บทที่ 671 ดวงใจแห่งธรรมชาต

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

มัลฟิวเรียนจ้องมองแลงค์เชียร์แต่มิได้เอ่ยตอบสิ่งใด เขาหันหลังกลับมาพูดกับลูเซียน นาตาชา และแอตแลนต์ “ข้าเสียใจกับเรื่องนี้จริงๆ เฟอร์รากอนด์ได้วางความเห็นส่วนตัวไว้เหนือความเป็นความตายของเผ่าพันธุ์เอลฟ์เสียแล้ว แต่กระนั้น ข้ามิได้เห็นด้วยกับความคิดเห็นของเขาเลยสักนิด มนุษย์ก็นับเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติอย่างไม่ต้องสงสัยเลย”

เขาหาได้วิพากษ์วิจารณ์นิกายกบฏธรรมชาติ แต่ก็ไม่ได้เพิกเฉยต่อเรื่องนี้ กลับกัน เขาได้แสดงวิสัยทัศน์ของตนเองอย่างอ้อมๆ และกล่าวขออภัย เพื่อให้แขกทั้งสามทราบว่าเฟอร์รากอนด์มิใช่ตัวแทนของชาวเอลฟ์ทุกตน แท้จริงแล้วเขาเป็นเพียงชนกลุ่มน้อย มิเช่นนั้นพวกเขาคงไม่มีทางขอความช่วยเหลือจากสภาเวทมนตร์อย่างแน่นอน

“ข้าเชื่อว่าการตรวจสอบของเราจะง่ายขึ้นมากหากมิมีผู้ใดมาสร้างปัญหาอะไรให้กับเราขอรับ” ลูเซียนรับคำขอโทษของมัลฟิวเรียนและส่งยิ้มตอบกลับ

แลงค์เชียร์ ‘นักล่าอาฆาต’ มีดวงตาสีเงินแสนลึกล้ำ เขาเอ่ยขึ้น “ขอบพระคุณที่ท่านอภัยให้กับความไร้มารยาทของเฟอร์รากอนด์ ข้าจะพาพวกท่านไปพบองค์ราชินีเอง”

เขาไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างนิกายกบฏธรรมชาติและนิกายสมดุลธรรมชาติ ซึ่งมีมัลฟิวเรียนเป็นตัวแทน

ลูเซียนและอีกสองคนติดตามแลงค์เชียร์ผ่านทะเลสาบที่ดูเหมือนกับอันญมณีสีน้ำเงินและบินตรงไปยังต้นไม้เอลฟ์ที่มีกิ่งหนึ่งใหญ่โตพอที่จะเป็นผืนป่าอีกแห่งได้ ที่กลางอากาศนั้น กิ่งก้านเล็กๆ เกี่ยวกระหวัดกันหนาแน่นจนก่อเป็นรูปร่างบ้านหลายหลังที่งดงามราวกับงานศิลปะ

ดอกไม้สีขาวและสีเหลืองเบ่งบานอยู่บนอาคารบ้านเรือนเหล่านั้น ทั้งยังสิ่งกลิ่นอายหอมสดชื่นออกมา

“ที่นี่ทำให้ข้ารู้สึกเหมือนความคิดและจิตใจได้รับการชะล้าง แรงบันดาลใจมากมายผุดขึ้นมามิหยุดเลย…” นาตาชาชื่นชมทิวทัศน์ทางธรรมชาตินี้ด้วยใจจริง “ยามเมื่อราตรีกาลมาเยือน จันทราสีเงินจะก่อระลอกคลื่นแห่งแสงเมื่อมันเปล่งประกายเหนือทะเลสาบ นั่นคงจะเป็นภาพแทนบทเพลง ‘แสงจันทร์’ ของเจ้าที่สมจริงที่สุดเลยล่ะ”

ลูเซียนพยักหน้ายิ้มๆ “สภาพแวดล้อมเช่นนี้ทำให้จิตใจข้าสงบยิ่งนัก หากเจ้าชอบที่นี่ วันหน้าเราก็มาอยู่ที่นี่ก็ได้นะ”

