บทที่ 670 ถิ่นพำนักแห่งธรรมชาต

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

บทที่ 670 ถิ่นพำนักแห่งธรรมชาติ
“เอาล่ะ ทุกคนมากันครบแล้วนะ” จูรีเซียนผู้มีดวงตาสีน้ำตาลและเส้นผมสีดำ ตรวจดูรายชื่อบนใบทะเบียน

เมื่อได้ยินถ้อยคำนั้น อาร์เซเลียนก็แย้มยิ้มและหันมาทางลูเซียน “ท่านอีวานส์ ท่านฟอร์แมน เราพร้อมจะไปกันหรือยังขอรับ”

เขาประหม่ากลัวเมื่อคิดถึงต้นไม้เอลฟ์ที่ถูกทำให้แปดเปื้อนและเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ที่ติดเชื้อเกินกว่าจะควบคุมความรู้สึกและมารยาท

ลูเซียนตั้งใจจะหันไปมองแอตแลนต์เพื่อดูท่าทีของอีกฝ่าย แต่ก็ได้เห็นเพียงดวงตาที่ปิดสนิทหลังจากหันศีรษะไป เขาพลันส่ายศีรษะด้วยความขบขัน เสียงหัวเราะคิกคักของนาตาชาเองก็ลอยเข้ามาในโสตประสาทเขา ชัดเจนว่านางสังเกตเห็นท่าทางอิหลักอิเหลื่อของเขา นิสัยและประสบการณ์มักจะทำให้ผู้คนทำผิดพลาด

“ท่านแอตแลนต์ มีสิ่งใดที่ท่านต้องทำก่อนหรือไม่ขอรับ” ลูเซียนถาม

แอตแลนต์ส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร “ไม่มีหรอก ข้าควรจะเป็นผู้ช่วยเจ้าในภารกิจตรวจสอบครั้งนี้น่ะ”

ด้วยความโล่งอก ไอริสทีนกำลังจะเอ่ยปาก แต่แล้วนางกลับรู้สึกวิงเวียน ก่อนที่สีสันรอบกายนางจะเลือนหายไป ทิ้งไว้เพียงความมืดมิด จากนั้นนางก็มองเห็นจักรวาลอันไร้ขอบเขต ที่ที่ดวงดาวหาได้เปล่งแสงเจิดจรัส แต่กลับแผ่สีสันต่างๆ ออกมาดูราวกับธาตุ บ้างก็เป็นสีเงิน บ้างก็เป็นสีทอง สีเขียว และสีแดงชาด…

“จักรวาลอะตอม…” ชื่อนี้ผุดขึ้นในใจนางอย่างไรมิทราบได้ ส่วนนักเวทชั้นกลางและชั้นสูง ยกเว้นไฮดี้กับลูกศิษย์คนอื่นๆ ของลูเซียน ต่างก็เอ่ยออกมาเสียงแผ่วเบา

เฟลิเปยังคงดูท่าทางซีดเซียวเหมือนเดิม แต่คิ้วของเขากลับขมวดมุ่น ราวกับว่าเขากำลังสะกดข่มความวิงเวียนที่เกิดจากเวทกระโดดข้ามอวกาศอยู่ เขายืนตัวตรงซุกมือทั้งสองข้างไว้ในกระเป๋าเสื้อโค้ต และเชิดหน้าขึ้นเพื่อมองดูดาวเคราะห์ธาตุรอบๆ กายด้วยสีหน้าครุ่นคิด มิมีผู้ใดสามารถคาดเดาความคิดในใจของเขาได้

อาการพะอืดพะอมของไอริสทีนยังไม่ทันหายไป นางก็เห็นว่าดาวเคราะห์ทั้งหลาย จู่ๆ โคจรเร็วขึ้นและเชื่อมต่อกันเป็นสัญลักษณ์แสนพิสดาร ทิ้งวิถีโคจรแห่งอาร์เคนไว้เบื้องหลังพวกเขา

ทันทีที่นางมองเห็นสัญลักษณ์เหล่านั้น ดวงตาของนางก็พร่าเลือนไปอีกครา นางจึงมิอาจทำความเข้าใจภาพรอบกายได้เลยสักนิด คล้ายกับว่าตัวนางจะเห็นภาพมายาแปลกๆ ที่ว่านางกำลังเดินทางผ่านอุโมงค์มืดทึบยาวเหยียด

ท่ามกลางความสับสนมึนงง ไอริสทันมิอาจรู้ได้เลยว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด แต่จู่ๆ แสงสว่างก็ฉายวาบต่อหน้าต่อตา มันเจิดจ้าเสียจนนางต้องหรี่ตาลง นางรู้สึกว่าศีรษะหนักอึ้งแทบเหลือทน และอยากจะอาเจียน

