เสียงตะโกนของเขาสะท้อนในหมอกเมฆหมอกสลายไปเผยให้เห็นเด็กสาวสองคน
“พวกเจ้า…”
ศิษย์พี่หลิวตกใจทั้งสองแอบตามเขามาได้ยังไง?
กงซุนหวูซื่อกอดอกและมองสมบัติใต้เท้าหลิวนางครึ่งยิ้ม
“ศิษย์พี่หลิวเจ้าเดินได้นี่! ปล่อยให้ข้าเป็นห่วงอยู่ได้”
เด็กสาวนามเหมยลี่สีหน้าเย็นชา
“ฮื่ม!ตั้งแต่แรกข้าก็ไม่ได้เห็นเจ้าเป็นคนดีอยู่แล้ว พี่หวูซื่อพูดถูกว่าเจ้าตั้งใจทำร้ายเรา ข้างหน้าคงจะมีอันตรายสินะ?”
ศิษย์พี่หลิวตกตะลึงสีหน้าเขาเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เขายิ้มอย่างสำนึกผิด
“เจ้าเข้าใจผิดแล้วข้ารู้สึกอึดอัดถ้าจะปล่อยให้พวกเจ้ามากันเอง ข้าเลยเสี่ยงมาดูพวกเจ้า”
กงซุนหวูซื่อเรียกหน้าไม้สวรรค์สร้างขึ้นมานางถามด้วยรอยยิ้ม
“โอ้เจ้ามาดูพวกเราหรือ? ศิษย์พี่คงจะผิดหวังสินะ?”
เหมยลี่กัดฟันขาขวาของนางร่อนเหนือโคลน นางดูโกรธแค้นและเตรียมต่อสู้ หากเรื่องราวชัดเจนแล้ว การพูดคุยกันก็ไร้ความหมาย
ศิษย์พี่หลิวใจหายเรื่องราวดำเนินเกินไปกว่าที่เขาคาดคิด เขาเดินทางผิดเข้าแล้ว กงซุนหวูซื่อเจ้าเล่ห์เกินไป ไม่เพียงแต่อุบายเขาจะล้มเหลว แต่เขาก็ทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย
“ศิษย์น้องเจ้าเรียนรู้เรื่องได้อย่างเสียอย่างบางจะดีกว่า จะไม่มีใครได้ประโยชน์ถ้าพวกเราต่อสู้กันที่นี่ ให้พูดตรง ๆ ข้างหน้าเรามีสำนักที่ไม่ได้อยู่ฝ่ายตำหนักโลหิต พวกมันเป็นคนที่แข็งแกร่งมาก ถ้าทำให้พวกมันรู้ตัว พวกเราจะเป็นอันตราย” หลิวพูดเบาๆ
กงซุนหวูซื่อเล็งหน้าไม้สวรรค์สร้างและถอนหายใจแรง
“เจ้านั่นแหละที่จะมีปัญหาไม่ใช่พวกข้า”
นางเชื่อมั่นใจความเร็วของนางกับเหมยลี่ไม่มีใครในที่แห่งนี้ที่จะเร็วไปกว่าพวกนางได้ ไม่ว่าจะแข็งแกร่งเพียงใด ถ้าหากไร้ความเร็ว ใครเล่าจะทำอะไรพวกนาง? แต่กับศิษย์พี่หลิว ถ้าหากพวกนางกำจัดเขาไม่ได้ เขาก็หนีไม่ได้อยู่ดีหากโดนกลุ่มอื่นเจอตัว
หลิวหน้าหมอง
“กงซุนหวูซื่อ!เจ้าคิดให้ดีว่าเจ้ากำลังเล่นอยู่กับใครถ้าจะกำจัดข้า!”
เขาหัวใจเต้นแรงเขากระวนกระวายอย่างหนัก เขากำลังจะได้ไปแดนมณีอยู่แล้ว ถ้าเขาแพ้ที่นี่ เขาจะไม่เสียโอกาสสำคัญในชีวิตไปหรือ? ไม่ว่าจะต้องทำอย่างไร เขาจะพลาดโอกาสนี้ไม่ได้ เขาโศกเศร้าเล็กน้อย ทำไมเขาคิดถึงกำจัดกงซุนหวูซื่อกัน? เขาประมาท! “ฮ่าๆ อย่างไรเรื่องก็ไม่เปลี่ยนถ้าข้าอภัยให้เจ้า เทียนหยูคงไม่นึกถึงน้ำใจข้า นางคงจะคิดว่าข้ากลัวนางเสียอีก ทำไมข้าจะต้องปล่อยเจ้าไปเล่า?”