นาตาชาหัวเราะอย่างฝืดเฝื่อน “หากข้าอาศัยอยู่ที่นี่สักสองสามสัปดาห์ จิตวิญญาณความเป็นนักดนตรีของข้าคงหายไป แล้วแทนที่ด้วยด้านที่มีความเป็นอัศวินผู้ชื่นชอบเรื่องหวานเลี่ยนเป็นแน่ ที่แห่งนี้งดงามนัก แต่ข้าคงไม่เหมาะจะอยู่ที่นี่นานๆ นักหรอก”

ลูเซียนเพียงพูดเล่นเท่านั้น นครอัลลินซึ่งเต็มไปด้วยการถกเถียงโต้แย้งเกี่ยวกับอาร์คานานั้นเหมาะกับเขามากกว่าถิ่นพำนักแห่งธรรมชาติอย่างชัดเจน

มัลฟิวเรียนเอ่ยขึ้นขณะยืนข้างๆ พวกเขา “แม้พวกเราจะพยายามเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ แต่พวกคัวโทนในมหาสมุทรกลับดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง จึงคอยสร้างความขัดแย้งเพื่อก่อกวนมิหยุดหย่อน ด้วยเหตุนี้ แยนติสจึงต้องไปที่มหาสมุทรไร้พรมแดนเพื่อช่วยปกป้องอาณาเขตร่วมกับจาร์ด ส่วนเซลินดากับโลเดลล์นั้นอยู่ปกป้องรอยแยกแห่งอเวจีที่อีกฟากฝั่งหนึ่งของผืนป่า”

“เพราะฉะนั้น ที่นี่จึงเหลือเพียงองค์ราชินีและเราสามคนเท่านั้น”

จาร์ดคือชาวดรูอิดเผ่าพันธุ์เอลฟ์แห่งท้องทะเลที่มีพลังระดับชั้นตำนาน ต้องขอบคุณอายุขัยอันยืนยาวของเขาที่ทำให้เขาเลื่อนขั้นขึ้นเป็นชั้นตำนานระดับสองได้ ส่วนแยนติสคือ ‘สายลมจันทราดับ’ ผู้มีพลังชั้นตำนานในหมู่ชนเผ่าเอลฟ์จันทรา นางเลื่อนระดับขั้นขึ้นด้วยความสามารถของตัวเองเหมือนกับแลงค์เชียร์ แต่ยามนี้นางยังคงอยู่ที่ระดับหนึ่งเท่านั้น

เซลินดาและโลเดลล์คือสมาชิกสภาผู้เฒ่าแห่งเผ่าดรูอิดอีกสองท่าน เซลินดานั้นเป็นนางไม้ และมีพลังชั้นตำนานระกับสอง ส่วนโลเดลล์เป็นมนุษย์ รู้จักกันในนามของ ‘หัตถ์แห่งดุลยภาพ’ เขามีพลังชั้นตำนานระดับหนึ่ง

“ท่านผู้เฒ่า ไม่เป็นไรขอรับ หลังจากตรวจสอบต้นไม้เอลฟ์และชาวเอลฟ์ที่ได้รับผลกระทบแล้ว เราจะไปที่รอยแยกแห่งอเวจีและถามเซลินดากับโลเดลล์ถึงข้อมูลล่าสุดทันทีที่ทำได้ขอรับ” ลูเซียนกล่าวพร้อมกับก้าวเข้าไปในบ้านต้นไม้

นาตาชาขยับเท้าขวา แผ่พลังสัมผัสถึงสถานะของต้นไม้เอลฟ์อย่างระมัดระวัง แอตแลนต์เองก็ลืมตาขึ้น มองสังเกตสังการอบกายด้วยสีหน้าครุ่นคิดพิจารณา

ขณะเดินตามนักล่าอาฆาต ลูเซียน นาตาชา และแอตแลนต์ก็เดินผ่านบ้านต้นไม้ๆผหลายหลัง และเข้ามาสู่ภายในต้นไม้เอลฟ์ผ่านทางรอยแยกทางธรรมชาติ

