีเห็นงาม ลูกศิษย์ของเขาจะอ่อนแอยามอยู่ในสมรภูมิรบมิได้ ไม่มีใครรู้ว่าสงครามครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้หรือไม่ ส่วนเรื่องแผนการในใจไฮดี้นั้น ลูเซียนรู้ดีทีเดียว แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป เพราะนางทำลงไปด้วยเจตนาอันดี

แอนนิคและสปรินต์ยืนอยู่ข้างๆ นั้นด้วยท่าทางกระอักกระอ่วน เพราะไม่รู้ว่าพวกตนควรจะพูดอะไร

สมาชิกคณะกรรมการกิจการที่ต้องติดตามลูเซียนไปในครั้งนี้ก็เป็นสหายเก่าแก่ เขาคือจูรีเซียน จากสหพันธ์บทเพลงจันทรา แต่เขากลับมาพร้อมกับสมาชิกที่อยู่เหนือความคาดหมาย

“เฟลิเป?” ลูเซียนจ้องมองบุรุษท่าทางเหมือนคนป่วยที่เดินเข้ามา

เนตรแห่งคำสาปที่ยืนอยู่ข้างๆ เฟลิเปแย้มยิ้ม “เขาสนใจพันธุศาสตร์ทางธรรมชาติอย่างมากจึงสมัครเข้าร่วมการเดินทางไปยังป่าสตรู๊ป และข้าก็บังเอิญต้องการผู้ช่วยพอดี จึงตอบรับคำขอของเขา”

“นั่นเป็นสิทธิของท่าน” ลูเซียนมิได้พูดอะไรอีก เฟลิเปหาใช่คนที่เขาต้องระแวดระวังอีกต่อไปแล้ว และก็เป็นที่ชัดเจนว่าเฟลิเปเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน เขาเพียงยืนนิ่งอยู่ข้างพวกเขา ดูท่าทางไม่ก้าวร้าวเหมือนแต่ก่อน เพราะความต่างชั้นระหว่างทั้งสองนั้นกว้างเกินไป

ข่าวต้นชั่วโมงจาก ‘เสียงแห่งอาร์คานา’

“วันนี้ ท่านลูเซียน อีวานส์ มหาจอมเวท สมาชิกสภาสูงสุด และนักเวทชั้นตำนาน ได้เดินทางออกจากอัลลินพร้อมกับราชินีนาตาชา ‘ดาบเที่ยงธรรม’ ออร์วาริต เพื่อเยี่ยมเยือนชาวเอลฟ์ในป่าสตรู๊ปเป็นเวลาหนึ่งเดือน คณะผู้แทนในครั้งนี้ยังมีท่านแอตแลนต์ ฟอร์แมน และจูรีเซียน…”

นั่นคือข้ออ้างที่ใช้บังหน้าเท่านั้น

…………………………………………