พอเฉียวมั่วเฉิน ฟังคำพูดของเซียวจิ่งสือจนจบ ก็มองเซียวจิ่งสือนิ่งอยู่นาน เซียวจิ่งสือก็ประสานสายตากับเขาอย่างไม่ยอมอ่อนข้อแม้แต่น้อย เหมือนต้องการพิสูจน์ความรู้สึกของเขาที่มีต่อหลินหว่านให้เฉียวมั่วเฉินได้รับรู้

 

 

หลังจากที่ทั้งสองหนุ่มฟาดฟันกันทางสายตากันเหมือนไฟแลบ จู่ๆ เฉียวมั่วเฉินก็หัวเราะขึ้นมา เขาตบไหล่เซียวจิ่งสือแล้วพูดว่า “ดูท่าว่าน้องสาวฉันสายตาไม่เลว ต่อไปฉันขอมอบหลินหว่านให้กับนาย นายต้องดูแลเธอให้ดีล่ะ ถ้านายกล้ารังแกเธอละก็ นายโดนอัดแน่ ระวังตัวไว้ให้ดีก็แล้วกัน…”

 

 

เฉียวมั่วเฉิงพูดพลางกำหมัดขึ้น ตวัดควงไปมารอบข้างเซียวจิ่งสืออย่างดุดัน

 

 

เซียวจิ่งสือเห็นแล้วไม่ได้รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย เขารู้ว่าเขาผ่านด่านของเฉียวมั่วเฉินมาได้แล้ว เขายิ้มหน้าบานเป็นเด็กดีแสนเชื่อฟัง พูดกับเฉียวมั่วเฉินว่า “ขอบคุณครับคุณพี่ พี่วางใจได้ ผมจะดูแลหว่านหว่านอย่างดีแน่”

 

 

ผู้ชายทั้งสองคน หลังจากบรรลุข้อตกลงเรื่องของหลินหว่านในห้องน้ำได้สำเร็จ ก็ออกจากห้องน้ำมาด้วยกัน กลับไปที่โต๊ะอาหาร

 

 

“หลินหว่าน ฉันบอกให้แกอย่ามายุ่งกับเซียวจิ่งสืออีกอย่างไรล่ะ พ่อเขาต้องการให้แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับบ้านตระกูลอัน จึงให้เซียวจิ่งสือหมั้นกับฉันแล้ว แกก็ลืมเขาไปได้เลย”

 

 

ขณะที่เฉียวมั่วเฉินกับเซียวจิ่งสือสองคนไปห้องน้ำ อันซิงก็คอยแซะหลินหว่านไม่หยุด

 

 

คำพูดของอันซิงทำให้หลินหว่านเกิดความรู้สึกสับสนปนเปกันไปหมด แต่เธอก็ไม่ได้แสดงอารมณ์ความรู้สึกในใจออกมา เธอแค่รับมือกับอันซิงเท่านั้น ให้อันซิงพูดพล่ามไปคนเดียว เหมือนเป็นคนบ้า

 

 

พอเฉียวมั่วเฉินกับเซียวจิ่งสือออกมาจากห้องน้ำ อันซิงก็มองเห็นทันที เธอรีบปรับสีหน้าเหมือนสนิทสนมรักใคร่กับหลินหว่าน อยู่ด้วยกันอย่างสุขสงบและสันติ

 

 

ตอนนั้นเอง พนักงานเข็นรถอาหารมาเสิร์ฟ ทันใดนั้นเธอก็เซถลาทำให้ชามน้ำแกงในมือหกกระฉอก น้ำแกงสาดกระจายมาโดนหลินหว่านทั้งตัว

 

 

“โอ๊ย…” หลินหว่านไม่ทันระวังตัว ร้องออกมาเสียงดังอย่างลืมตัว

 

 

“หว่านหว่าน คุณเป็นอะไรไหม ไม่เป็นไรนะ” เซียวจิ่งสือได้สติก่อน เขาก้าวพรวดๆ แซงหน้าเฉียวมั่วเฉินมาถึงข้างกายหลินหว่าน ถามว่า “ให้ผมดูซิว่าคุณเป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

เพราะช่วงฤดูร้อน เสื้อผ้าที่สวมใส่จึงค่อนข้างบาง แขนของหลินหว่านที่เปิดโล่งมีรอยบวมแดงขึ้นเป็นวงกว้าง อีกทั้งบนตัวยังถูกกระเซ็นโดนอีกหลายแห่ง

 

 

“หว่านหว่าน เป็นอย่างไรบ้าง เจ็บไหม ไปโรงพยาบาลกันไหม” เฉียวมั่วเฉินก็เดินเข้ามา พอเห็นว่าหลินหว่านถูกน้ำร้อนลวก ก็ถามอย่างเป็นห่วง