สีสันได้เปลี่ยนจากน้ำตาลอมเขียวเป็นสีเขียวเข้ม และเมื่อสีสันนั้นกลายเป็นสีเข้มทึบทึมที่สุด แสงจำรัสสีขาวงาช้างดูสูงส่งเป็นที่น่าเคารพบูชาก็ปรากฏขึ้น พลังแห่งชีวิตอันบริสุทธิ์ผุดผ่องคล้ายกับจะถูกเก็บไว้ภายในนั้น

จุดแสงเหล่านั้นโอบล้อมรอบวัตถุสีเขียวที่รูปร่างเหมือนหัวใจ นำพามาซึ่งความรู้สึกมีชีวิตชีวาและอุดมสมบูรณ์

หัวใจดวงนั้นดูแปรปรวนและแปลกพิกล ท่อสีเขียวมากมายที่หน้าตาเหมือนเส้นเลือดแผ่ขยายออกจากมัน และเชื่อมต่อกับลำต้นรอบๆ นั้น ของเหลวสีใสและแสงสว่างแล่นเข้าออก แต่ในยามนี้พวกมันกลับเจือปนด้วยสีดำ

‘ดวงใจแห่งธรรมชาติ…’ ลูเซียนกับนาตาชาอุทานผ่านทางกระแสจิตพร้อมๆ กัน

มันคือสิ่งที่เป็นรากฐานสำคัญอย่างที่สุดสำหรับเผ่าพันธุ์เอลฟ์ ตราบใดที่ดวงใจแห่งธรรมชาติยังคงอยู่ พวกเขาก็จะสามารถปลูกต้นไม้เอลฟ์ได้ใหม่อีกครั้งหลังจากย้ายถิ่นฐาน

ในตอนแรกนั้นมีดวงใจแห่งธรรมชาติอยู่ห้าดวง แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป ดวงใจสี่ดวงก็ถูกใช้จนสูญสิ้นพลัง บัดนี้จึงเหลือเพียงดวงใจในป่าสตรู๊ปแห่งนี้ที่ยังรักษาความรุ่งโรจน์ของเผ่าพันธุ์เอลฟ์เอาไว้

นอกจากนี้ มันยังเป็น ‘ดวงใจแห่งธรรมชาติ’ ที่แข็งแกร่งทรงพลังที่สุด หลังจากหลอมรวมกับมัน อะเกลียยา ราชินีเอลฟ์ จึงทะลวงขีดจำกัดและกลายเป็นผู้มีพลังชั้นตำนานระดับสูงสุด นั่นคือเหตุผลว่าทำไมชาวเอลฟ์จึงมีผู้มีพลังชั้นตำนานระดับสูงสุดอยู่เสมอ!

แน่นอนว่า มีเพียงผู้มีพลังชั้นตำนานระดับสามเท่านั้นที่จะไปถึงจุดสูงสุดได้ด้วยการหลอมรวมกับดวงใจแห่งธรรมชาติ

ภายในดวงใจแห่งธรรมชาติมีร่างเงาสีทองบลอนด์เลือนรางยืนอยู่ ซึ่งร่างนั้นกำลังพยายามกำจัดจุดด่างดำสกปรกนั้นทิ้งไป แต่ด้วยเหตุใดไม่ทราบได้ กระบวนการนั้นกลับเชื่องช้าอย่างเหลือเชื่อทั้งๆ ที่ร่างนั้นมีพลังแข็งแกร่งยิ่ง

“ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของพวกท่าน” ร่างเงาพลันปรากฏชัด ใบหน้างดงามใสซื่อของนางแฝงไว้ซึ่งความเคร่งขรึมและมีวุฒิภาวะ นางดูเหมือนพี่สาวของไอริสทีนมากกว่ามารดาเสียอีก

‘งามเหลือเกิน…’ มิใช่ลูเซียน แต่เป็นนาตาชาที่อุทานคำนั้น แต่ไม่นานนางก็ได้สติแล้วหันมาหัวเราะขบขันกับลูเซียน ‘อย่าห่วงเลย นั่นเป็นเพียงคำชมเท่านั้น’

