ตอนที่ 986 - หลอกล่อ

The Divine Nine Dragon Cauldron

ต่อให้เป็นจ้าวเทระดับเก้าก็มิอาจป้องกันตัวเองจากความเร็วระดับนี้ได้
  ปั้ง!ปั้ง!
  ทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือดการต่อสู้หยุดลงชั่วคราวจนร่างทั้งสองแจ่มชัดขึ้น หนึ่งในนั้นคือกงซุนหวูซื่อที่สวมชุดสีดำและขาว นางถือหน้าไม้สวรรค์สร้างอยู่ด้วย อีกฝ่ายเป็นเด็กสาววัยรุ่นร่างบอบบางที่สวมเสื้อหนังเสือดาว ทั้งสองฝ่ายตัวเล็กบอบบางและงดงาม ความต่างเดียวก็คือกงซุนหวูซื่อนั้นฉลาดและเจ้าเลบ่ห์ ขณะที่อีกฝ่ายนั้นรวดเร็วราวกับสัตว์อสูร
  ด้วยวิชาการเคลื่อนไหวอันไหลลื่นของกงซุนหวูซื่อนางก้าวขึ้นบนกงล้อเพลิงเวหาที่หมุนด้วยความเร็วสูง นางอยู่ในพื้นที่นี้จึงมีความเร็วแค่ภูติระดับเก้า หากเป็นโลกภายนอก ความเร็วนางคงจะเกินจ้าวเทวะระดับเก้าไปแล้ว
  กงล้อเพลิงเวหาของนางชัดว่าเป็นสมบัติระดับสูงมากมันเกินกว่าสมบัติวิญญาณระดับสูงไปแล้ว มันอาจจะเป็นสมบัติกึ่งภูติด้วยซ้ำ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีคนบนโลกนี้ครอบครองสมบัติกึ่งวิญญาณมากเท่านาง
  และจากนิสัยของนางนางอาจจะยังมีสมบัติกึ่งภูติในครอบครองเตรียมไว้ในยามวิกฤติอยู่อีก เทียบกันแล้ว หญิงสาวที่สวมชุดหนังเสือดาวใช้ความเร็วของตัวเองเท่านั้น
  ซือหยูตกใจมากสมบัติกึ่งภูติอาจระเบิดความเร็วได้โดยได้รับผลจากแรงโน้มถ่วงที่น้อยกว่า แต่หญิงสาวอีกคนที่มีร่างกายธรรมดาคนนั้นยังรักษาความเร็วอยู่ได้ยังไงกัน?
  “เจ้ามารน้อยเจ้ากล้าดียังไงมาไล่ตามข้า? ฮื่ม วันนี้ข้าจะจัดการเจ้าที่นี่”
  กงซุนหวูซื่อพูดด้วยรอยยิ้มนางตาลุกวาว กงล้อเพลิงเ้วลาใต้เท้าของนางพานางพุ่งตรงไปยังหญิงสาวที่สวมชุดหนังเสือดาว
  ใบหน้าของอีกฝ่ายทั้งกลัวและรำคาญ  “หน้าด้าน!มาสู้กับข้าอย่างยุติธรรมสิ ทำไมเจ้าต้องใช้สมบัติกัน?”
  ทีแรกนางคิดว่านางเพียงตามล่าภูติระดับเก้าธรรมดา ๆ ใครจะไปคิดเล่าว่านางจะใช้ยันต์หลากหลายชนิดไม่หยุดหย่อนจนสร้างปัญหาไม่รู้สิ้น?
  สุดท้ายนางถึงกับใช้สมบัติกึ่งภูติสองชิ้นพร้อมกัน หญิงสาวชุดเสือดาวเหนื่อยล้าอย่างมาก พลังกายของนางลดลงไปมหาศาล แต่อีกฝ่ายที่ใช้สมบัติกึ่งภูตินั้นไม่ได้เหนื่อยเลย ถ้าหากยังเป็นแบบนี้ต่อไป นางจะพ่ายแพ้เพราะหน้าไม้สวรรค์สร้าง
  “ยุติธรรมรึ?สู้กับข้าหนึ่งต่อหนึ่งยังไม่ยุติธรรมพอหรือไง?”