 

 

หลินหว่านรู้สึกว่าท่อนแขนที่ถูกน้ำแกงราดโดนมีอาการปวดแสบปวดร้อนขึ้นมา เธอขมวดคิ้วแน่น พูดว่า “เจ็บ…แขนฉันเจ็บมากเลยค่ะ…”

 

 

“ขอโทษค่ะ ขอโทษนะคะ คุณผู้หญิง ฉันไม่ได้ตั้งใจ…” พนักงานเสิร์ฟเห็นว่าแขนของหลินหว่านถูกน้ำร้อนลวก ก็ตัวแข็งอย่างตกใจไปครู่หนึ่ง แล้วรีบเข้ามาขอโทษหลินหว่าน

 

 

ทำไมเมื่อครู่เธอสะดุดได้ไงกันนะ ทำไมเธอรู้สึกเหมือนถูกขัดขา…

 

 

“พอแล้ว ไปเรียกเจ้าของร้านของพวกเธอมา ฉันจะถามเขาหน่อยว่า พนักงานร้านของพวกคุณซุ่มซ่ามแบบนี้กันหมดหรือไงกัน”

 

 

เฉียวมั่วเฉินเห็นท่าทางพนักงานที่มือไม้ปั่นป่วนจนไม่รู้จะทำอย่างไรดีแล้ว นึกถึงเมื่อครู่ที่เธอเพิ่งจะสาดน้ำแกงร้อนๆ เข้าใส่หลินหว่าน ก็หน้าบูดบึ้งลงทันที ตวาดใส่พนักงานเสริฟอย่างโมโห

 

 

พนักงานรู้ว่าถ้าเรียกเจ้าของร้านมา เธอตกงานแน่ เธอรีบอธิบายกับเฉียวมั่วเฉินอย่างร้อนใจว่า “คุณผู้ชายคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ค่ะ เมื่อครู่…เมื่อครู่ฉันเหมือนถูกคนขัดขา ทำให้สะดุด น้ำแกงเลยกระฉอกออกมาโดนคุณผู้หญิงคนนี้เข้าโดยไม่ตั้งใจค่ะ…”

 

 

พนักงานเสิร์ฟยิ่งพูดก็ยิ่งไม่แน่ใจ เหตุผลนี้ของเธอ พูดออกมาแล้วก็เหมือนจะไม่มีความน่าเชื่อถือใดๆ แต่เธอเมื่อครู่รู้สึกว่าถูกคนขัดขาชัดๆ นอกจากนี้ถ้าพวกเขายืนยันว่าจะให้เจ้าของร้านออกมาคุย เธออาจจะถูกไล่ออกได้

 

 

ตอนนั้นเอง อันซิงที่มองดูอยู่ด้านข้างมาตลอดได้ฟังแล้วก็แค่นหัวเราะพูดกับพนักงานว่า “ถูกคนขัดขา? ฉันว่าเธอยกชามไม่ดีเองชัดๆ ยังจะหาข้ออ้างให้ได้อีก ที่นี่จะมีใครตั้งใจแกล้งขัดขาเธอกัน”

 

 

พูดจบ เธอก็มองดูท่อนแขนของหลินหว่านที่ถูกลวก พูดแสดงความสงสารว่า “น่าสงสารหว่านหว่านของฉัน แขนที่ถูกเธอทำให้บาดเจ็บแล้วยังไม่รู้ว่าจะเป็นแผลเป็นหรือเปล่าสิ ทั้งหมดนี้เธอจะรับผิดชอบไหวไหมล่ะ”

 

 

“พอได้แล้ว!” เซียวจิ่งสือฟังอันซิงกับพนักงานเสิร์ฟโต้เถียงกันแล้ว ลุกขึ้นมาห้ามทัพ เขามองดูพนักงานเสิร์ฟแล้วมองอันซิง จากนั้น เขาก็พูดกับพนักงานเสริฟว่า “เธอไปเอาผ้าพันแผล ผ้าขนหนูกับน้ำเย็นมา ผมจะทำแผลให้หลินหว่านก่อน”

 

 

พนักงานเสิร์ฟรีบไปจัดการตามที่เซียวจิ่งสือบอก หยิบของมาหลายอย่าง แล้วยังเอาครีมสำหรับทาแผลน้ำร้อนลวกมาหลอดหนึ่งด้วย

 

 