มัลฟิวเรียนแนะนำทั้งสามให้อะเกลียยารู้จัก พระองค์ทรงพยักหน้ารับน้อยๆ “ได้โปรดตรวจสอบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดด้วยเถิด ไม่ว่าผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร ชาวเอลฟ์ย่อมตอบแทนบุญคุณพวกท่าน”

นางมิได้เจาะจงว่าจะตอบแทนเช่นไร

หลักๆ ที่ลูเซียนมาที่นี่ก็เพื่อรักษาสายสัมพันธ์ระหว่างพันธมิตร การแลกเปลี่ยนนั้นเป็นเพียงจุดประสงค์ส่วนตัว และเขาก็ไม่มีทางรับของจากชาวเอลฟ์โดยไม่มีสิ่งใดตอบแทนอย่างแน่นอน ดังนั้น เขาจึงตอบอะเกลียยาเพียงว่า “ฝ่าบาท เราจะเริ่มการตรวจสอบเดี๋ยวนี้เลยพะยะค่ะ”

“ดียิ่งนัก ตอนนี้ข้าสามารถขัดขวางมิให้ต้นไม้เอลฟ์ถูกสารปนเปื้อนมากไปกว่านี้ได้ แต่ข้าเกรงว่าเจตจำนงแห่งอเวจีจะมาเยือนหากว่ารอยแยกเกิดกว้างขึ้น นั่นคงจะเป็นหายนะเลยทีเดียว” พระองค์ทรงเป็นกังวลเรื่องรอยแยกแห่งอเวจีที่สุด

ลูเซียนเดินเข้าไปหาดวงใจแห่งธรรมชาติแล้วร่ายคาถาเวทมนตร์ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูลี้ลับ “กระจกแห่งชะตา”

สภาพแวดล้อมพลันมืดสลัว แต่แล้วจุดแสงที่ดูราวกับหิ่งห้อยก็ปรากฏขึ้นจากความสลัวรางนั้น และมารวมตัวกันตรงหน้าลูเซียนเป็นกระจกบานหนึ่งที่เต็มไปด้วยลวดลายแสนซับซ้อน

กระจกแห่งชะตาที่มาสเกลีนและแม็คลอยด์สร้างขึ้นนั้นมีรากฐานมาจากเวทมนตร์ชั้นตำนานบทนี้นี่เอง!

กระจกบานนั้นฉายภาพเลือนราง แต่เมื่อลูเซียนโยนลูกแก้วคริสตัลในมือซ้ายเข้าใส่มัน ระลอกคลื่นก็แผ่วงกว้างจนเกิดจุดดำๆ ไปทั่วทุกทิศทาง และมันก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

ในขณะเดียวกันนั้น จุดดำทั้งหลายก็ขยับยุกยิกดูน่าสยดสยอง ราวกับว่าพวกมันบรรจุความโกลาหลและรังสีฆ่าฟันทั้งหมดทั้งมวลบนโลกนี้เอาไว้ พวกมันยากจะทำลายทุกสรรพสิ่งด้วยความเกลียดชังเป็นล้นพ้น

แกร๊ก กระจกแห่งแสงส่งเสียงราวกับบานกระจกของจริง ก่อนที่มันจะแตกสลายกลายเป็นผีเสื้อมากมายที่โบยบินดุจเต้นระบำอีกครั้ง

ลูเซียนขมวดคิ้วมุ่น ท่าทางเขาเหมือนจะเข้าใจถึงอะไรบางอย่างแล้ว และทำการตรวจสอบต่อไปด้วยเวทมนตร์บทอื่น แอตแลนต์เองก็ตรวจสอบด้วยเวทมนตร์ของเขาเอง

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ลูเซียนก็หยุดมือและหันมาพูดกับนาตาชา “ใช้ดาบเจ้าโจมตีใส่จุดสีดำพวกนั้น แต่อย่าตัดท่อลำเลียงแห่งชีวิตของดวงใจแห่งธรรมชาติเล่า”

