TQF:บทที่ 672 ให้อภัย (1)

 

“ถ้าชอบแล้วจะแย่แค่ไหนก็ชอบ” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวยอมรับนิ่งๆ

 

ฟางหมิงเห้อเหลือบมองนางพลางหัวเราะ “ท่าทางไอหนุ่มทั้งหลายในชิงนางต้องผิดหวังแล้วล่ะ”

 

“เรื่องของคนอื่นพวกเราไม่เกี่ยว ใช้ชีวิตของตัวเองให้ดีก็พอแล้ว” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเลิกคิ้วพลางอมยิ้ม

 

“เจ้านี่น้าา” ฟางหมิงเห้อส่ายหัว “ถ้าไม่ใช่เพราะรู้อายุจริงๆของเจ้าอยู่แล้ว น้ำเสียงเจ้าเวลาพูดอย่างกับผู้อาวุโส ไม่อยากจะเชื่อเลย”

 

“ท่านปู่เล็ก เรื่องของข้าถูกกำหนดไว้นานแล้ว ถ้าท่านอยากจะเป็นห่วงละก็ เรื่องของพี่ๆทั้ง 2 ก็พอให้ท่านคิดจนหัวหมุนเลยล่ะ”

 

“ฮ่าๆๆ เจ้าพูดถูก เจ้าเด็ก 2 คนนั่นและยัยถงยวี่ก็ยังไม่เป็นฝั่งเป็นฝา พวกเขาก็อายุไม่น้อยแล้ว ต้องหาคู่ครองดีๆให้แล้วล่ะ แต่เมื่อก่อนพวกเรา….”

 

เมื่อพูดถึงเรื่องเมื่อก่อนสายตาของฟางหมิงเห้อก็หม่นลง เมื่อก่อนสายบ้านใหญ่ของตัวเองถูกข่มเหงจนไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้ ไม่มีคุณหนูบ้านไหนอยากจะแต่งเข้ามา แม้ว่าตระกูลฟางจะเป็นตระกูลใหญ่ แต่ก็ต้องดูอำนาจภายในด้วย ไม่อย่างนั้นก็แต่งได้แค่คนตระกูลเล็กๆ หรือลูกหลานพ่อค้าธรรมดา ปกติแล้วคนในตระกูลใหญ่จะไม่แต่งงานกับผู้หญิงแบบนี้ อย่างมากก็เป็นได้แค่นางบำเรอ ภรรยาหลวงก็ต้องเป็นคนที่ฐานะเท่าเทียมอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าดูแคลนผู้หญิงเหล่านั้น แต่นี่คือการดองเพื่อผลประโยชน์และเป็นที่พึ่งแก่กันและกันระหว่างตระกูล นี่ก็เป็น 1 เรื่องแลกเปลี่ยนน่าเศร้าของลูกหลายตระกูลใหญ่

 

พวกผู้ใหญ่ต่างอยากให้ลูกตัวเองได้ภรรยาที่เกื้อหนุนตัวเองได้ ถึงอย่างไรอิทธิพลของบ้านฝ่ายหญิงก็ส่งผลกระทบต่อตำแหน่งและอำนาจในบ้าน

 

ดังนั้น พี่น้องตระกูลฟางทั้ง 3 ก็ถึงอายุที่ต้องแต่งงานกันแล้ว สูงไปเอื้อมไม่ถึง ต่ำไปก้มไม่ลง จึงยังไม่ได้หมั้นหมายเสียที หลักๆก็เพราะยังไม่เจอคนที่ถูกใจนั่นแหละ

 

 

เฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็เข้าใจจุดนี้ดี นางยิ้มนิดๆ “ท่านปู่เล็ก ท่านวางใจเถอะ ครั้งนี้พี่ชายและพี่สาวต้องบรรลุจักพรรดิ์อมตะได้แน่ ในหมู่คนหนุ่มสาวก็ถือว่าเป็นที่โดดเด่น แล้วยังมีท่านและท่านปู่ทวดคอยพิทักษ์ด้วย ข้าว่าอีกไม่นานก็คงมีคนมาสู่ขอพี่ชายและพี่สาวจนคานประตูต้องถล่มเลยล่ะ”

 

“เหอะๆ เจ้านี่น้า” ความหม่นหมองบนใบหน้าฟางหมิงเห้อหายเกลี้ยง เขายิ้มพลางเอ่ย “โชคดีที่เจ้ามา ไม่อย่างนั้น…..”

