ผู้มาเยือนคือศิษย์พี่หลิวเขาก้าวมาข้างหน้ายืนอยู่ห่างจากพวกนางร้อยศอกเพื่อให้ตอบโต้ได้ทันหากเกิดการต่อสู้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเด็กสาวสองคนที่เคลื่อนไหวได้เร็ว
“พวกเราล้วนมาจากตำหนักโลหิตควรร่วมมือกันเผชิญหน้ากับศัตรู ข้าเต็มใจจะช่วยเหลือเจ้า”
ศิษย์พี่หลิวแสยะยิ้ม
“ข้าคิดว่าจะปลอดภัยกว่าถ้าเราร่วมมือกัน”
กงซุนหวูซื่อมักจะวางอุบายใส่ผู้อื่นอยู่เสมอนางจะเชื่อเขาง่าย ๆ หรือ?
“แต่พวกข้าไม่ต้องการเจ้า”
กงซุนหวูซื่อชี้พลังเมฆาม่วงเหนือศีรษะและเหลือบมองพลังเมฆาม่วงของศิษย์พี่หลิวเขามีอยู่สามพลัง นั่นหมายความว่าเขากำจัดไปสามคนแล้ว เขาย่อมไม่ใช่คนใจดี และเมื่อกงซุนหวูซื่อบรรลุเป้าหมายแล้วจะมีเหตุผลอันใดให้ร่วมมือกับคนแปลกหน้าอีก?
“เวลาผ่านไปเกินครึ่งแล้วคนที่จะยังเหลือรอดก็ควรจะเป็นพวกเรา”
ศิษย์พี่หลิวพูดและมองทั้งสอง
“เจ้าสองคนเคลื่อนไหวได้รวดเร็วแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเจ้าจะปลอดภัยดีในครึ่งวันหลัง”
คำพูดของเขาฟังดูมีเหตุผลผู้ที่อ่อนแอทั้งหมดน่าจะถูกจัดการไปหมดแล้ว คนที่ยังเหลือที่นี่ย่อมต้องเป็นคนที่แข็งแกร่งมาก ไม่ง่ายถ้าหากพวกนางจะได้เจอกับคนเหล่านั้น
กงซุนหวูซื่อคิดใบหน้าเล็ก ๆ ของนางดูจริงจัง นางคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ
“ก็ได้ศิษย์พี่หลิวไปกับพวกเราก็ได้ หวังว่าพวกเราจะได้เจอกับคนอื่นมากกว่านี้”
ศิษย์พี่หลิวยิ้ม
“ข้าไม่ชอบเขา” เด็กสาวอีกคนพูดนางหน้าบึ้งเมื่อมองศิษย์พี่หลิว นางคิดว่ากงซุนหวูซื่อเป็นสหายร่วมรบคนเดียวเท่านั้นที่มีเป้าหมายเดียวกับนาง
กงซุนหวูซื่อหัวเราะ
“อย่าพูดแบบนั้นสิ!เขาก็เป็นสหายที่มีเป้าหมายเดียวกับพวกเรา?”
“เขาน่ะหรือ?”
เด็กสาวจ้องศิษย์พี่หลิวราวกับสัตว์ป่าตัวน้อยขี้ระแวง
ศิษย์พี่หลิวหรี่ตายิ้มอย่างอ่อนโยนแต่เขาก็ได้เจอกับการถอนหายใจแรงของเด็กสาว ทั้งสามต้องตกลงกันก่อน
“เจ้าคิดอะไรอยู่หรือศิษย์น้อง?”
ศิษย์พี่หลิวเดินเข้าไป
กงซุนหวูซื่อตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“ไม่ได้ยินหรือ?พวกเรากำลังจะไปพื้นที่กลางและต่อสู้เอาพลังเมฆาม่วงให้มากกว่านี้” ศิษย์พี่หลิวตอบ
“ที่ข้าพูดน่ะข้าจะบอกว่าข้าอาจจะบอกข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้ได้”
“โอ้?หมายความว่ายังไงกัน?”
กงซุนหวูซื่อกลอกตา
ศิษย์พี่หลิวยิ้มอย่างลึกลับ
“ก็หมายความอย่างที่ข้าพูดก่อนที่จะเจอเจ้า ข้าอยู่ในพื้นที่กลางมาก่อน ข้าพบกลุ่มที่มีสามคนในพื้นที่บึง”
กงซุนหวูซื่อตาลุกวาว
“จากสำนักไหนล่ะ?พวกมันแข็งแกร่งแค่ไหน?”
