TB:บทที่ 170 มิใช่ศัตรู

 

ตอนที่หวังเฉียนจินและพ่อแม่เขาเห็นหวังซือเหวินยืนขึ้นได้เองแล้ว ความตื่นเต้นบนสีหน้าของพวกเขาช่างไร้คำบรรยาย แม่ของหวังเฉียนจินตื่นเต้นมากจนน้ำตาล้นเอ่อดวงตาของเธอ เขาช่างเป็นเด็กดีแล้วจู่ๆก็เป็นโรคประหลาด เขาป่วยมามากกว่าสิบปี เธอจึงคิดว่าเด็กคนนี้คงไม่มีทางหายจากโรคนั้นได้ไปตลอดชีวิตของเธอ แต่ตอนนี้เขาใช้กำลังของตนลุกขึ้นได้แล้ว เธอจะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไรกันเล่า แม้แต่พ่อของหวังเฉียนจินยังตาแดงเล็กน้อยเลย

 

“อาจารย์เฉิน ขอบคุณมากจริงๆครับ” หวังเฉียนจินที่ใจเย็นกว่าพ่อแม่เขากล่าว แม้เขาจะตื่นเต้นแต่เขาก็ไม่ลืมที่จะขอบคุณเฉินหลงและฮัวหมิงเหริน

ฮัวหมิงเหรินโบกมือปฏิเสธและกล่าวว่า “ไม่ใช่ฉันหรอก อาจารย์เฉินมากกว่า ที่ทำให้น้องชายนายดีขึ้น ดังนั้นคำว่า “หมอวิเศษ” น่ะไม่ต้องเรียกอีกแล้ว ผมอยู่เบื้องหน้าอาจารย์ผม ใครจะกล้าโดนเรียกว่าหมอวิเศษกัน”

 

ตามตำนานแล้วฮัวหมิงเหรินเป็นเทพเจ้าแห่งการแพทย์

“อย่าไปฟังคำพูดเรื่อยเปื่อย น้องชายนายต้องพักมากๆแล้วตอนนี้ ตอนเขาดีขึ้น นายจะต้องประหลาดใจ” เฉินหลงบอกไปไม่หมด

พลังของหวังซือเหรินไปถึง “ระดับกำเนิด” แต่ในตอนนี้ร่างกายเขายังอ่อนแอไป หลังจากที่ฟื้นฟูแล้ว พลังของเขาจะพุ่งไปสู่ระดับกำเนิด เรื่องนี้เป็นน่าตื่นเต้นนัก

หวังเฉียนจินรีบพยักหน้าตอบ

และหลังจากเฉินหลงเตรียมตัวจะออกจากบ้านของสกุลหวังนั้น เฉินหลงได้มาพบคนอื่นในสกุลหวังเสียก่อน หวังเฟ่ยหลงไม่ต้องการให้เขาไป เขาอยากสานสัมพันธ์กับเฉินหลง

 

“อาจารย์เฉิน คุณช่างทำเรื่องยิ่งใหญ่ให้เราเหลือเกิน อย่างน้อยคุณควรกินข้าวสักมื้อหนึ่ง” เมื่องหวังเฟ่ยหลงเห็นเฉินหลงกำลังจะออกไปแล้ว เขารีบขอให้เฉินหลงอยู่ต่อ

 

หวังเฉียนจินยังกล่าวอีกว่า “ใช่ครับ อาจารย์เฉิน คุณช่างมีบุญคุณอย่างมากต่อครอบครัวเรา เราไม่รู้จะขอบคุณอย่างไรหมด เพราะฉะนั้นแล้วคุณช่วยอยู่ต่อเพื่อกินข้าวสักมื้อแล้วพูดคุยและส่งผ่านความรู้สึกกันนะครับ”

 

สกุลหวังช่างใจดีจนเฉินหลงปฏิเสธไม่ลง ในตอนเดียวกันเขาก็มีสิ่งอื่นจะกล่าวกับพ่อของหวังเฉียนจินด้วย เขาจึงตกลงจะอยู่ต่อ

เขาเห็นว่าเฉินหลงตกลงแล้ว หวังเฟ่ยหลงจึงรีบส่งคนไปเตรียมอาหารค่ำอันหรูหรา

 

