“พวกคุณคงเป็นเพื่อนหลินหว่านล่ะสิ เชิญนั่งครับ ทานข้าวด้วยกันก็ดีนะ จะได้ครึกครื้นหน่อย” ชายคนนั้นยิ้มเล็กน้อย
อันซิงคลี่ยิ้มกว้างให้หนุ่มหล่อ จากนั้นนั่งลง
เซียวจิ่งสือก็นั่งลงโดยไม่สนคำเชิญ ไม่ได้ตอบคำถามหรือพูดกับหลินหว่าน แค่จ้องไปที่หลินหว่านโดยไม่ละสายตา หลินหว่านหลบสายตาของเซียวจิ่งสือ
อันซิงนั่งลงฝั่งตรงข้ามเซียวจิ่งสือ ส่งสายตาหวานฉ่ำให้เซียวจิ่งสือ อันซิงคิดในใจว่าหลินหว่านคู่กับหนุ่มหล่อตรงหน้า เธอก็คู่กับเซียวจิ่งสือ แต่พอเห็นเซียวจิ่งสือเอาแต่มองหลินหว่านตลอด ก็รู้สึกไม่ชอบใจขึ้นมา
อันซิงตั้งใจพูดว่า “น้องหลินหว่าน ทำไมฉันไม่ได้ข่าวว่าเธอรู้จักหนุ่มหล่อขนาดนี้ด้วย หนุ่มหล่อคู่สาวสวยสมกันจังนะ”
หลินหว่านตวัดสายตาค้อนอันซิง ในใจคิดว่านางคนนี้รู้จักแต่พูดพล่ามไร้สาระได้ทั้งวัน กลัวคนอื่นเขาจะไม่มีเรื่องกันหรือไง รู้จักเสี้ยมซะจริง
หลินหว่านนึกโมโหอยู่ในใจ แต่ไม่อยากมีเรื่องทะเลาะกันที่นี่ เสียบรรยาศดีๆ ยิ่งกว่านั้นเธอไม่อยากอารมณ์เสียเพราะผู้หญิงคนนี้อีก
หลินหว่านตอบว่า “อันซิง เธอเข้าใจผิดแล้ว เขาเป็นญาติผู้พี่ของฉันเอง ต่อไปถ้าเธอไม่รู้อะไรก็อย่าพูดมั่วซั่ว จะถูกคนเขาหัวเราะเอาได้”
อันซิงเก้อเขินอยู่บ้าง จึงไม่พูดอะไรอีก
หลินหว่านมองดูญาติผู้พี่ที่นั่งอยู่ตรงข้ามเธอ เห็นสีหน้าเขาก็อัดอั้นตันใจเหมือนกันเลย
ญาติผู้พี่เห็นว่าบรรยากาศผิดปกติ ก็ฝืนยิ้มพูดว่า “อย่ามัวแต่คุยกันเลย พวกเราสั่งอาหารเพิ่มสักหน่อยเถอะ ในเมื่อเป็นเพื่อนของหลินหว่าน งั้นก็เป็นเพื่อนของผมด้วย วันนี้ผมเลี้ยงเอง พวกคุณสั่งตามสบายเลยนะ เราทานไปคุยไปแล้วกัน”
จากนั้นญาติผู้พี่ก็ถามหลินหว่านอย่างเอาใจว่า “หลินหว่าน คุณยังจะทานอะไรอีกไหมครับ”
“งั้นฉันสั่ง….” หลินหว่านกำลังจะบอกชื่ออาหารแต่เซียวจิ่งสือพูดแทรกขึ้น
“หลินหว่านชอบทานสเต็กเนื้อสุกเจ็ดส่วน ซอสพริกไทยดำ”
คนอื่นที่เหลือตาค้างกันไปหมด ต่างมองกันเงียบอยู่ครู่หนึ่ง บรรยากาศอึมครึมจนเหมือนฝนจะตกได้เลย อันซิงขึงตาใส่หลินหว่าน คิดในใจว่าเซียวจิ่งสือทำไมถึงอ่อนโยนกับเธอนัก เธอมีอะไรดีนักหนานะ
เพื่อผ่อนคลายบรรยากาศ ญาติผู้พี่หัวเราะเสียงดังออกมา พูดว่า “หลินหว่านเพื่อนคุณนี่มีอารมณ์ขันจังนะ เขารู้จักคุณดีขนาดนี้ได้นี่ ไม่ง่ายเลยนะ ดูท่าคงสนิทกันมากล่ะสิ”
อันซิงถลึงตาเข้าใส่หลินหว่าน กัดฟันกรอด
“อื้ม ไม่ค่อยสนิทนักหรอกค่ะ” หลินหว่านพูดเสียงเรียบ