“ตอนนี้เราอยู่ในป่าสตรู๊ปแล้ว ท่านช่วยนำทางเราไปยังถิ่นพำนักแห่งธรรมชาติด้วยเถิด” เสียงอันไพเราะนุ่มทุ้มของลูเซียนคล้ายกับจะต้องเดินทางผ่านโลกหลายใบก่อนจะดังเข้ามาในโสตประสาทที่ยังอื้ออึงอยู่ของไอริสทีน

‘ถิ่นพำนักแห่งธรรมชาติ’ คือปราการอันแข็งแกร่งของเหล่าเอลฟ์ และมันยังหมายถึงถิ่นที่อยู่ของชาวเอลฟ์ภายในป่าสตรู๊ปอีกด้วย

ไอริสทีนสะบัดหน้า พยายามกำจัดความวิงเวียนทั้งหลายไป แต่ทันใดนั้นเอง นางก็มองเห็นใบหน้างดงามเปี่ยมด้วยพลังอันล้นเหลือซึ่งประกอบด้วยดวงตาสีเงินและรอยยิ้มแปลกพิกล ในมือนางที่หงายเปิดอยู่นั้นมีผลไม้ขนาดเท่านิ้วมืออยู่ลูกหนึ่ง จากนั้นนางก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ “นี่คือเชอร์กา ผลไม้พิเศษของโฮล์ม เติบโตอยู่ข้างแม่น้ำเชอร์กาเท่านั้น และสามารถขจัดอาการวิงเวียนจากเวทกระโดดข้ามอวกาศได้อย่างรวดเร็ว”

ไอริสทีนรับผลไม้มาใส่ปาก เมื่อสัมผัสได้ถึงรสชาติเปรี้ยวอมหวาน นางก็พลันรู้สึกสดชื่นขึ้น “ขอบพระทัยเพคะ ฝ่าบาท”

ในฐานะเอกอัครราชทูต นางย่อมต้องรู้จักราชินีแห่งโฮล์ม หรือภริยาของท่านอีวานส์เป็นอย่างดี

นาตาชาส่งยิ้มให้ “จริงๆ แล้ว เจ้าจะรู้สึกดีขึ้นหลังจากคุ้นชินกับมัน เวทกระโดดข้ามอวกาศมันไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอก”

นางหันกลับและเดินไปหาลูเซียน ขณะหัวเราะคิกคักผ่านทางกระแสจิตที่ปรับคลื่นให้ตรงกันไว้ล่วงหน้า “แม้แต่เจ้าหญิงเอลฟ์ทั้งหลายยังอ่อนแอถึงเพียงนี้เช่นกันน่ะหรือ ข้าช่างแตกต่างจากหมู่มวลเจ้าหญิงเสียจริง”

“เจ้าไม่รู้หรือว่านางมีระดับพลังเท่าใด” ลูเซียนค่อนข้างพึงพอใจที่ภรรยาของเขาไม่พูดคุยกับไอริสทีนต่อ

นาตาชาเอ่ยอย่างอวดโอ่ “ข้าเดินทางมายังโฮล์มผ่านมิติ ‘สวรรค์ธาตุ’ ตั้งแต่ยังเด็ก ข้าไม่เห็นจะรู้สึกว่ามันหนักหนาอะไรเหมือนอย่างนาง”

“แน่นอนสิ เจ้าเป็นคนพิเศษนี่นะ” ลูเซียนจบบทสนทนาด้วยคำชมอย่างเอาใจใส่

หลังจากสูดหายใจเข้าลึกสองสามครั้ง ไอริสทีนก็กลับเป็นปกติและพบว่าเหล่านักเวทจากสภาเวทมนตร์ต่างก็กลับมามีสติด้วยวิธีแปลกๆ หลากหลายวิธี ดังนั้น นางจึงกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มสุภาพและสง่างาม “เชิญทุกๆ ท่านตามข้าไปยัง ‘ถิ่นพำนักแห่งธรรมชาติ’ เจ้าค่ะ”