ฟึ่บ!
กงซุนหวูซื่อลั่นไกหน้าไม้อย่างไร้ปรานียันต์ไฟแข็งแกร่งระเบิดเพลิงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
เมื่อเจอกับพลังที่สามรถทำลายจ้าวเทวะระดับเก้าได้คนที่เป็นจ้าวเทวะระดับเจ็ดอย่างศิษย์พี่หลิวจะกล้าโต้ตอบด้วยกำลังหรือ?
“อ๊ากกก!กงซุนหวูซื่อ เจ้าจะต้องเสียใจ!”
หลิวใช้ใบไม้ที่ใต้เท้ามันพาตัวเขาไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว
ปั้ง!
คลื่นเพลิงทำให้ดินโคลนกระจายไปทุกทิศทางศิษย์พี่หลิวกับใบไม้กลิ้งไป เมื่อเห็นว่าเพลิงกำลังจะมอดไหม้ หลิวตะโกน สมบัติใบไม้ของเขาส่องแสงสว่างและห่อตัวเขาราวกับเกี๊ยว
เมื่อต้องเพลิงใบไม้เหี่ยวไปมาก มันค่อย ๆ โดนเผา แต่ผลิวก็หนีจากชะตาอันน่ากลัวไปได้
“เจ้าจะมีสมบัติอยู่แค่ไหนกันเชียว!”
กงซุนหวูซื่อลั่นไกอีกครั้ง
หลิวตกใจและโกรธแค้นในเวลาเดียวกันเขายังไม่ทันตั้งตัวจากนัดที่แล้วและก็ต้องรับมีกับนัดถัดมา เขากัดฟันขว้างใบไม้สามใบออกมาอย่างต่อเนื่อง สองใบขยายขนาดไปตามแรงลมและกลายเป็นใบไม้ขนาดยักษ์ที่สูงพันศอก พวกมันหลอมรวมกันกลายเป็นกำแพงขนาดมหึมาที่ป้องกันหลิวจากระเบิดเพลิง
ใบสุดท้ายห่อตัวหลิวเอาไว้จากนั้นมันก็เริ่มหมุนอย่างรวดเร็วเหนือบึงด้วยความเร็วสูง เขาไม่ได้ช้าไปกว่ากงซุนหวูซื่อกับเหมยลี่เลย เพียงไม่กี่ลมหายใจเขาก็หนีไปได้สามร้อยศอก เมื่อเขาพ้นจากระยะสายตาของเด็กสาวทั้งสอง เขาปกปิดกลิ่นอายของตัวเองและคิดว่าหนีรอดแล้ว “เหมยลี่ฝากเจ้าด้วย”
กงซุนหวูซื่อถอนหายใจอย่างเย็นชาและใช้หน้าไม้สวรรค์สร้างอีกครั้งนางทำลายกำลังใบไม้ทั้งสองใบ
เหมยลี่เค้นฟันเขี้ยวนางตะโกนอย่างป่าเถื่อน
“กล้าดียังไงมาลอบกัดข้า!ข้าจะชกเจ้าให้ตายเลย!” ไอลีนโนเวล
นางทะลวงกำแพงเพลิงตรงไปยังศิษย์พี่หลิวกงซุนหวูซื่อตามนางไปติด ๆ ไม่นานสองสาวก็ไล่ตามทัน
หลิวชักสีหน้าเขาใช้ใบไม้อย่างเร่งด่วน เขารีบวิ่งหนีในใบไม้ด้วยความตกตะลึงบนใบหน้า เขาไม่มีใบไม้เอาไว้หยุดทั้งสองสาวอีกแล้ว เมื่อไม่นาน เขาเป็นนักล่า แต่ตอนนี้เขากลายเป็นผู้ถูกล่า
“เจ้าจะไปไหน?”
