TQF:บทที่ 673 ให้อภัย (2)
“อาสอง” ฟางหมิงเห้อลุกขึ้นยืน สะกดอารมณ์ที่พลุ่งพล่านไว้พลางเอ่ยปาก “เชิญเข้ามา”
ฟางเต๋อซิวพยักหน้า หันไปสั่งลูกหลานข้างกายเสียงเย็น “ยังไม่ทักทายอีก”
“พี่หมิงเห้อ….”
“พี่เห้อ….”
“สวัสดีลุงใหญ่”
“ลุงใหญ่สวัสดี”
“ท่านอาปู่สวัสดี”
……
ทุกคนเอ่ยปาก โดยเฉพาะพวกเด็กๆ ไม่ว่าในใจพวกเขาจะคิดอย่างไร แต่ต่างก็โน้มตัวทำความเคารพฟางหมิงเห้อ
ฟางหมิงเห้อที่ยืนอยู่ศาลาอึ้งไปทันที การได้รับการเคารพแบบนี้เขาเคยมีที่ไหน แต่เดิมนี่เป็นเรื่องที่แค่คิดยังไม่กล้า ตอนนี้กลับปรากฏขึ้นแล้ว อารมณ์ที่พลุ่งพล่านอยู่ในใจจนเกือบจะควบคุมไม่อยู่
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวที่ยืนอยู่ข้างๆเห็นน้ำตาที่รื้นขึ้นมาของเขาอย่างชัดเจนก็อดเศร้าใจแทนท่านปู่เล็กไม่ได้ จุดจบของคนที่จิตใจดีเกินไปก็คือการถูกเหยียดหยาม มีแต่ต้องแข็งกร้าวถึงจะได้รับการเคารพ รวมถึงการเคารพจากคนในเครือญาติก็เช่นกัน
“ลุกขึ้นเถอะ” ฟางหมิงเห้อควบคุมอารมณ์ไว้และบอกเรียบๆกับคนตรงหน้า “อาสอง อาสาว น้องๆทั้ง 3 เข้ามาคุยกันเถอะ”
“ดี” ฟางเต๋อซิวตั้งใจมาหาเขาอยู่แล้ว กำลังจะบอกให้เด็กๆกลับไปก็เห็นฟางซูหยุนเดินมาจากอีกทาง
ฟางซูหยุนที่ตอนแรกเฝ้าคุ้มกันพ่อแม่ในสวนอยู่เมื่อได้ยินข่าวจากหยูเฮงน้อยก็นึกว่าคนบ้านสองมาหาเรื่องอีกแล้วจึงรีบมา
นางค้นพบอย่างรวดเร็วว่าไม่ใช่แบบที่ตัวเองคิด จึงก้าวเดินมาทางนี้ช้าลง
ฟางเต๋อซิวได้เจอหลานสาวที่เป็นถึงปรากฏเทพเทวาคนนี้ก็หวั่นไหวในใจเบาๆ เขาฉีกยิ้มและเป็นฝ่ายทักทายก่อน “ซูหยุน เข้ามาแล้วเหรอ ข้ามาหาพวกเจ้า 2 พี่น้องพอดี รีบกล่าวทักทายพี่สาวพวกเจ้าแล้ว”
“พี่ซูหยุน….”
“พี่หวิน….”
“ท่านอาสวัสดี….”
“ท่านย่าใหญ่สวัสดี…..”
……..
พวกเด็กๆกล่าวทักทายฟางซูหยุนที่กำลังเดินมาอย่างสนิทสนมราวกับเป็นญาติมิตรของตัวเองจริงๆ
ฟางซูหยุนชะงักฝีเท้าลง นางรู้สึกเหมือนฝันไป นึกถึงช่วงเวลาก่อนหน้านี้ที่แค่ตัวเองจะกลับบ้านยังต้องรบราฆ่าฟันกันครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนนี้กลับเป็นสถานการณ์เช่นนี้ จะให้นาง….
“ท่านย่า….”