  กงซุนหวูซื่อยิ้มอย่างชั่วร้ายและใช้หน้าไม้สวรรค์สร้างนางยกมือขึ้นเล็ง ยันต์ธาตุไฟพุ่งออกไป เพลิงมหึมาของยันต์นั้นทำลายได้แม้แต่จ้าวเทวะระดับเก้า
  หญิงสาวอีกฝ่ายกัดปากและกัดฟันยอมเลิกตามล่ากงซุนหวูซื่อนางหันหลังหนี จมูกนางกระตุกเบา ๆ ราวกับว่านางกำลังดมกลิ่นอะไรบางอย่าง
  “ถ้ากล้าก็ตามข้ามา!”
  นางหันไปท้าทายกงซุนหวูซื่อ
  กงซุนหวูซื่อหัวเราะ
  “จะล่อข้าไปไหนล่ะ?ฝันไปเถอะ ข้าจะจัดการเจ้าตรงนี้!”
  กงซุนหวูซื่อนำสิ่งของสีขาวมากมายออกมามันดูเหมือนกับกระดูกขาวหลายชิ้นที่กว้างพอ ๆ กับนิ้วเล็ก ๆ นางปักมันลงกับพื้น ไม่นานกระดูกเหล่านั้นก็ทะลวงพื้นไปล้อมรอบเด็กสาวอีกฝ่าย
  กระดูกส่วนบนโค้งไปปิดที่หนีบนฟ้าเอาไว้ เกิดกรงกระดูกขนาดพันศอกขึ้น
  เด็กสาวถอนหายใจแรงนางซัดหมัดใส่กระดูกขาว แต่นางก็ได้เห็นหมัดตัวเองที่ถูกสะท้อนกลับหลัง มือของนางเกิดรอยแผลและโลหิตหลั่งไหล นางพูดด้วยความไม่พอใจ
  “สมบัติกึ่งภูติจากกระดูกอสูรเนรมิตรขั้นสี่เรอะ?”
  กงซุนหวูซื่อใช้สมบัติกึ่งภูติอีกชิ้นแล้ว!!
  “หึหึยอมรับชะตากรรมซะเถอะ เจ้ามารน้อย”
  กงซุนหวูซื่อยกหน้าไม้สวรรค์สร้างขึ้นมาด้วยรอยยิ้มอีกครั้งนางเล็กไปที่เด็กสาวข้างในกรง หากเพลิงมอดไหม้กรงเมื่อใด เด็กสาวก็ไม่มีทางหนี
  เด็กสาวชักสีหน้านางขุดดินขึ้นทันที มือของนางนั้นเป็นดั่งกรงเล็บของตัวตุ่นที่ขุดสร้างหลุมใหญ่ นางดำดิ่งและขุดต่อไป
  กงซุนหวูซื่อเอ่ยปาก
  “ฮื่ม!ถ้าข้าปล่อยให้เจ้าหนีไปแบบนั้น สิ่งนี้จะยังถือว่าเป็นสมบัติกึ่งภูติอยู่อีกรึ?”
  นางกำมือกรงกระดูกลอยขึ้นจากพื้น เด็กสาวที่กำลังขุดหนีถูกดึงขึ้นมาด้วย ที่ใต้กรงเองก็ถูกปิดเอาไว้เช่นกัน เด็กสาวถูกพาตัวให้ลอยขึ้นมาและไม่มีที่ให้ซ่อนอีก
  เด็กสาวทั้งหวาดกลัวและกระวนกระวายนางที่พยายามจะหนีเป็นเครื่องบ่งบอกความสิ้นหวัง นางลอยวนไปมาในกรง
  ซือหยูพูดไม่ออกเมื่อได้เห็นการต่อสู้นี้นี่ไม่ใช่การตามล่าคือการสังหาร แต่มันคือการตามเชือดอยู่ฝ่ายเดียว
  “มารน้อยเจ้าจะส่งพลังเมฆาม่วงของเจ้ามาดี ๆ หรืออยากจะให้ข้าไปส่งเจ้าให้ถึงที่ตาย?”