“พวกมันไม่ได้อยู่สำนักใดพวกมันเป็นยอดฝีมือเร่ร่อนที่มารวมตัวกันที่นี่ คนที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นภูติระดับแปด ส่วนที่อ่อนแอที่สุดเป็นภูติระดับเจ็ด สามคนนั้นได้พลังเมฆาม่วงมาและกำลังซ่อนตัวอยู่ในบึง”
ศิษย์พี่หลิวอธิบาย กงซุนหวูซื่อตื่นเต้น
“แล้วทำไมเจ้าไม่กำจัดมันตอนที่เจอตัวพวกมันเล่า?ทำไมจะต้องมาหาผู้ช่วยอีก?”
นางถาม
ศิษย์พี่หลิวตอบ
“แน่นอนว่าข้าทำคนเดียวไม่ได้!บึงนั่นประหลาด มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา หากก้าวเข้าไปจะติดอยู่ข้างในโดยใช้วิชาเคลื่อนไหวไม่ได้ ข้าเห็นกับตาว่าจ้าวเทวะระดับห้าที่ลงไปในบึงถูกสามคนนั้นกำจัดยังไง เจ้าสองคนมีวิชาเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว ข้าคิดว่าคงดีกว่าถ้าพวกเจ้าไปที่บึงนั่น ข้ามาก็เพื่อจะบอกเรื่องนี้กับพวกเจ้า”
พื้นที่บึงหรือ?กงซุนหวูซื่อมองเด็กสาวอีกคน
นางพยักหน้า
“ใช่แล้วมีบึงในพื้นที่กลางอยู่จริง มันเรียกว่าบึงลั่วหลาน คนที่ฝึกวิชาเฉพาะบางอย่างจะสามารถปรับตัวเข้ากับความอันตรายในบึงได้ มันเป็นที่ซ่อนที่ดี ข้าคิดว่ามีมากกว่าสามคนซ่อนตัวอยู่ที่นั่นแล้ว”
ถ้าหากมีหลายคนซ่อนตัวที่นั่นนั่นก็หมายความว่ามีผู้ล่าอยู่มากด้วย
หลังจากตรองดูกงซุนหวูซื่อตื่นเต้น novel-lucky
“ดีล่ะไปที่บึงลั่วหลานกัน”
ทั้งสามเดินทางทันที
ไม่นานหลังจากทั้งสามไปซือหยูมาจากระยะสี่พันศอก เขาจ้องทิศที่ทั้งสามมุ่งหน้า
“บึงลั่วหลานไอ้หลิวมันวางแผนอะไรอยู่กันแน่?”
หากพูดถึงเรื่องพลังอย่างเดียวศิษย์พี่หลิวไม่ใช่คู่มือของกงซุนหวูซื่อกับเด็กสาว ถ้าเขาพยายามโจมตี เขาคงจะถูกกำจัดเองเสียมากกว่า ดังนั้นเขาน่าจะวางกับดักไว้ที่บึงลั่วหลาน
ซือหยูจะเปิดโปงหลิวไม่ได้ถ้าเขาปรากฏตัวในตอนนี้คงดีกว่าถ้าเขาจะตามไปดูสิ่งที่เกิดขึ้น ครึ่งชั่วโมงต่อมาหมอกข้างหน้านั้นหนาแน่นขึ้น ไอน้ำในอากาศเพิ่มมากขึ้น ดินใต้เท้าไม่มั่นคงดังเดิม มันเป็นเส้นทางที่เริ่มมีโคลน พวกเขากำลังเข้าใกล้แหล่งน้ำ
“พวกเราถึงบึงลั่วหลานแล้วจากรอยที่ข้าทิ้งเอาไว้ พวกเราห่างจากสามคนนั้นไม่ถึงพันศอก ระวังให้ดี”
ศิษย์พี่หลิวพูดเบาๆ เขาดูระวังตัว
กงซุนหวูซื่อเหลือบมองรอบๆ ปลายเท้าของนางแตะข้างหน้าไม่หยุดเหมือนแมลงปอเล่นผิววารี เท้าของนางกับเด็กสาวยังคงสะอาด พวกนางเป็นอิสระในดินโคลนเหล่านี้ ความเร็วสูงของพวกนางทำให้โคลนทำอะไรไม่ได้
เทียบกันแล้วศิษย์พี่หลิวจมโคลนไปครึ่งตัว ยากที่เขาจะขยับไปต่อ ถ้าเขายังฝีนต่อไปก็มีโอกาสที่เขาจะจมลงในโคลนทั้งตัว มันอันตรายมาก
“ศิษย์น้องข้ามาได้ไกลเพียงเท่านี้ ที่เหลือขึ้นอยู่กับพวกเจ้าแล้ว” ศิษย์พี่หลิวพูดอย่างหมดหวังเมื่อมาถึงทางตัน
กงซุนหวูซื่อพยักหน้า
“เอาเถอะดูแลตัวเองด้วย”
นางนำเด็กสาวเข้าไปในหมอกหนาพวกนางวิ่งอย่างรวดเร็ว หลังจากไปได้หกร้อยศอก ทั้งสองสัมผัสความรู้สึกของแต่ละคนไม่ได้อีกต่อไป กงซุนหวูซื่อจับหลังเด็กสาวและรีบเปลี่ยนทิศ พวกนางวิ่งกลับแทนที่จะไปอีกสี่ร้อยศอกข้างหน้า
“เกิดอะไรขึ้น?ทำไมพวกเราไม่ไปกำจัดสามคนนั้นเล่า?”