ในตอนเดียวกัน หวังเจียนรู้สึกสงสัยอย่างมากในตัวเฉินหลง ตอนเขากลับมาครอบครัวเขาเล่าเรื่องเกี่ยวกับเฉินหลง ตอนแรกหวังเจียนก็เชื่ออยู่ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะมีพลังรักษาอาการป่วยของหวังซือเหวินได้ จากหลายๆคนที่เขาเจอมา เฉินหลงมีความสามารถทางการรักษาที่ไม่มีใครเทียบเคียง

 

แต่อย่างไรก็ตาม เฉินหลงไม่รู้ว่าหวังเจียนคิดอะไรอยู่ เขาดึงพ่อของหวังเฉียนจินมาข้างๆเพื่อถามคำถาม

พ่อของหวังเฉียนจิน ชื่อหวังเฟ่ยหยิง อายุประมาณสี่สิบปี เขาเป็นคุณลุงที่มีความเป็นผู้ใหญ่แบบชายวัยกลางคน และเพราะเฉินหลงช่วยลูกเขาไว้ได้ เขาจึงซาบซึ้งในตัวเฉินหลงมาก

 

“อาจารย์เฉิน มีอะไรให้ผมช่วยหรือ”

เฉินหลงขมวดคิ้วและกล่าว “ลุงหวังครับ คุณมีศัตรูที่อาฆาตแค้นมาก่อนไหมครับ”

มนต์ที่ใช้กับหวังซือเหวินมาจากคนที่มีฝีมือ หากเขาไม่ได้เป็น “วิชาโฮวเฉิงจื่อ” ระดับหกแล้วจึงสามารถควบคุมไฟตามที่สั่งได้ เขาคงไม่สามารถจะใช้พลังช่วยได้ ผู้ร่ายมนต์ฉลาดเฉลียวเท่านั้นที่ทำเช่นนี้ได้ คงไม่ใช่ใครๆก็ทำได้

 

“ศัตรูหรือ” หวังเฟ่ยหยิงคิดเรื่องนี้ก่อนจะส่ายหัว

ถึงคุณสมบัติของหวังเฟ่ยหยิงจะไม่ได้เป็นแบบลูกทั้งคู่ของเขา แต่ด้วยอายุเท่าเขาและพลังที่อยู่ในระดับ”ปรมาจารย์” เขาจะไปกล้าท้าทายศัตรูที่มีพลังเวทย์อันแข็งกล้าได้อย่างไร

 

“หากว่าคุณไม่ได้ไปท้าศัตรูที่แข็งแกร่งมา แล้วเวทย์ที่ใช้สะกดลูกชายคุณมาได้อย่างไรกัน” เฉินหลงมองหวังเฟ่ยหยิง

“มนต์สะกดหรือ” หวังเฟ่ยหยิงตาโตขึ้น

 

หมอพวกนั้นไม่ได้บอกหรือว่าหวังซือเหวินเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ยตั้งแต่กำเนิด แล้วจะมีใครมาร่ายมนต์ใส่ได้อย่างไรกัน

 

เฉินหลงพยักหน้า “ครับ เป็นมนต์สะกดครับ ลูกของคุณไม่ได้เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงแต่กำเนิดแต่เป็นเพราะมนต์อันร้ายกาจ สิ่งที่มนต์นี้ทำก็คือผูกมัดเส้นพลังและโลหิตและทำให้เหมือนกับว่าลูกชายคุณป่วย”

 

มนต์แบบนี้ช่างทรงพลังและเลวร้าย ในการกำจัด จำต้องพึ่งฝีมือแพทย์ชั้นเยี่ยม หากเฉินหลงไม่ได้เก่งกาจในระดับนี้แล้ว เขาคงทำลายมนต์นี้ไม่ได้

 

“ทำไมมีใครมาทำเรื่องแบบนี้กับลูกชายฉันกัน ฉันไม่ได้ยุ่งกับใครเลย และถ้าใครจะท้าทายฉันจริงๆ ทำไมไม่ทำแค่ฉัน ทำไมต้องใช้สิ่งเลวร้ายเช่นนี้กับลูกชายฉัน ลูกไม่ได้ผิดอะไรเลย” เมื่อได้ยินว่าลูกชายเขาโดนอะไรมาแล้ว หวังเฟ่ยหยิงไม่อาจรับได้