  กงซุนหวูซื่อยิ้มอย่างชั่วร้าย
  เด็กสาวที่อยู่ในกรงกระดูกขาวดูไม่หวาดกลัวและไม่ยอมจำนนแม้ว่าในดวงตาจะมีน้ำตาที่เศร้าโศก นางก็ไม่ปรารถนาจะยอมแพ้
  “ข้าจะไม่มีทางอ้อนวอนเจ้า!อยากฆ่าข้าก็เชิญ แย่สุดข้าก็จะรออีกร้อยปีข้างหน้า”
  คำพูดนั้นเผยความโง่เขลาของนางใครจะรู้อนาคตในอีกร้อยปีนับจากวันนี้เล่า? ถึงตอนนั้นแดนมณีอาจจะไม่มีอยู่อีกแล้วก็ได้
  กงซุนหวูซื่อที่ยกหน้าไม้สวรรค์สร้างวางมันลงช้าๆ นางยิ้มราวกับปีศาจร้าย  เมื่อเห็นรอยยิ้มนี้ซือหยูได้แต่รู้สึกผิดต่อหญิงสาวอีกคน ชีวิตของนางจบแล้ว
  “มารน้อยถ้าเจ้าสัญญาข้าหนึ่งข้อ ข้าจะปล่อยเจ้าไป”
  กงซุนหวูซื่อยิ้มอย่างอ่อนหวานมันแตกต่างกับรอยยิ้มที่แล้วอย่างสิ้นเชิง
  เด็กสาวคิดอยู่ครู่หนึ่ง
  “อย่าคิดว่าจะหลอกให้ข้าตกลงกับเงื่อนไขที่ไม่ยุติธรรมของเจ้า!”
  “ไม่ๆๆ!ทุกอย่างที่ข้าทำล้วนยุติธรรมอยู่แล้ว…”
  กงซุนหวูซื่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม
  “เจ้าอยากจะไปแดนมณีข้าพูดถูกไหม?”
  เด็กสาวพยักหน้า
  “ใช่”
  “เจ้าอยากจะได้พลังเมฆาม่วงข้าก็ต้องการเหมือนเจ้า ถูกไหม?”
  เด็กสาวคิดครู่หนึ่งก่อนจะตอบตกลง  “ใช่!”
  “พวกเรามีเป้าหมายเดียวกันใช่ไหม?”
  เด็กสาวกอดอกและเริ่มคิด
  “ใช่เราอยากจะไปแดนมณีและต้องการพลังเมฆาม่วงเหมือนกัน”
  “ถ้าอย่างนั้นเจ้ากับข้าก็ต้องคิดเหมือนกัน ใช่ไหม?”
  เด็กสาวงุนงงเล็กน้อยราวกับว่าบางสิ่งไม่ถูกต้อง แต่นางก็บอกไม่ได้ว่าคืออะไร นางพยักหน้าอย่างโง่เง่า
  “ใช่ข้าว่าเจ้าพูดถูก”
  “ถ้าเช่นนั้นคนที่คิดเหมือนกัน ควรจะร่วมมือกันเพื่อบรรลุเป้าหมายง่ายขึ้น ถูกไหม?”
  ร่วมมือกันรึ?เด็กสาวรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไปมากขึ้น แต่นางก็ถูกกงซุนหวูซื่อชี้นำอย่างหน้ามืดตามัว นางพยักหน้า
  “ฟังดูก็ใช่” novel-lucky
  “พวกเราควรร่วมมือกันแต่เจ้าตอนนี้ถูกข้าจับตัวอยู่ ใช่ไหม?”
  กงซุนหวูซื่อพูดต่อ
  แม้ว่าจะไม่อยากยอมรับเด็กสาวก็มิอาจปฏิเสธได้ด้วยสิ่งที่นางเป็นอยู่ตอนนี้
  “ใช่”
  “แล้วถ้าตอนนี้ข้าจะใจดีกับเจ้าเปลี่ยนเจ้าจากผู้ถูกคุมขังเป็นสหายร่วมรบ เจ้าก็ถือว่าติดหนี้บุญคุณข้า ใช่ไหม?”