เซียวจิ่งสือทำเหมือนไม่ได้ยิน เอ่ยปากพูดคุยกับญาติผู้พี่อย่างยิ้มแย้ม เขาคิดว่าในเมื่อนี่เป็นญาติลูกพี่ลูกน้องของหลินหว่าน เขาก็น่าจะต้องสานสัมพันธ์เอาไว้ จะได้ติดต่อกันต่อไปอีก
“คุณชอบตีกอล์ฟไหมครับ” เซียวจิ่งสือพูดยิ้มๆ
หลินหว่านยิ้มฝืด เธอนึกในใจว่าคราวนี้คงต้องคุยกันไปแบบตามมีตามเกิดจริงๆ เธอไม่อยากจะคุยอะไรกับเซียวจิ่งสือหรืออันซิงอีกแล้ว
“แน่นอน ผมชอบมากเลย ไว้นัดกันสักวัน พวกเราไปเล่นด้วยกันสิ ไม่ได้ออกรอบตั้งนานแล้ว ไม่รู้ว่าจะฝีมือตกหรือเปล่า” ญาติผู้พี่พูดด้วยรอยยิ้ม
“ได้สิ วันศุกร์ผมดูพยากรณ์อากาศแล้วไม่มีฝน ผมรู้จักสนามกอล์ฟชั้นดีแห่งหนึ่ง ที่นั่นไม่เลวเลยแล้วยังมีแหล่งบันเทิงหลากหลายแบบอีกด้วย พวกคุณจะได้ผ่อนคลายกันสักหน่อย” เซียวจิ่งสือเชื้อเชิญอย่างกระตือรือร้น ตอนท้ายยังเน้นอีกประโยคดึงหลินหว่านเข้าร่วมด้วย
เซียวจิ่งสือไม่รู้ว่าจะพูดอะไร แค่ไม่อยากให้บรรยากาศอึดอัดจึงพูดมั่วซั่วออกไป
พอเห็นสภาพเซียวจิ่งสือเป็นแบบนี้ หลินหว่านก็ทนไม่ได้อีก โพล่งอย่างโมโหว่า “เซียวจิ่งสือ คุณอย่าพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชันแบบนี้ได้ไหม ฉันแค่อยากจะอยู่นี่กับญาติผู้พี่ทานข้าวกันอย่างสงบสักมื้อ คุณยังจะมาก่อกวนอีก พวกเราไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว คุณอย่ามาโผล่ให้ฉันเห็นบ่อยๆ แบบนี้จะได้ไหมคะ”
เซียวจิ่งสือเห็นว่าหลินหว่านโมโหก็ไม่สบายใจนัก พอฟังหลินหว่านพูดความในใจก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา เขาพูดเสียงเรียบว่า “หลินหว่าน ผมแค่อยากจะคุยกับคุณ ผมไม่ได้มารบกวนคุณ และ…”
เซียวจิ่งสือไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรจึงจะให้หลินหว่านกลับมาเป็นเหมือนครั้งเก่าก่อนได้อีก เขารู้ว่ามันห่างไกลไปมากแล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อไรจึงจะกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนได้อีก
อันซิงมองตาหลินหว่านอยู่ตลอด เธออยากเห็นสองคนนี้ทะเลาะกัน อย่างนั้นความสัมพันธ์ก็จะยิ่งร้าวฉานเข้าไปอีก
ญาติผู้พี่เห็นว่าบรรยากาศรอบข้างผิดปกติไป จึงพูดขึ้นว่า “ผมขอไปห้องน้ำสักครู่ พวกคุณทานกันไปก่อนเลย” ขณะที่หันมาส่งสายตาเป็นสัญญาณให้กับเซียวจิ่งสือ
เซียวจิ่งสือแอบคิดว่า นี่เขาจะทำอะไรกันแน่ แต่เห็นว่าญาติผู้พี่เรียกเขา จึงขอตัวไปห้องน้ำด้วย
ในห้องน้ำตอนนี้มีแค่พวกเขาสองคน รอยยิ้มของหนุ่มหล่อค้างแข็งกลายเป็นใบหน้าดุร้าย สายตาดุดันเป็นประกายด้วยความโกรธ
เซียวจิ่งสือเห็นเข้าก็สะดุ้งอย่างตกใจ พลางคิดว่าเขาเปลี่ยนสีหน้ายังเร็วกว่าพลิกหน้ากระดาษอีก