 

แต่ได้ยินดังนั้นแล้ว หวังเฟ่ยหยิงก็จำไม่ได้ว่าเขาไปลบหลู่ผู้ทรงพลังมาหรือไม่ เฉินหลงทำได้เพียงเตือนเขาว่า “ลุงหวัง คุณต้องระวังตัวให้มากกว่านี้นะครับ หากคนคนนี้ สามารถใช้มนต์กับลูกคุณได้โดยที่คุณไม่รู้ตัวเลย การจะทำร้ายคุณก็ไม่ใช่ปัญหา ครั้งนี้ผมทำลายมนต์ไปแล้ว คนที่ร่ายมนต์นี้คงจะหาทางกลับมาอีกแน่ คุณต้องระวังมากกว่านี้”

 

หลังจากเตือนหวังเฟ่ยหยินแล้ว เฉินหลงเดินไปหาฮัวหมิงเหริน

และเมื่อเฉินหลงไป หวังเฟ่ยหยินยังคงยืนอยู่อย่างเหม่อลอย หากเป็นอย่างที่เฉินหลงว่า เขาจะทำอย่างไรดี แม้แต่ศัตรูเขายังไม่รู้ว่าเป็นใครเช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องยากจะป้องกัน และเพราะมันมักจะโจมตีมากที่สุดตอนที่วางใจ

เมื่อเห็นหวังเฟ่ยหยินยืนอยู่ตรงนั้น ภรรยาเขา ตู้ชาน เดินมาหาและถามว่า “เฟ่ยหยิน คุณเป็นอะไรหรือ ลูกคุณก็หายดีแล้ว คุณควรมีความสุขสิ ทำไมจึงดูสับสนอยู่ที่นี่”

 

ก่อนนี้หวังเฟ่ยหยินยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขแล้วหวังเฟ่ยหยินเป็นเช่นนี้มาพักหนึ่งได้อย่างไร

หลังครุ่นคิดเรื่องนี้แล้ว หวังเฟ่ยหยินเล่าสิ่งที่เฉินหลงเพิ่งกล่าวให้ภรรยาเขาฟัง “ชาน อาจารย์เฉินเพิ่งบอกว่าลูกเราไม่ได้ป่วย แต่เขาถูกสาป ร่างเขาทั้งตัวโดนพันธนาการไว้ตั้งแต่ยังเด็ก ลูกเราจึงโดนทำลายเวลาไปตั้งสิบเจ็ดปี ผมคิดอยู่ว่าใครกันที่จะทำเรื่องชั่วร้ายกับเด็กสองขวบได้”

 

สิ้นคำ ใบหน้าของหวังเฟ่ยหยินแสดงความเคียดแค้นออกมา

“อะไรนะ ลูกเราโดนทำร้ายอย่างนั้นหรือ” เธอได้ยินว่าลูกชายเธอโดนทำร้าย ใบหน้าของตู้ชานตกใจในตอนแรก จากนั้นกลับเปลี่ยนเป็นความโกรธอย่างที่สุด

หวังเฟ่ยหยินพยักหน้า

“ใคร ใครกัน ใครที่มันทำร้ายลูกชายฉัน” น้ำตาแห่งความเศร้าโศกเอ่อล้นในตาของตู้ชาน

ความเกลียดชังมากเพียงไหนกันที่มากพอให้ทำเด็กคนหนึ่งพิการมาสิบเจ็ดปี เธอเกลียดมันเหลือเกิน และสงสารลูกชายเธอเป็นที่สุด

 

หวังเฟ่ยหยินส่ายหน้าและกล่าว “ผมไม่รู้ ผมนึกถึงคนเยอะมากตอนนี้ แต่ไม่มีใครเป็นแบบที่อาจารย์เฉินว่า”

พลังของพวกเขาไม่ได้แข็งแกร่ง วงล้อมที่รู้จักไม่กว้างนัก มีศัตรูไม่มาก ไม่มีใครที่มีคุณสมบัติอย่างที่เฉินหลงว่า

“หรือจะ ไม่ใช่ศัตรู” ตู้ชานคิดถึงความเป็นไปได้หนึ่ง