  หนี้บุญคุณหรือ?เด็กสาวรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติอย่างมาก แต่นางก็เถียงไม่ออก นางตอบอย่างโง่เง่ากลับมาอีกครั้ง
  “ใช่แล้ว”
  “ใช่แล้วถ้าเจ้าติดหนี้บุญคุณข้า เจ้าก็ควรจะตอบแทนข้าน่ะสิ?”
  กงซุนหวูซื่อหยิบสร้อยหยกขาวที่มีพลังเซียนอยู่เสี้ยวหนึ่งขึ้นมา
  “เอาแบบนี้ไหม?ข้ายังไม่รู้ว่าเจ้าจะตอบแทนข้ายังไง ข้าหวังว่าเจ้าจะตอบแทนข้าในอนาคต ก่อนที่ข้าจะคิดออก เจ้าต้องหยดแก่นโลหิตในสร้อยหยกนี้ แล้วสัญญากับข้า…”
  นางกล่าว
  เด็กสาวมองสร้อยหยกด้วยความกังวลนางรู้ว่ามีสมบัติประเภทที่สามารถควบคุมผู้ที่เป็นเจ้าของแก่นโลหิตได้ โลหิตจะถูกขับออกมาเองเมื่อความตั้งใจในแก่นโลหิตถูกเติมเต็ม
  หลังจากคิดอย่างหนักเด็กสาวพยักหน้าและมอบโลหิตที่ผสมจิตสำนึกเล็กน้อยของนางลงไป มันคือสิ่งที่กงซุนหวูซื่อร้องขอ
  ฟึ่บ!
  โลหิตหายเข้าสู่สร้อยหยกขาวแสงสีขาวเปล่งประกาย
  กงซุนหวูซื่อยิ้มแย้มผ่ายแววตานางเก็บสร้อยหยกไปด้วยรอยยิ้มและปล่อยตัวเด็กสาวออกจากกรง นางเดินไปอย่างสบายใจและวางแขนรอบไหล่ของเด็กสาว นางพูดอย่างใจกว้าง
  “จากนี้ไปพวกเราจะเป็นเพื่อนที่คิดเรื่องเดียวกัน ไปต่อสู้หาพลังเมฆาม่วงด้วยกันเถอะ”
  เด็กสาวพยักหน้าอย่างกระตือรือร้นใบหน้านางดูมุ่งมั่นและจริงจัง
  “ใช่ต่อสู้เพื่อพลังเมฆาม่วงด้วยกัน”
  ซือหยูตัวแข็งทื่อเมื่อเห็นทั้งสองบินไปพร้อมกันเขาเห็นกับตาว่ากงซุนหวูซื่อหลอกล่อศัตรูที่มีพลังสูงกว่า นางขอบางสิ่งที่เกินขอบเขตและยังโกงศัตรูเพื่อหาทางหาพลังเมฆาม่วงมาไว้กับตัวเอง ซือหยูสงสารและเห็นใจเด็กสาวคนนั้นมาก แต่ผู้ลงมือคือกงซุนหวูซื่อ ซือหยูมิอาจยื่นมือเข้าช่วยได้ เขาได้แต่หาเป้าหมายต่อไป
  เมื่อเขากำลังจะไปเขาก็ต้องย่อตัวลงและมองในจุดที่เด็กสาวกับกงซุนหวูซื่อต่อสู้กันอีกครั้ง
  มนุษย์ร่างเทาๆ บินออกมาจากหมอกหนา เขาร่อนลงในจุดที่เกิดการต่อสู้ เขาเหลือบมองรอบ ๆ สุดท้ายเขาก็มองไปยังทิศทางที่กงซุนหวูซื่อเดินทางไป  “ฮื่มกงซุนหวูซื่อรึ? ศิษย์พี่เทียนหยูบอกว่ากงซุนหวูซื่อมาจากเขาอสูร คงจะดีมากหากนางถูกคัดออกไป”
  “ถ้าไม่มีกงวุนหวูซื่อต่อให้เจ้าซือนั่นได้ไปแดนมณี มันก็จะไร้ผู้ช่วยเหลือ”
  เมื่อพูดจบเขาไล่ตามพวกกงซุนหวูซื่อไปอย่างรวดเร็วราวพยัคฆ์
  เขาไม่พบซือหยูที่อยู่ห่างออกมาสี่พันศอกแต่ซือหยูจำเขาได้อย่างชัดเจน เขาตาลุกวาว
  “เจ้าหลิวรึ?”