ก่อนหน้านี้ พวกเขาออกจากที่นี้ด้วยพลังแห่งธรรมชาติของมัลฟิวเรียน และอาการวิงเวียนก็ไม่รุนแรงเท่าครั้งนี้ มิใช่ว่าผู้มีพลังชั้นตำนานทุกคนจะมีมิติพิเศษ พระคาร์ดินัลชั้นนักบุญหามีไม่ อัศวินชั้นตำนานส่วนใหญ่ก็ไม่มี ชาวดรูอิดเองก็ไม่มีเช่นกัน มีเพียงนักเวทชั้นตำนานและผู้มีพลังชั้นสูงเท่านั้นที่จะครอบครองมิติพิเศษหรือมิติอื่นที่มีคุณสมบัติเช่นนั้น อย่างแอ็ปซิสที่มี ‘ดินแดนโครงกระดูก’ และทิโฟทิดิสที่มี ‘นรกเงียบงัน’

แน่นอนว่า ทั้งคู่ต่างยอมรับตรงๆ ว่ามิติพิเศษทั้งสองแห่งนั้นได้รับมอบมาจากเจ้าแห่งนรกและเจตจำนงแห่งอเวจี พลังของพวกมันจะแข็งแกร่งขึ้นครึ่งขั้นหากต่อสู้ในอาณาบริเวณเหล่านั้น

“นี่คือการกระโดดข้ามอวกาศโดยใช้มิติพิเศษใช่หรือไม่” อาร์เซเลียนยืนอยู่ข้างหลังน้องสาว เขาเพียงรู้สึกเวียนศีรษะครู่หนึ่ง ก่อนที่ป่าสตรู๊ปแสนคุ้นตาจะปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา

ยามอยู่ในป่าสตรู๊ป กลับมิอาจสัมผัสถึงไอร้อนในเดือนมิถุนายนได้เลยสักนิด สายลมเย็นๆ พัดวูบผ่านใบไม้ หอบเอากลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของความเย็นสบายแห่งผืนป่า และนำพาเสียงนกร้องแสนไพเราะมาที่พวกเขา

อัลเฟอร์ริสที่ย่อขนาดตัวเล็กลง เดินขึ้นไปด้านหน้าคนทั้งกลุ่มด้วยท่าทางราวกับสุนัข เขากวาดตามองสภาพแวดล้อมอย่างตั้งอกตั้งใจเสียจนจูรีเซียน นักเวทประจัญบาน รู้สึกละอายใจในตนเอง เจ้ามังกรตัวนี้ช่างทำงานอย่างเข้มงวดกวดขันยิ่ง!

“อัลเฟอร์ริส เจ้ากำลังมองหาอะไรงั้นหรือ” ไฮดี้ค่อนข้างคุ้นเคยกับเจ้าสัตว์เลี้ยงแสนน่ารักตัวนี้

อัลเฟอร์ริสจดจ้องภายในป่าราวกับนักสืบ ทำให้สัตว์อสูรทุกตัวภายในรัศมีหลายพันเมตรหวาดเกรงด้วยกลิ่นอายมังกรของมัน แต่เจ้าตัวกลับตอบอย่างเอาแต่ใจและระแวดระวัง “ข้าจำได้ว่านักเวทผู้หนึ่งเคยพบเหมืองอันญมณีในป่านี้!”

“แต่มันไม่มีทางอยู่ตรงนี้หรอก…” คาทรินาอดไม่ได้ที่จะเตือนมันถึงภูมิศาสตร์ทางธรรมชาติ

อัลเฟอร์ริสหาได้แสดงท่าทีผิดหวังไม่ “ในที่ที่พวกเอลฟ์อาศัยอยู่จะมีของขวัญจากธรรมชาติอยู่มากมาย!”

นั่นคือเหตุผลข้อสำคัญที่สุดที่ทำให้มันอ้อนวอนขอเดินทางมากับลูเซียน เมื่อพิจารณาถึงเรื่องที่ว่าชาวเอลฟ์มิได้รังเกียจมังกร แม้ว่าบางส่วนอาจจะมีอคติกับมนุษย์ก็ตาม พวกเขาย่อมยอมทำตามคำขอร้องของมังกรในท้ายที่สุด

ไอริสทีนมองไปทางเจ้ามังกรตัวน้อยที่มีเกล็ดคริสตัลสีใสอยู่บนร่าง หาได้ประหลาดใจกับความเป็นมังกรของมัน แต่กลับอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าเมื่อเห็นการแต่งกายที่ดูอวดร่ำอวดรวยของเจ้ามังกร