หนุ่มหล่อไม่คิดจะล้อเล่นกับเขาอีก พุ่งเข้ามากระชากคอเสื้อของเซียวจิ่งสือไว้แล้วพูดเสียงดุดันว่า “เซียวจิ่งสือ นายแน่มากนะ ฉันจะบอกให้ ถ้าแกมีคนที่ชอบแล้วก็อย่ามายุ่งกับน้องสาวฉันอีก อย่าคิดว่าฉันจะดูไม่ออกว่านายคิดอะไรอยู่ ฉันจะเตือนนายให้หลีกห่างจากเธอซะ ไม่งั้นอย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจ ฉันไม่ยอมให้นายทำร้ายเธอหรอก นายก็ดูแลอันซิงที่อยู่กับนายให้ดีก็พอแล้ว”
เซียวจิ่งสือตกใจมาก คิดไม่ถึงว่าญาติผู้พี่จะดูออกหมดทุกอย่าง
“อันซิงเป็นแค่เพื่อนของผม มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิด ผมมีเรื่องที่อธิบายได้ลำบาก แต่ผมรู้ว่าเรื่องที่ผมทำคงไม่อาจให้หลินหว่านอภัยได้ แต่ผมก็ยังคิดถึงเธอ อยากจะพูดกับเธอ เมื่อก่อนผมกับหลินหว่านเราสนิทกันมาก แต่ตอนนี้…”
หนุ่มหล่อสูดลมหายใจเข้าลึกเฮือกหนึ่งเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน เค้นเสียงถามว่า “งั้นนายจะอธิบายอย่างไรที่พักนี้เข้าไปทำตัวใกล้ชิดกับอันซิง ในเมื่อนายชอบหลินหว่าน ทำไมยังจับมือกับอันซิงด้วย ฉันก็กำลังทำความเข้าใจกับสถานการณ์ของน้องฉัน ฉันรู้ว่าเธอยังลืมนายไม่ได้ นายก็อย่ามาเล่ห์เหลี่ยมกับเธออีก”
เซียวจิ่งสือพูดอย่างร้อนใจว่า “ไม่มีทาง คุณดูผิดไปแล้วล่ะมั้ง ผมออกจะระวังตัวนี่ เมื่อไหร่กันที่มีภาพแบบนั้น เข้าใจผิดอะไรกันหรือเปล่า”
เซียวจิ่งสือพยายามหวนนึกดูสภาพตอนที่เขาอยู่กับอันซิงแล้วก็เริ่มไม่แน่ใจ หรือว่ามีช่วงที่เขาไม่ทันระวังตัว อยู่ชิดกันเกินไป เซียวจิ่งสือเห็นว่าเขาระวังตัวอย่างมากแล้ว อย่างนั้นปัญหาก็น่าจะมาจากมุมมองแล้ว
ญาติผู้พี่มีสีหน้าเหยียดหยาม “พูดกันตามจริง ผู้ชายอย่างนายไม่น่าจะขาดผู้หญิงนะ แล้วทำไมต้องมาตามพัวพันน้องฉันด้วย อย่าทำร้ายเธออีก”
เซียวจิ่งสือรู้สึกหงุดหงิดที่ถูกเข้าใจผิด จึงคิดจะพูดสิ่งที่เก็บไว้ในใจออกมา
“คุณพี่ครับ พูดกันสั้นๆ นะ คุณจะมารู้อะไร ผมชอบหลินหว่านด้วยความจริงใจนะ ระหว่างนี้ที่ต้องทำตัวใกล้ชิดกับอันซิงก็เพราะมีความจำเป็น เพียงเพราะว่าเมื่อไม่นานมานี้พ่อผมรู้เรื่องความสัมพันธ์ของผมกับหลินหว่าน เขาไม่เห็นด้วยและยังข่มขู่ผมอีก ผมจึงจำใจต้องใช้แผนถ่วงเวลาไปก่อน ตอนนี้ผมแค่อยากจะเข้มแข็งขึ้น ต่อไปจะได้ปกป้องหลินหว่านได้ ไม่ต้องให้เธอต้องเจอกับเรื่องไม่สบายใจแบบนี้อีก ผมชอบหลินหว่านจริงๆ นะ เรื่องนี้คุณมั่นใจได้เลย”
ญาติผู้พี่จึงเข้าใจเรื่องทั้งหมด ที่แท้ก็มีเรื่องใหญ่ขนาดนี้ซ่อนอยู่ภายในนี่เอง