แผลน้ำร้อนลวกที่แขนของหลินหว่านหลังจากทำแผลเบื้องต้นไปก่อนแล้ว ยังดูบวมแดงเป็นแถบ บางแห่งกลายเป็นแผลพุพองขึ้นมาอีกด้วย ดูแล้วอาการหนักมาก

 

 

“หว่านหว่าน เอาอย่างนี้นะ พวกเราไปโรงพยาบาลกันเถอะ ถ้าเกิดว่าจะเป็นแผลเป็นจริงๆ ล่ะ” เฉียวมั่วเฉินเห็นแล้วพูดกับหลินหว่านอย่างเป็นห่วง แผลเป็นสำหรับดาราผู้หญิงคนหนึ่งแล้วไม่ใช่เรื่องดีอะไรเลย

 

 

“งั้นก็ได้ค่ะ พี่คะ” หลินหว่านสะกดกลั้นความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นเป็นระยะๆ แล้วตอบตกลง

 

 

เซียวจิ่งสือเห็นแล้ว มองมาทางอันซิงด้วยสายตาบอกไม่ถูก เขาหันมาพูดกับเฉียวมั่วเฉินว่า “คุณพี่ครับ คุณพาหว่านหว่านไปโรงพยาบาลก่อนเถอะ ตอนนี้ผมมีธุระบางอย่างต้องทำน่ะ”

 

 

เฉียวมั่วเฉินมองเซียวจิ่งสืออย่างไม่เข้าใจนัก น้องเขาได้รับบาดเจ็บ เขาไม่รีบพาหลินหว่านไปหาหมอ ยังจะไปทำธุระอะไรนะ

 

 

เฉียวมั่วเฉินหันไปมองอันซิงแวบหนึ่ง หรือว่าใจของเขาจะไม่ได้อยู่กับหลินหว่าน แต่เป็นอันซิง เมื่อครู่ที่เขาพูดก็แค่คำหวานหูเท่านั้น ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง งั้นเขาก็คงมองเซียวจิ่งสือผิดไปจริงๆ เมื่อครู่เขายังเข้าใจว่าเซียวจิ่งสือเป็นคนที่หลินหว่านจะพึ่งพาได้เสียอีก

 

 

เซียวจิ่งสือเห็นสีหน้าเฉียวมั่วเฉินเปลี่ยนไป ก็รู้ว่าเขาเข้าใจผิดเสียแล้ว เขาแค่รู้สึกว่าเมื่อครู่พนักงาน

 

 

เสิร์ฟดูไม่เหมือนกับคนพูดโกหก แต่กลับรู้สึกว่าท่าทีของอันซิงต่ออาการบาดเจ็บของหลินหว่านดูน่าสงสัยเอามากๆ เขาอยากจะอยู่สืบหาความจริง ทวงคืนความยุติธรรมให้กับหลินหว่านต่างหาก

 

 

เซียวจิ่งสือรีบพูดกับเฉียวมั่วเฉิน “คุณพี่ครับ เรื่องนี้อีกเดี๋ยวผมค่อยอธิบายให้ฟังแล้วกันนะครับ อาการบาดเจ็บของหว่านหว่านดูแล้วน่าจะสาหัสพอดู พี่รีบพาเธอไปหาหมอก่อนเถอะ”

 

 

อันซิงเห็นว่าเซียวจิ่งสือกับหลินหว่านผิดใจกันก็นึกกระหยิ่มใจ รีบผสมโรงพูดขึ้นว่า “ใช่ค่ะ คุณเฉียว คุณรีบพาหว่านหว่านไปโรงพยาบาลเถอะค่ะ เกิดหว่านหว่านเป็นแผลเป็นขึ้นมาจริงๆ จะทำยังไงล่ะคะ

 

 

จิ่งสืออยู่ทางนี้ยังมีฉันคอยอยู่เป็นเพื่อนเขานะคะ”

 

 

พอเห็นเซียวจิ่งสือกับอันซิงเป็นแบบนี้ เฉียวมั่วเฉินก็โมโหพุ่งปรี๊ด แทบจะอดใจไม่ไหวเข้าไปอัดมันให้สมใจสักรอบ ตอนนี้เอง หลินหว่านเห็นบรรยากาศตึงเครียดของทั้งสามคนแล้ว พูดกับเฉียวมั่วเฉินว่า “เอาละค่ะ คุณพี่ พวกเราไปหาหมอกันก่อนเถอะ โอ๊ย…ข…แขนฉันเจ็บมากเลยค่ะ”

 

 

“ได้ หว่านหว่าน พวกเรารีบไปหาหมอกันเถอะ!” เฉียวมั่วเฉินเห็นว่าหลินหว่านเจ็บปวดขนาดนั้นก็รีบเข้ามาปลอบเธอ