กรงเล็บหน้าของเจ้ามังกรนั้นประดับประดาด้วยแหวนที่ส่องประกายวิบวับหลายวง และยังมีเหรียญรางวัลอีกหลายอัน รวมถึงเหรียญจันทราสีเงินที่เป็นตัวแทนเกียรติอันสูงสุดที่ห้อยอยู่ตรงอก นอกจากนี้ยังมีของที่มันยืมมาจากลูเซียนอีกด้วย ในเมื่อมันต้องคืนของเหล่านั้นให้กับใครบางคน มันจึงสวมทุกอย่างและใช้เวลาทุกวินาทีเพื่อ ‘ผูกมัด’ พวกมัน ทำตัวราวกับว่ามันมิอาจแยกจากของเหล่านั้นไปไหนได้ แต่จริงๆ แล้ว การกระทำทั้งหมดนี้ล้วนทำเพื่อให้ลูเซียนเห็น

จุดหมายปลายทางของลูเซียนในการกระโดดข้ามอวกาศนั้นอยู่ไม่ไกลจาก ‘ถิ่นพำนักแห่งธรรมชาติ’ เมื่อมีเอลฟ์ถึงสองตนคอยนำทาง ไม่นาน ‘คณะผู้แทนจากสภาเวทมนตร์และอาณาจักรโฮล์ม’ ก็มองเห็นสถานที่ที่มีหมอกหนาโอบล้อมเอาไว้ ภายในม่านหมอกนั้น ต้นไม้ทุกต้นสูงชะลูดอย่างอุดมสมบูรณ์ ภายใต้การชักนำของพลังแห่งธรรมชาติ กิ่งก้านสาขาของแต่ละต้นจึงยื่นยาวเกี่ยวกระหวัดเป็นรูปทรงกระท่อมอยู่กลางอากาศ ทะเลสาบตรงกลางนั้นดูใสแจ๋วประดุจอันญมณีน้ำงาม บรรดาดอกไม้และผลไม้รอบๆ ต่างก็ดูแปลกตาหลากสีสัน ที่แห่งนี้เป็นทั้งที่อยู่อาศัยและธรรมชาติอย่างแท้จริง!

“งดงามเหลือเกิน…” ไฮดี้ คาทรินา และเด็กสาวคนอื่นๆ ต่างออกปากชื่นชมสภาพแวดล้อมแสนงดงามนี้ แม้แต่นักเวทผู้หมองหม่นอย่างเฟลิเปก็ยังรู้สึกสมองปลอดโปร่งเหมือนได้รับการชำระล้างให้สะอาดบริสุทธิ์หลังจากได้เห็นถิ่นพำนักแห่งธรรมชาติที่คล้ายกับหลุดออกมาจากเทพนิยาย

ในตอนนั้นเอง มัลฟิวเรียน เอลฟ์ชราผู้มีผิวหนังสีเขียวเข้มก็เดินออกมาจากม่านหมอกพร้อมกับคทาไม้ไร้การประดับประดาในมือทั้งสองข้าง ตามมาด้วยชาวเอลฟ์หลายตนที่มีสีผิวและสีผมแตกต่างกันไป

“ยินดีต้อนรับ เหล่าแขกผู้มีเกียรติ” มัลฟิวเรียนเอ่ยต้อนรับในนามของสภาเอลฟ์ “ต้องขออภัยที่ทางเราเสียมารยาท แต่เอลฟ์ทุกตนต่างกำลังเจ็บปวดเพราะความเสียหายที่เกิดขึ้นกับต้นไม้เอลฟ์ อีวานส์ ฟอร์แมน และนาตาชา เชิญไปที่ใจกลางทะเลสาบพร้อมกับข้าเถิด”

“นั่นคือวัตถุประสงค์ของเราขอรับ” ลูเซียนชื่นชมการให้ความสำคัญแก่ต้นไม้เอลฟ์ของชาวเอลฟ์จริงๆ และเขาก็กำลังคิดว่าเขาจะขอผลไม้ล้ำค่ากลับไปด้วยได้หรือไม่ หากทำเช่นนั้นได้ เขาก็จะสามารถประกอบพิธีกรรมยืดอายุขัยชั้นตำนานที่ดีที่สุดให้กับตัวเองและนาตาชาได้พร้อมกับใช้น้ำพุแห่งความอ่อนเยาว์

ในระหว่างนั้น ลูเซียนหันไปบอกกับจูรีเซียน สปรินต์ ไฮดี้ และนักเวทคนอื่นๆ “ไปเดินดูรอบๆ และพูดคุยกับชาวเอลฟ์ดู หารายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาให้ได้ โดยเฉพาะสัญญาณทั้งหลายก่อนที่พวกเขาจะได้รับไอพิษจนมีท่าทางผิดแปลกไป”

“รับทราบขอรับ ท่านมหาจอมเวท” จูรีเซียนจริงจังกับภารกิจนี้อย่างมาก ท่าทางยิ้มแย้มเป็นกันเองของเขากลับไม่มีอีกแล้ว