สิ่งที่เขาไม่ได้พูดออกไปก็คือ ‘นี่คือการฝึกฝนทักษะการควบคุมของเจ้า’ มิเช่นนั้นอะเกลียยากับมัลฟิวเรียนคงมองพวกเขาไม่ดีนัก

แต่นาตาชากลับเข้าใจความหมายแฝงของลูเซียน นางหรี่ตาลงโดยพลัน และชักดาบแห่งสัจธรรมออกจากฝัก ขณะหลอมรวมร่างกายและจิตใจเป็นหนึ่งเดียว

นางเห็นว่าลูเซียนถือนาฬิกาจันทรากาลอยู่ในมือขวา ก็พลันรู้ได้ว่าเขาจะหยุดยั้งนางจากการทำลายดวงใจแห่งธรรมชาติหากว่านางเกิดทำพลาดขึ้นมา

หลังจากก้าวพริบตาหายตัวไป นาตาชาก็ปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง แล้วจุดสีดำจุดหนึ่งบนท่อลำเลียงสีเขียวก็พลันถูกผ่าครึ่ง แต่กว่ามันจะสลายหายไปในที่สุดก็เป็นเวลากว่าหนึ่งนาทีต่อไป

ลูเซียนลอบยกนิ้วโป้งให้นาตาชา จากนั้นเขาก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ระดับพลังโดยพื้นฐานแล้วใกล้เคียงกับระดับมนุษย์ครึ่งเทพ เพราะเหตุนี้ เวทมนตร์อย่าง ‘กระจกแห่งชะตา’ จึงบอกใบ้ได้อย่างคลุมเครือเท่านั้น ข้าสงสัยว่ามันคือรังสีของเจตจำนงแห่งอเวจี แต่ข้าไม่มั่นใจนัก เพราะวิธีการอื่นก็สามารถส่งผลเช่นนี้ได้ ตัวอย่างก็เช่น การใช้พลังของดวงใจแห่งธรรมชาติเอง”

“ใช่ ยังมีความเป็นไปได้อย่างอื่นอีก!” ก่อนที่แอตแลนจ์ อะเกลียยา มัลฟิวเรียน หรือแลงค์เชียร์จะได้เอ่ยปาก เสียงกราดเกรี้ยวก็ดังกึกก้องมาจากด้านหลังพวกเขา

ลูเซียนแผ่พลังจิตออกไป แล้วก็ได้ ‘เห็น’ ชายชาวเอลฟ์ผู้มีผมสีเขียวที่กำลังเดินเข้ามาในห้อง เขาดูอ่อนเยาว์ แต่กลับมีลวดลายอันงดงามจำนานนับไม่ถ้วนอยู่บนคอและมือ เขาถลึงตาจ้องมองลูเซียนกับคนแปลกหน้าคนอื่นๆ “นี่คือการลงทัณฑ์ของธรรมชาติ!”

เขาตะโกนก้อง “มนุษย์อย่างพวกเจ้าสร้างโรงงานแปรธาตุเพิ่มขึ้นไม่หยุดหย่อน ก่อมลพิษให้กับท้องฟ้าและสายน้ำ ทั้งยังทำร้ายธรรมชาติ ความโลภของพวกเจ้าเองก็ไร้ขอบเขต พวกเจ้าทำลายผืนป่าและสังหารสัตว์ไปมากมาย ข้าสัมผัสได้ว่าในธรรมชาตินั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชัง และความเกลียดชังนั้นก็สะท้อนผ่านดวงใจแห่งธรรมชาติ เป็นเหตุให้เกิดความวิบัติและการปนเปื้อน!”

“ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของพวกเจ้า!”