เด็กสาวสับสน
กงซุนหวูซื่อสายตาหยามเหยียด
“มันคิดจริงๆ รึว่าจะหลอกคนด้วยอุบายปัญญาอ่อนได้? ไอ้เจ้าหลิวนั่นเชื่อไม่ได้เลย สิ่งที่รอพวกเราอยู่ไม่ใช่คนอ่อนแอหรอก มันคือกับดัก พวกเรากลับไปดูว่ามันทำอะไรอยู่จะดีกว่า เดี๋ยวเราจะได้รู้เอง” กงซุนหวูซื่อแววตาเจ้าเล่ห์
พวกนางรีบกลับไปยังจุดที่ทิ้งศิษย์พี่หลิวแต่เขาก็หายตัวไปแล้ว จุดที่เขาอยู่ไม่ได้แสดงร่องรอยของการดิ้นรนในโคลนเลย แต่เกิดหลุมที่ดูเหมือนจะมีคนเข้าออกได้อย่างง่ายดาย รอยเท้าทอดยาวไปยังพันศอกข้างหน้า
ชัดแล้วว่าศิษย์พี่หลิวออกไปจากโคลนทันทีที่พวกนางทิ้งเขาไปและแอบตามพวกนางตั้งแต่ตอนนั้น
ดูจากความลึกของรอยเท้าดูเหมือนว่าศิษย์พี่หลิวจะใช้วิธีบางอย่างต้านแรงโน้มถ่วง ทำให้เขาเดินบนโคลนได้ง่าย ๆ
“ฮื่มเกิดเรื่องจริงด้วย ตามไปทำให้มันตกใจกันเถอะ!”
กงซุนหวูซื่อหัวเราะอย่างเย็นชานางกับเด็กสาวกลับกลายเป็นฝ่ายไล่ตามศิษย์พี่หลิวแล้ว
ตอนนั้นเองหลิวคลานออกมาจากหลุมในระยะพันศอก เขาลอยอยู่ในบึงที่เต็มไปด้วยพืชน้ำ เขามองหมอกหนาข้างหน้าและขมวดคิ้ว
“แปลกนัก!พวกนางถูกจัดการง่าย ๆ โดยไม่มีเสียงเลยหรือ?”
เขาจ้องหมอกหน้าด้านหน้าด้วยความกลัวเขาปกปิดกลิ่นอายตัวเองอย่างดี เขารอจนแน่ใจว่าไม่มีเสียงหรือความเคลื่อนไหวโดยรอบ
“พวกนางคงไม่น่าจะกลับมา”
เขาคิดกับตัวเอง
“กงซุนหวูซื่อปีศาจบูรพา ฉลาดปราดเปรียว ถ้าหากนางถูกกำจัดง่ายเช่นนี้ นางก็ไม่ได้เก่งกาจมากมายสำหรับข้า”
หลิวยืนขึ้นช้าๆ เขาก้าวบนใบไม้ที่สูงเท่าตัวมนุษย์และพุ่งกลับไปยังบึง เขาใช้วิธีนี้ในการเคลื่อนไหวในโคลนและป้องกันไม่ให้จม
เมื่อถอยไปได้ราวร้อยศอกหลิวก็สัมผัสอะไรบางอย่างได้ เขาหันกลับไปทันที
“ใครน่ะ?ออกมา!”