กงซุนหวูซื่อหัวเราะอย่างเย็นชานางตามเหมยลี่อยู่ร้อยศอกและไล่ตามกลิ่นอายของหลิวไป แต่ทันทีหลังจากนั้นนางก็สัมผัสบางอย่างได้ สร้อยหยกของนางสั่นอย่างรวดเร็วราวกับจะเตือนนาง
“เหมยลี่ระวัง ข้างหน้ามีอันตราย!”
กงซุนหวูซื่อพูดราวรีบเรียกกระดูกมากมายออกมาขว้างรอบตัว กระดูกเหล่านั้นขยายขนาดกักขังนางไว้ภายใน และถ้าหากกงซุนหวูซื่อสัมผัสได้ เหมยลี่ที่ประสาทสัมผัสได้รวดเร็วดั่งสัตว์ป่าจะสัมผัสไม่ได้หรือ?
“ใครน่ะ?”
เหมยลี่เผยแขนลำคอ ขา จากนั้นสัญลักษณ์ยันต์ได้ปรากฏทั่วทั้งร่างจากภายในสู่ภายนอก ผิวของนางเปลี่ยนจากคล้ำเป็นสีข้าวสาลี นางดูเหมือนมนุษย์สีข้าวสาลีที่ทำจากเหล็กกล้า
เสียงกรีดอากาศทำให้บรรยากาศสั่นสะเทือนแต่เสียงนี้ดังดั่งปีกจักจั่นที่มีทุกทิศทาง บอกไม่ได้เลยว่าเสียงดังมาจากที่ใด
ฟึ่บ! ศรแสงเลือดก่อตัวขึ้นจากความว่างเปล่ามันห่างจากกงวุนหวูซื่อเพียงห้าสิบศอก มันใกล้จนนางหันกลับไปไม่ทัน โชคดีที่นางเตรียมตัวใช้กรงกระดูกขาวไว้ก่อน ศรปะทะกับกรงกระดูกและจะสะท้อนกลับไป แต่นางก็ตกใจมากเมื่อเหลือบไปเห็นว่าศรนั้นปักลงบนกระดูกที่แข็งแกร่งถึงที่สุดนี้ได้ นางมองศรเลือดที่ลอดคากระดูก ถ้าหากนางถูกยิงตรง ๆ นางคงจะถูกพลังนี้ทะลวงร่างจนตายไปแล้ว
ขณะเดียวกันเหมยลี่ก็เจอกับศรแสงเลือดนี้ด้วย
แกร๊ง!
เสียงโลหะกระทบดังสนั่นร่างบอบบางของเหมยลี่ปะทะกับแสงเลือดกระเด็นไปด้านหลังกระแทกกับกรงกระดูกอีกที นางป้องกันศรแสงเลือดไม่ได้ ธนูปักทะลุคาไหล่ของนาง แต่นางก็เลี่ยงจุดตายมาได้ฉิวเฉียด
กงวุนหวูซื่อเปิดกรงดึงเหมยลี่ที่บาดเจ็บเข้ามาภายในแววตาของนางแสดงความเกลียดชัง ศิษย์พี่หลิวแอบออกไปนานแล้วก่อนที่ศรแสงเลือดจะมาถึงหลังจากรุดหน้าไปได้พันศอก เขาหันกลับไปมองดูด้วยใจเต้นแรง เขาเช็ดเหงื่อเย็นบรใบหน้า
“โชคดีที่พวกมันไม่เห็นข้า!”
เขาหัวเราะ
“แต่นังโสเภณีพวกนั้นก็ถูกกำจัดไปแล้วสินะ?ฮื่ม อยากจะกำจัดข้าเรอะ? ฝันไปเถอะ!”
เขาเก็บใบไม้และกำลังจะออกจากพื้นที่นี้ให้เร็วที่สุดแต่ทันใดนั้นเอง เสียงสดใสก็ดังขึ้นมา
“ข้าเห็นเจ้าเคลื่อนไหวบนพื้นได้อย่างดีทำไมถึงขึ้นมาซะเล่า? อยู่ข้างล่างต่อไปไม่ดีกว่าหรือ?”
จู่ๆ ซือหยูก็ก้าวออกมาจากหมอกหนาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยในระยะร้อยศอกข้างหน้าเขา เขาจ้องมองศิษย์พี่หลิวด้วยแววตาเยือกเย็น