“เฟอร์รากอนด์ หุบปาก” มัลฟิวเรียนเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ

เอลฟ์ตนนี้ก็คือเฟอร์รากอนด์ ชาวดรูอิดเผ่าพันธุ์เอลฟ์แห่งพงไพร หรือที่รู้จักกันในนาม ‘ผู้ล้างแค้นแห่งธรรมชาติ’

ลูเซียนเชื่อว่าโรงงานแปรธาตุส่วนใหญ่ไม่ได้ก่อมลพิษร้ายแรงถึงเพียงนั้น แม้ว่ามันจะเป็นสัญชาตญาณของพวกเขาในการทำกำไร แต่ก็ไม่มีเจ้าของโรงงานแห่งใดอยากจะจ่ายภาษีสิ่งแวดล้อมเพราะเหตุนั้น หลังจากที่เขาได้เป็นมหาจอมเวท คณะกรรมการกิจการก็ให้ความสนใจในเรื่องนี้เป็นพิเศษ เหล่านักเวทเองก็รู้ดีถึงความเข้มงวดของเขาและไม่คิดอยากทำให้มหาจอมเวทโกรธเคืองเพียงเพราะเรื่องไร้สาระ มิเช่นนั้นพวกเขาอาจดับดิ้นยามต้องออกไปทำภารกิจหลักที่ได้รับตามคำสั่ง

บางทีพวกเขาอาจไม่เต็มใจจะทำตามข้อบัญญัติ แต่ในเมื่อค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บส่วนใหญ่จะได้รับคืนผ่านการคืนเงินภาษี เจ้าของโรงงานบางแห่งอาจก่อปัญหาก็เป็นได้

ยามเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ ลูเซียนบอกได้เพียงว่าการใช้อำนาจจะดีกว่าการใช้เหตุผล

ปัญหาเพียงอย่างเดียวก็คือโรงงานรองที่เหล่าขุนนางสร้างขึ้นด้วยตนเอง พวกที่อยู่ในอาณาจักรโฮล์มนั้นต้องขอบคุณนาตาชาที่สร้างแรงกดดันกับคณะรัฐมนตรี แต่โรงงานที่ตั้งอยู่ในอีกสามอาณาจักรนี่สิที่สร้างมลภิษมากกว่า

แต่ทว่า ยามนี้ยังมิใช่เวลาเหมาะจะมาโต้เถียงกับเฟอร์รากอนด์เกี่ยวกับปัญหานี้ ลูเซียนหันหลังกลับมามองไปทางอะเกลียยา “ฝ่าบาท นี่หมายความว่าเราไม่เป็นที่ต้อนรับใช่หรือไม่พะยะค่ะ”

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง อะเกลียยาก็ออกคำสั่ง “เฟอร์รากอนด์ ออกไปเสีย!”

“ฝ่าบาท…” เฟอร์รากอนด์ยังอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่แล้วเขาก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันของผู้มีพลังชั้นตำนานระดับสูงสุดพร้อมกับที่ดวงใจแห่งธรรมชาติเต้นเร็วขึ้น ด้วยเหตุนี้ เขาจึงทำเพียงสูดจมูกแล้วจากไป

นาตาชาถามด้วยความงุนงงผ่านทางกระแสจิต “ข้าไม่คิดว่าเขาจะควบคุมความเกลียดชังของตัวเองเอาไว้ไม่ได้ นี่เขาพยายามจะยั่วโมโหเราและขับไล่เรางั้นรึ หรือว่าเขากำลังพยายามทำลายความสัมพันธ์ระหว่างสภากับชาวเอลฟ์กันแน่”

พวกเขาดั้นด้นเดินทางมาไกลเพื่อช่วยเหลือชาวเอลฟ์ เพียงเพื่อจะถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นตอของปัญหาอย่างนั้นหรือ คนปกติทั่วไปคงจะหัวเสียออกไปจากที่นี่แล้ว

ลูเซียนตอบอย่างนิ่งสงบ “ข้ารู้ เพราะอย่างนั้นข้าจึงไม่ได้โต้เถียงกับเขาและทำเพียงโยนคำถามใส่องค์ราชินีเพื่อดูท่าทีของพวกเขา”

ในตอนนั้นเอง แอตแลนต์ก็เอ่ยขึ้นว่า “ช่างเป็นวิธีการที่สง่างาม สมเหตุสมผล และมีวุฒิภาวะยิ่ง…”