  เขาขู่ซือหยูมาก่อนหน้านี้แลบะพยายามจะพูดไม่ให้ซือหยูได้ไปแดนมณีจนถึงตอนนี้เขาก็ยังคิดจะขัดขวางซือหยู แม้แต่กงซุนหวูซื่อก็ตกเป็นเป้า
  เขาเคยแสดงความมุ่งร้ายต่อซือหยูมาหลายครั้งต่อให้เป็นบุรุษที่ปั้นจากโคลนก็ย่อมมีความรู้สึก ซือหยูก็เช่นกัน ถ้าหากเป็นในสำนัก ซือหยูคงจะปล่อยไปเพราะไม่ดีถ้าเขาจะสะสางเรื่องราวให้จบ แต่ถ้าเป็นที่นี่ตอนนี้ เขาจะต้องเป็นห่วงเรื่องใดอีกเล่า? ซือหยูสายตาเยือกเย็นและตามศิษย์พี่หลิวไป
  กงซุนหวูซื่อกับเด็กสาวถือว่าเป็นคู่ที่แข็งแกร่งทั้งสองเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แต่ถึงจะเป็นพื้นที่ส่วนกลาง ทั้งสองก็แทบจะไม่เจอใครเลย
  ซือหยูแทบจะตามทั้งสองไม่ทันแต่ทั้งสองก็แย่งเอาพลังเมฆาม่วงจากสี่คนได้นเวลาครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ทุกการต่อสู้เป็นเรื่องง่ายราวปอกกล้วย ยากที่ศัตรูจะหนีพ้น
  “ถ้าหากมีพลังเมฆาม่วงสองส่วนก็มีโอกาสสูงที่จะเป็นร้อยลำดับแรกดีพอแล้วล่ะ”
  เด็กสาวพูดอย่างพอใจ
  กงซุนหวูซื่อหน้าบึ้ง
  “ไม่มีทาง!ยังเหลือเวลาอีกครึ่งวัน พวกเราต้องหาพลังเมฆาม่วงให้ได้มากที่สุด ถ้าหากเจอกับคนที่แข็งแกร่งจนสู้ไม่ได้ พวกเราก็จะทิ้งพลังไว้เพื่อหนีได้ การได้พลังมามากขึ้นก็คือโอกาสรอดชีวิตที่มากขึ้น”
  นางกล่าว
  เด็กสาวพบว่าคำพูดกงซุนหวูซื่อมีเหตุผล
  “เจ้านี่ฉลาดจริงๆ”
  กงซุนหวูซื่อหัวเราะคิดคักสิ่งที่นางคิดในใจนั้นชัดเจน
  สี่คนที่พวกนางกำจัดไปนั้นเป็นคนจากสำนักทั้งแปดใต้อาณัติตำหนักเมฆาม่วงแต่เด็กสาวคนนี้เองก็ไร้เดียงสาเกินกว่าจะเข้าใจความตั้งใจที่กงซุนหวูซื่ออยากจะทำให้ตำหนักเมฆาม่วงอ่อนแอลง
  “ฮ่าๆๆศิษย์น้องกงซุน ให้ข้าช่วยเหลือพวกเจ้าจะดีไหมล่ะ?”
  เสียงดังมาจากหมอกหนาที่สี่ร้อยศอก
  กงซุนหวูซื่อหรี่ตา
  “ศิษย์พี่หลิวรึ?”