 

“ท่านปู่เล็ก เราเป็นครอบครัวเดียวกันนะ จะพูดเรื่องนี้ทำไมกัน”

 

เฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่ชอบให้ผู้ใหญ่กล่าวคำขอบคุณกับตัวเองจึงเปลี่ยนเรื่องคุย นางมองไปยังคนตรงหน้าและเอ่ยถามเสียงเบา “ท่านปู่เล็ก ข้าขอถามท่าน 1 คำถาม ท่านต้องตอบข้าตรงๆ ห้ามตอบแบบขอไปที”

 

“หืม เรื่องอะไร”

 

“ท่านปู่เล็ก ถ้าให้ท่านเป็นเจ้าบ้านตระกูลฟาง ท่านจะยอมมั้ย” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

 

“เจ้าบ้าน?” ฟางหมิงเห้อชะงักไป และเข้าใจความหมายของนางในทันที “ที่จริง พวกเราไม่ได้อยากได้ตำแหน่งเจ้าบ้านอะไรนั่นหรอก แค่เจ็บใจอยู่นิดหน่อยเท่านั้นเอง พวกเราเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ถอยให้แล้วถอยให้อีก พวกเขาบีบคั้นมาถึงขั้นเอาเป็นเอาตายก็ยังไม่ยอมปล่อยพวกเราไป พวกเราเอาของตัวเองคืนก็แค่อยากจะระบายอารมณ์บ้างก็เท่านั้นแหละ”

 

“ถ้าอย่างนั้นท่านปู่เล็กหมายความว่า?”

 

“ถ้าพวกเขาบริหารตระกูลฟางได้จริงๆใครเป็นเจ้าบ้านก็ไม่ใช่ปัญหา เพียงแต่….”

 

พูดมาถึงตรงนี้ ฟางหมิงเห้อก็ไม่ได้เห็นเฉิงเสี่ยวเสี่ยวเป็นเด็ก บอกความในใจออกไป “พวกเราไม่ได้อยากมีอำนาจ เพียงแต่ทำของที่ท่านย่าปกป้องไว้ให้พวกเราหายไปแล้วรู้สึกผิดก็เท่านั้นเอง ท่านพ่อก็รู้สึกผิดในเรื่องนี้เช่นกัน ตอนนั้นท่านย่าพยายามรักษาตำแหน่งภรรยาหลวงไว้เพื่อให้ท่านพ่อเป็นสายตรง หวังว่าท่านพ่อจะสืบทอดตำแหน่งเจ้าบ้าน แต่ว่าหลังจากนั้น….”

 

“……”

 

คำพูดหลังจากนั้นฟางหมิงเห้อไม่ได้พูดออกมา เฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็รับรู้ถึงความในใจของท่านปู่ทวดและท่านปู่เล็ก พยักหน้าเงียบๆ อย่างไรซะก็ต้องเอาตำแหน่งเจ้าบ้านกลับมาให้ได้

 

การสนทนาภายในศาลาจบลง

 

หยูเฮงน้อยที่นั่งอยู่ข้างๆเรียบร้อยมาก จนกระทั่งพบบางอย่าง ตาของนางเป็นประกาย “ท่านปู่เล็ก คุณหนู มีคนมา”

 

เฉิงเสี่ยวเสี่ยวส่งกระแสจิตออกไปก็รู้ได้ทันทีว่าใครมา

 

วิทยายุทธของฟางหมิงเห้ออยู่ระดับก้าวสู่เทพเทวาแล้ว เขาก็รับรู้ได้ในไม่นานว่ามีคนมา เพียงแต่การปรากฏตัวของคนเหล่านี้อยู่เหนือความคาดหมายของเขา

 

เมื่อเห็นพวกคนที่กำลังเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็ส่งสายตาให้หยูเฮงน้อย หยูเฮงน้อยที่เข้าใจความหมายพยักหน้าและหายไปจากศาลา

 

สมาชิก 10 กว่าคนของบ้านฟางเต๋อซิวมาอยู่นอกศาลาอย่างองอาจ ทุกคนต่างมองไปยังคนในศาลาด้วยแววตาที่อธิบายความรู้สึกได้ยาก

 

ทุกคนรู้กันหมดว่าอาการบาดเจ็บของฟางหมิงเห้อหายดีแล้ว แต่ยังไม่มีใครเห็นสภาพที่เขาฟื้นฟูกลับมา

 

ตอนนี้ได้เห็นวิทยายุทธระดับก้าวสู่เทพเทวาของเขา และรูปลักษณ์ก็กลับมาเป็นวัยกลางคนแล้ว ฟางเต๋อซิวได้แต่แอบถอนหายใจ “หมิงเห้อ พวกเราอาหลานคุยกันหน่อยได้มั้ย”

———————–