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวที่ตอนแรกอยู่ในศาลาไม่รู้ว่ามาอยู่ข้างกายนางตั้งแต่เมื่อไหร่ นางพยูงท่านย่าที่โอนเอนนิดหน่อย เข้าใจความรู้สึกของนางดี
นางถูกเฉิงเสี่ยวเสี่ยวพยูงมาโดยที่ยังอยู่ในภวังค์ เมื่อเผชิญหน้ากับอาสองและอาสาว นางไม่รู้จะแค้นหรือจะด่าดี ได้แต่เดินเข้าศาลามาอย่างเงียบๆ
ฟางเต๋อซิวหัวเราะขมขื่น ไม่ว่าอย่างไรในเมื่อเลือกจะปล่อยวาง จะเลิกแล้วต่อกันมาเป็นพันธมิตรแล้ว ก็ต้องไม่คิดอะไรอีก
เขาหันกลับมาสั่งกับหลานๆเหลนๆของตัวเอง “พวกเจ้ากลับไปก่อน จำไว้นะ กลับไปแล้วห้ามไปเพ่นพล่านที่ไหน อยู่ฝึกฝนในบ้าน”
“ขอรับ”
เด็กๆต่างทำความเคารพด้วยความนอบน้อม กับคำสั่งของผู้ใหญ่แล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะดื้อรั้นยังไงก็ไม่กล้าทำตัวไม่เชื่อฟัง อย่างไรซะก็ไม่ใช่พ่อแม่ตัวเอง รู้สึกเกรงแปลกๆ แล้วยังเป็นท่านตาที่เป็นเจ้าบ้านมาหลายสิบปีด้วย
เด็กๆกำลังจะกลับไปหยูเฮงน้องก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เด็กๆตกใจกับการปรากฏตัวอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียงของนาง อย่างไรซะความดุร้ายของหยูเฮงน้อยเรียกได้ว่าคนในตระกูลฟางไม่มีใครไม่รู้
“คะ คุณหนูหยูเฮง ไม่ทราบว่ามีอะไรเหรอ”
ฟางเต๋อซิวก็ตกใจกับหยูเฮงน้องที่จู่ๆก็โผล่ออกมาเหมือนกัน รีบสอบถามนางมารน้อยตรงหน้า
หยูเฮงน้อยเหลือบมองเขาพลางเบ้ปาก ดูเหมือนจะไม่พอใจ “ฮูหยินฟางของเราให้ของขวัญเด็กๆที่มีโอกาสได้พบหน้ากัน รับไว้สิ”
ไม่ทันที่พวกเขาจะได้สติ หยูเฮงน้อยโบกมือนิดหน่อยก็มีขวด 10 กว่าขวดเข้าไปอยู่ในมือแต่ละคน และนางก็เอ่ยอย่างรังเกียจ “เอาล่ะๆ ไปได้แล้ว”
ทุกคนอึ้งกันไปหมด แม้แต่ฟางเต๋อซิวก็มึนงงกับสถานการณ์นี้ คิดไม่ถึงเลยว่าหยูเฮงน้อยมาให้ของขวัญ
ครู่เดียวเขาก็ได้สติกลับมาและบอกกับเด็กๆเสียงเข้ม “เอ๋ออะไรอยู่เล่า รีบขอบคุณท่านย่าใหญ่ของพวกเจ้าสิ”
ที่จริงไม่ใช่นางหรอกที่ให้หยูเฮงน้อยมอบของขวัญให้ แต่นางก็ไม่ได้ห้าม นางเชื่อว่าหลานสาวตัวเองทำอะไรมีขอบเขตอยู่แล้ว
เด็กๆบ้านสองไปกันหมดแล้ว เหลือเพียงสามีภรรยาฟางเต๋อซิวและลูกชาย 3 คนของพวกเขา
หลายสิบปีผ่านไป ในที่สุดบ้านใหญ่และบ้านสองก็มาอยู่ด้วยกัน
พวกเขาคุยอะไรกันในศาลาก็มีแต่พวกเขาที่รู้ คนที่ได้ข่าวรู้แค่ว่าพวกเขาคุยกันด้วยดีอยู่ในศาลา ตอนที่จากออกมาแต่ละคนมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า
หลังจากที่ฟางเต๋อถังบ้านสามได้ยิน ก็อาละวาดจนห้องหนังสือตัวเองที่เพิ่งจัดใหม่เละตุ้มเป๊ะอีกครั้ง แม้แต่สาวใช้คนหนึ่งที่รับใช้เขาก็ถูกบีบคอจนตาย
หลังจากที่อาละวาดในห้องหนังสือไปแล้ว ฟางเต๋อถังที่ใจเย็นลงก็คาดเดาได้ว่าบ้านสองได้เปลี่ยนแผนไปแล้ว เพราะพวกเขาไม่ต้องการเป็นศัตรูกับบรรลุเทพเทวา
—————————————–