อวี้เฟยเยียนน้ำตารื้น โผเข้าสู่อ้อมกอดของซย่าโหวฉิงเทียนทันที
นางไม่เคยคาดคิดว่าก่อนเลยว่า ตนเองจะถูกคนขอแต่งงานในบรรยากาศและสถานที่แบบนี้
การขอแต่งงานที่นางเคยเห็นในโทรทัศน์ล้วนแต่มีช่อดอกไม้ แหวน และสุราอยู่ใต้แสงเทียน
การขอแต่งงานของเขากลับอยู่ในสถานที่ที่หนาวเย็นจับขั้วใจ แต่ใช้วิธีการที่แสนอบอุ่นหัวใจจนนางน้ำไหลออกมาด้วยความซาบซึ้ง
ร้ายกาจเกินไปแล้ว!
“แมวน้อย เจ้าพูดอีกครั้งสิ เจ้าพูดอีกครั้ง!”
มือของซย่าโหวฉิงเทียนที่กำลังโอบกอดอวี้เฟยเยียนเอาไว้สั่นระริก
“เจ้าเต็มใจแต่งงานกับพี่ หรือว่าเต็มใจกำให้กำเนิดเจ้าเด็กเปรตให้กับพี่”
สองข้อนี้ล้วนสำคัญกับซย่าโหวฉิงเทียนยิ่งนัก
อวี้เฟยเยียนยินยอมแต่งงานกับเขา ซย่าโหวฉิงเทียนพอใจ
แต่อวี้เฟยเยียนยินยอมให้กำเนิดเจ้าเด็กเปรตให้กับเขา ครองรักกับเขาต่างหากจึงเป็นสิ่งที่ซย่าโหวฉิงเทียนสนใจมากที่สุด
“ข้ายินดีทุกอย่าง!”
อวี้เฟยเยียนน้ำตาไหลอาบแก้ม
วินาทีถัดมา ซย่าโหวฉิงเทียนยกอวี้เฟยเยียนขึ้นด้วยสองมือ
“ดีจังเลย! ดีที่สุดเลย!”
เขาแสดงอาการผ่อนคลายออกมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาหัวเราะออกมาราวกับเด็กๆ รอยยิ้มที่แสนสดใสราวกับแสงอาทิตย์ยามฤดูหนาวประดับบนใบหน้าของเขา เพื่อแสดงให้อวี้เฟยเยียนได้เห็นถึงความสุข
“พี่ดีใจยิ่งนัก ดีใจจริงๆ!”
ซย่าโหวฉิงเทียนวางอวี้เฟยเยียนลง แล้วกอดนางเอาไว้แน่นราวกับจะรวมร่างของเขากับนางเอาไว้เป็นร่างเดียวกันอย่างไรอย่างนั้น
“พี่รักเจ้า แมวน้อย!”
“คนโง่——”
รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นตื้นตันที่แล่นมากจุกที่ลำคอ อวี้เฟยเยียนยื่นมือออกไปกอดตอบซย่าโหวฉิงเทียน
“ข้าก็รักท่าน!”
ข้าเต็มใจ เพียงประโยคเดียวของอวี้เฟยเยียน ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนรู้สึกได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนเองทำมานั้นล้วนแต่คุ้มค่า
เขารักนาง และนางรักเขาเช่นกัน
ที่เขาบอกกันว่า พบคนที่ใช่ ในเวลาที่เหมาะสม คงจะพูดถึงเขาและอวี้เฟยเยียนเป็นแน่!
“พี่แทบอยากจะแต่งงานกับเจ้าเดี๋ยวนี้!”
ซย่าโหวฉิงเทียนจ้องมองอวี้เฟยเยียนสายตาอ่อนโยน
“เพียงแค่คิดว่าในทุกวันที่พี่ลืมตาตื่นขึ้นมาก็จะได้พบกับเจ้า! พี่ก็แทบรอไม่ไหวแล้ว”
“ตอนนี้ท่านก็พูดน่าฟัง ต่อไปท่านจะรังเกียจที่ข้าแก่ชราร่วงโรย ถีบข้าลงจากเตียงไหมนะ”
อวี้เฟยเยียนนั่งบนตักซย่าโหวฉิงเทียน หยอกล้อเขา
“ไม่มีทาง!”
ซย่าโหวฉิงเทียนส่ายหน้า
“พี่อายุมากกว่าเจ้าตั้งมาก คนที่ต้องกังวลควรจะเป็นพี่มากกว่า หากว่าพี่มีริ้วรอย ผมเปลี่ยนเป็นสีขาว พุงย้อย ไม่แน่ว่าเจ้าต่างหากที่จะเป็นฝ่ายรังเกียจพี่”
“ท่านพูดได้ถูกต้องที่สุดเลย!”
อวี้เฟยเยียนกล่าวพร้อมกับพยักหน้า ขณะที่กอดแขนซย่าโหวฉิงเทียนและจับตาดูอากัปกริยาของเขาไปด้วย
“ข้านะสามารถคงไว้ซึ่งรูปโฉมอันงดงามได้ แต่ท่านเล่า หากว่าท่านแก่ชราไป พุงย้อย ข้าก็ไม่ต้องการท่านแล้ว!”
คราวนี้ทำเอาซย่าโหวฉิงเทียนถึงกับหน้าเสีย
เขารู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าแมวน้อยเป็นหญิงที่ลุ่มหลงในชายหนุ่มพอตัว โดยเฉพาะชายหนุ่มรูปงาม!
หากว่าสักวันหนึ่งเขาไม่หล่อเหลาอีกต่อไป แล้วแมวน้อยยังคงงดงามราวหยกใส เขาจะต้องถูกแมวน้อยเฉดหัวทิ้งเป็นแน่!
‘ไม่ได้ เขาจะต้องรักษารูปร่าง คงความหล่อเหลาเอาไว้ ห้ามประมาทเลินเล่อเด็ดขาด!’
‘ไม่ได้เลย!’
อวี้เฟยเยียนหารู้ไม่ว่า คำพูดติดตลกของนางในวันนี้จะถูกซย่าโหวฉิงเทียนจดจำเอาไว้ขึ้นใจ
ต่อไปในภายภาคหน้าอีกหลายปีให้หลัง เมื่อซย่าโหวฉิงเทียนเข้าสู่วัยกลางคน ในทุกวันเมื่อเขาตื่นขึ้นมา ประโยคที่เขาจะถามนางเป็นประโยคแรกนั่นก็คือ
“แมวน้อย พี่หล่อไหม พี่รูปร่างดีหรือเปล่า”
หากว่าอวี้เฟยเยียนพยักหน้าแบบขอไปที ซย่าโหวฉิงเทียนก็จะใช้การปฏิบัติจริงเพื่อแสดงให้เห็นถึงพละกำลังและเสน่ห์ในความแข็งแรงของตนเองทันที ทำให้นางต้องอ่อนปวกเปียกใต้ร่างของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า…
หลังจากกิจกรรมรักผ่านพ้นไป อวี้เฟยเยียนก็จะหอบเอาเอวน้อยๆ ที่แทบจะขาดของตนแล้วระลึกถึงเรื่องในวันนี้เสมอ ว่าในตอนนั้นมิน่าปากไว้ไปกระตุ้นเขาเช่นนั้นเลย
คนที่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่นั้น จะทนถูกดูหมิ่นไม่ได้!
ส่วนผู้ชายที่ แค้นฝังลึก ก็ยิ่งหาเรื่องไม่ได้ใหญ่!
ซึ่งแน่นอนว่า นี่เป็นเรื่องในภายภาคหน้า
ภายหลังจากที่อวี้เฟยเยียนตกลงแต่งงานกับซย่าโหวฉิงเทียนแล้ว คนทั้งสองก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอยู่ในปราสาทน้ำแข็งถึงสามวันสามคืน
เนื่องด้วยปราสาทน้ำแข็งสร้างขึ้นบนยอดเขา อวี้เฟยเยียนจึงชื่นชอบความรู้สึกที่ได้ยืนอยู่ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่จำนวนมากอย่างที่สุด มีหิมะสีขาวสะอาดล้อมรอบ มองเห็นแม่น้ำสายยาวอยู่ไกลๆ ทิวทัศน์เช่นนี้ทำให้คนมีความสุขจนแทบลืมวันลืมคืนทีเดียว
ส่วนเรื่องอาหารการกิน ซย่าโหวฉิงเทียนก็ลงมือล่าสัตว์ด้วยตัวเอง
คนหนึ่งล่าสัตว์ อีกคนลงครัว ยังไม่ทันที่จะแต่งงาน ก็กลายเป็นผัวรับเมียร้องเสียแล้ว เขากันอย่างกับอะไรดี
คนทั้งสองกำลังใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอิสรเสรี แต่ซย่าโหวจวินอวี่ที่พำนักอยู่ที่เมืองหลวงแห่งต้าโจวกลับร้อนใจจนแทบจะบ้า
นี่มันเวลาอะไรกันแล้ว ยังมาเล่นหายไปแบบนี้อีก!
เหลือบมองไปและเห็นว่าวันที่แปดเดือนสิบสองใกล้เข้ามาทุกขณะ แต่เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวไม่รู้ว่าหายไปไหนเช่นนี้ ช่างน่าร้อนใจจริง
ในวันนี้เขาได้เตรียมทุกอย่างเอาไว้พร้อมสรรพแล้ว จะขาดก็แต่เพียงพระเอกนางเอกของงานเท่านั้น!
พระเอก นางเอกของงาน! พวกเจ้าไปอยู่ที่ไหนกัน!
“ฝ่าบาท ท่านอ๋องและพระชายาคงจะมิได้หนีตามกันไปใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ”
เห็นความกลัดกลุ้มบนใบหน้าของซย่าโหวจิวนอวี่แล้ว เซี่ยงจิ้นก็พยายามคิดหาหนทางอย่างเต็มที่ จึงครุ่นคิดเหตุผลนี้ออกมา
“เหลวไหล!”
ได้ยินดังนั้น ซย่าโหวจวินอวี่ก็เหวี่ยงแท่นทับกระดาษจนกระเด็น
“ทางโน้นก็ยอมรับแล้ว พวกเขาจะหนีตามกันไปอีกทำไม”
“ไม่เช่นนั้นก็ไปผลิตซาลาเปาน้อยกัน!”
เซี่ยงจิ้นตระกองถือแท่นทับกระดาษเอาไว้ในมือแล้วค่อยๆ ขยับตัวไปนำมันไปวางลงที่ด้านข้างด้วยความระมัดระวัง
“ข้อนี้…เป็นไปได้หรือ”
ซย่าโหวจวินอวี่ขมวดคิ้ว แม้ว่าเขาจะอยากอุ้มหลาน แต่ซย่าโหวฉิงเทียนเคยบอกเอาไว้แล้วว่าจะรอให้อวี้เฟยเยียนสำเร็จถึงขั้นจอมปราชญ์อาวุโสเสียก่อนนี่นา
ก่อนหน้านี้เขายังเคยถามย้ำด้วยซ้ำ ซึ่งซย่าโหวฉิงเทียนยังคงตอบว่าตอนนี้อวี้เฟยเยียนสำเร็จถึงปรมาจารย์ขั้นปลายแล้ว ยังห่างจากระดับจอมปราชญ์อาวุโสอีกระยะหนึ่งทีเดียว
“อะไรที่เป็นจะไปได้หรือ พ่ะย่ะค่ะ”
ในตอนนั้นเอง ซย่าโหวฉิงเทียนก็เดินเข้ามาพอดิบพอดี
เซี่ยงจิ้นที่อยู่ในเหตุการณ์ถึงดีใจกับน้ำตาไหล
ท่านอ๋อง ในที่สุดท่านก็กลับมาเสียที!
สองสามวันนี้บ่าวถูกฝ่าบาททรมานจนแทบจะไม่เป็นผู้เป็นคนอยู่แล้ว!
“ยังรู้จักกลับมาอีกหรือ!”
ซย่าโหวจวินอวี่เก็บความโกรธเอาไว้อยู่นาน แต่ทว่าเมื่อเหลือบไปเห็นอวี้เฟยเยียนที่อยู่ด้านหลังของซย่าโหวฉิงเทียนเข้า เขาก็รีบปรับเปลี่ยนสีหน้ากลายเป็นยิ้มแย้มราวกับพระสังกัจจายนะทันที
“เฟยเยียนลูก เที่ยวสนุกไหม อากาศหนาวเย็น เจ้าสบายดีหรือเปล่า”
สั่งสอนลูกชายได้ แต่จะสั่งสอนลูกสะใภ้มิได้ นี่เป็นเรื่องของท่าที!
เพราะลูกสาวเขาแต่งเข้ามา ในฐานะที่เป็นพ่อสามีย่อมต้องรักเอ็นดูนางราวกับลูกสาวแท้ๆ!
“ขอประทานอภัยเพคะ ทำให้พระองค์ทรงเป็นห่วง!”
อวี้เฟยเยียนยิ้มออกมาด้วยความขัดเขินเล็กน้อย
“พวกเราไปอาณาจักรเสวี่ยมา”
“อาณาจักรเสวี่ย”
ซย่าโหจวินอวี่ถึงกับตกตะลึง
“พวกเจ้าจัดการเก็บอาณาจักรเสวี่ย”