ด้วยเหตุนี้ ผู้มีพลังชั้นตำนานทั้งสามจึงบินตรงไปยังพระราชวังของชาวเอลฟ์ ณ ใจกลางทะเลสาบ ภายใต้การนำทางของมัลฟิวเรียน ผู้เป็นดาร์คเอลฟ์ ต้นไม้เอลฟ์อยู่ที่จุดศูนย์กลางของพระราชวังนั้น

เมื่อพวกเขาบินมาได้ครึ่งทาง ลูเซียนกับนาตาชาก็มองเห็นต้นไม้ยักษ์ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางเทียบเท่าระยะทางระหว่างพระราชวังเนคโซฟากหนึ่งไปยังอีกฟากหนึ่ง ยอดต้นไม้นั้นอยู่สูงเลยหมู่เมฆไปจนแทบมองไม่เห็น เปลือกไม้ตรงลำต้นเป็นสีน้ำตาลเขียวดูแปลกประหลาด เพราะมันผันผวนอยู่ตลอดราวกับสิ่งมีชีวิตที่แสนรื่นเริงกระฉับกระเฉง

ต้นไม้เอลฟ์แผ่กลิ่นอายเหนือธรรมชาติ เห็นได้ชัดว่ามันตั้งอยู่ ณ ที่แห่งนี้ แต่มันกลับดูเหมือนอยู่กันคนละโลก ลูเซียนคุ้นเคยกับความรู้สึกนี้ดี เพราะเตาหลอมวิญญาณนั้นให้ความรู้สึกยากเกินจะบรรยายยิ่งกว่านี้เสียอีก

“มันต้องพิษจริงๆ ด้วย…” ก่อนหน้านี้ ลูเซียนได้ร่ายเวทให้นาง สายตาของนาตาชาจึงแหลมคมยิ่งกว่าเดิม นางมองเห็นจุดสีดำหนาทึบหลายจุดบนลำต้น ซึ่งทำให้เปลือกไม้รอบๆ นั้นได้รับความเสียหายและมันก็กำลังแผ่วงกว้างขึ้นเรื่อยๆ อย่างเชื่องช้า

ในตอนนั้นเอง เงาสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากบ้านที่สร้างโดยธรรมชาติบนต้นไม้เอลฟ์ ผู้มาเป็นเอลฟ์ร่างสูงใหญ่ผมดำ ผิวสีเงิน มีปลายหูแหลม และคล้องคันธนูเก่าแก่พาดไว้บนหลัง

“นี่คือแลงค์เชียร์ ‘นักล่าอาฆาต’ หัวหน้าหน่วยอารักขาของเรา” มัลฟิวเรียนแนะนำเขาให้ลูเซียน นาตาชา และแอตแลนต์รู้จัก

‘เอลฟ์ชั้นตำนานระดับสามอีกตน…’ ลูเซียนพยักหน้า เอลฟ์เพศชายผู้มีรอยสักดูลึกลับมากมายบนลำคอคือผู้มีพลังชั้นตำนานที่เติบโตมาพร้อมกับทักษะความสามารถแบบเอลฟ์อันเป็นเอกลักษณ์ของเขาเอง มิใช่ชาวดรูอิด

“และนี่คือลูเซียน ‘ผู้บัญชาอะตอม’ อีวานส์ ส่วนท่านนี้คือภริยาของเขา นาตาชา ‘ดาบเที่ยงธรรม’ ออร์วาริต และท่านนี้ก็คือแอตแลนต์ ‘เนตรแห่งคำสาป’ ฟอร์แมน ข้าเชื่อว่าเจ้าคงจะคุ้นเคยกันเขาดี” มัลฟิวเรียนเอ่ยกับแลงค์เชียร์ จากนั้นเขาก็มุ่นคิ้วเคร่งเครียด “เฟอร์รากอนด์อยู่ที่ใดกัน”

ท่าทางของแลงค์เชียร์ทำให้ทุกคนเข้าใจได้อย่างง่ายดายว่าเขาเป็นนักรบที่ชื่นชอบการต่อสู้ระยะประชิด แต่หุ่นของเขากลับเรียบลื่น และแทบจะไม่มีมัดกล้ามให้เห็น เขาส่งเสียงขึ้นจมูก “เฟอร์รากอนด์มิอยากต้นรับแขก ท่านก็รู้ว่าเขาเป็นหัวหน้านิกายกบฏธรรมชาติ”

เขาดูจะมิใช่สหายคนสนิทของเฟอร์รากอนด์ และเขาก็จงใจแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน