โจ๊กมะละกอ
คนตระกูลเฉียนที่มานั้นประกอบด้วยผู้เฒ่าเฉียน เฉียนไจบิง เฉียนไจหลี เฉียนหยินหนิง พร้อมทั้งผู้ติดตามและพ่อบ้านจำนวนหนึ่ง ทันทีที่พวกเขาเข้าไปในสวน พวกเขานั้นล้วนหลงใหลกับความงามแบบไร้ที่ติของสวนบ้านซูจิ้งแห่งนี้
“ช่างเป็นสวนที่สวยจริงๆ” เฉียนหยินหนิงตะลึงในความงาม
“มันเหมือนสวนสวรรค์เลย” เฉียนไจบิงพูดออกมาพร้อมถอนหายใจ
“ทำไมฉันรู้สึกว่าอากาศที่นี่มันแตกต่างจากที่อื่นเหลือเกิน”
“รสนิยมดีนี่นาหนุ่มน้อย” ผู้เฒ่าเฉียนอดไม่ได้ที่จะชมซูจิ้งเรื่องการแต่งสวนแห่งนี้
ผู้ติดตามทั้งหลายแม้จะไม่ได้พูดอะไรแต่พวกเขาเองก็ตกตะลึงในความงามของที่นี่เช่นเดียวกัน พวกเขาเองก็ทำงานกับตระกูลเฉียนมาพอสมควร ถึงพวกเขาจะเป็นเพียงผู้ติดตามแต่พวกเขาเองก็เห็นสิ่งต่างๆ และได้รับประสบการณ์มาเยอะแทบไม่ต่างจากคนในตระกูลเฉียนคนหนึ่ง แม้ไม่เคยกินหมูแต่เคยเห็นหมูแน่นอน แต่พวกเขาเองก็ไม่เคยเห็นสวนที่ไหนงดงามเท่านี้มาก่อน
“เชิญนั่ง” ซูจิ้งได้เชิญทุกคนมานั่งลงที่โต๊ะและเก้าอี้หิน ที่ตั้งบนสนามหญ้า พวกเขาต่างเพลิดเพลินกับความงามของสวนกว่าพวกเขาจะรู้ตัวเวลาก็ผ่านไปซักพักแล้ว เฉียนไจบิงเองถึงกลับต้องเขินเล็กน้อยและพูดออกมาว่า
“ฉันนี่แย่จริงๆ มัวแต่หลงไปกับสวนจนลืมธุระเรื่องสำคัญไปเลย พวกเรามาที่นี่เพื่อขอบคุณที่ช่วยชีวิตคุณปู่และตัวฉันเองด้วย ถ้าไม่ได้คุณเราสองคนคงตายไปแล้ว
“ขอบคุณครับคุณซู ขออย่าได้ถือสาที่ผมเสียมารยาทกับคุณไปวันนั้นเลยนะ” เฉียนไจหลีพูดออกมา เขานั้นคือชายวัยกลางคนในชุดสูทที่พยายามหาเงิน 10 ล้านและยอมทำตามซูจิ้งในการเปลี่ยนเส้นทางการบิน ตอนนั้นเขาได้คิดแต่ว่าตัวเองโง่มากที่ยอมทำตามที่ซูจิ้งบอก
“คุณเองก็ขอบคุณมามากมายแล้วตอนคุยโทรศัพท์กัน แถมพวกคุณยังช่วยผมแก้ปัญหาเล็กๆน้อยๆพวกนั้นอีกก็ถือว่าเสมอกันแล้วนะ ถ้าขอบคุณอีกผมคงรับไม่ไหวหรอก” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ฮ่าฮ่า สิ่งที่เราทำให้นั้นไม่สามารถเทียบเคียงได้เลยกับบุญคุณที่ช่วยชีวิตไว้นะ อีกอย่างต่อให้พวกเราไม่ทำอะไร ตระกูลหวังเองก็จะเป็นคนจัดการอยู่ดี”
“หนุ่มน้อย ฉันอยากรู้จริงๆว่าเธอช่วยชีวิตของฉันได้ยังไง” ผู้อาวุโสตระกูลเฉียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ผมไม่ได้ช่วยท่านผู้อาวุโสซักหน่อย ผมไม่ได้ทำอะไรเลยจริงๆ นะ” ซูจิ้งพูดพลางยักไหล่นั่นทำให้ทุกคนต่างก็พูดไม่ออกไปซักพัก
ตอนแรกพวกเขาต่างคิดว่าที่ซูจิ้งปฏิเสธก็เพราะตอนนั้นอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย ไม่คิดว่าแม้แต่ตอนนี้ที่มีกันอยู่แค่พวกเขา ซูจิ้งก็ยังทำการปฏิเสธว่าไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น อย่างไรก็ตามต่อให้ซูจิ้งบอกปัดไปแต่พวกเขาก็รู้ว่าซูจิ้งเป็นคนรักษาชีวิตผู้อาวุโสไว้อยู่ดี เพราะฉะนั้นไม่มีเหตุผลที่ต้องซักไซ้ให้เสียเรื่องไป
“คุณซูคุณพอจะจำฉันได้ไหมคะ” เฉียนหยินหนิงเอ่ยปากถามด้วยรอยยิ้ม
“อืมมมมก็คุ้นๆอยู่นะ เดี๋ยวนะเธอจบมาจากมหาวิทยาลัยเทียนหยางรึเปล่า” ซูจิ้งจ้องไปที่เฉียนหยินหนิงซักพักก่อนจะทำตาเบิกกว้าง เธอนั้นดังพอๆกับหวังหยาน ต่อให้ไม่อยากรู้จักก็ยังต้องมีผ่านตาในกระทู้ของโรงเรียนบ้าง นั่นทำให้ซูจิ้งเริ่มรู้สึกเขินๆ นิดหน่อยที่ได้เห็นดอกไม้ประจำมหาวิทยาลัยตัวเป็นๆ ใกล้ขนาดนี้
“ใช่แล้วค่ะ” เฉียนหยินหนิงพยักหน้ารับ
“สวัสดีครับคุณดอกไม้ประจำมหาวิทยาลัย ผมเองก็ไม่เคยมีโอกาสได้พูดกับคุณเลย ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้พบเจอคุณใกล้ขนาดนี้ ช่างเป็นเกียรติจริงๆ” ซูจิ้งพูดด้วยรอยยิ้มสุภาพ
“ฮ่าฮ่า ตอนนี้คุณต่างหากที่พระเจ้าในหมู่มนุษย์ ฉันซิควรจะรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้พบคุณ” เฉียนหยินหนิงหัวเราะเล็กน้อย ถ้าจะให้พูดความจริงก็คือจริงๆแล้วตอนที่ซูจิ้งอยู่มหาวิทยาลัยนั้น พลังของซูจิ้งยังไม่มีด้วยซ้ำ
ในตอนนั้นที่สามารถคบกับหวังหยานได้นั้นเป็นเพราะความเพียรของเขา ถ้าเขามีโอกาสได้พูดคุยกับเฉียนหยินหนิงบ้างในตอนนั้น เขาก็คงยังมีความรู้สึกประหม่าและเป็นเกียรติในการพบเจออยู่ แต่ตอนนี้เขานั้นได้ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงแล้ว
ซูจิ้งได้เสริฟชาใบไม้ร่วงที่ได้จากห้วงเวลาฯ โลกเซียนให้พวกเขา ทันทีที่พวกเขาดื่มต่างก็อัศจรรย์ใจกันอย่างมาก พวกเขายิ่งรู้สึกมากกว่าเดิมว่าซูจิ้งนั้นช่างแตกต่างจากพวกเขามากมายนัก อย่างไรก็ตามหลังจากดื่มไปแก้ว สองแก้ว พวกเขาก็รู้สึกท้องร้องขึ้นมาทันที เป็นเฉียนหยินหนิงที่ท้องร้องออกมาดังมาก เธอรู้สึกอายเลยทำเป็นดื่มชาต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ฮ่าฮ่า หิวกันแล้วหรอ ผมเองก็เพิ่งจะทำโจ๊กมะละกอเสร็จ อยากจะลองชิมกันซักหน่อยไหมครับ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ถ้างั้นก็ถือว่าเป็นโชคดีของพวกเราแล้วหล่ะ ได้ยินมาว่าคุณซูเองก็เป็นเทพด้านการทำอาหารในเมืองฉิงหยุนแห่งนี้ ฉันอยากจะขอลองซักหน่อย” เฉียนไจบิงหัวเราะชอบใจ
“งั้นรอซักครู่นะครับ เดี๋ยวผมจะเอาลงมาให้” ซูจิ้งเดินขึ้นไปข้างบน เขานั้นได้ทำโจ๊กมะละกอเอาไว้จริงๆ มะละกอที่ใช้ทำนั้นได้มาจากห้วงเวลาฯจากเรื่องตำนานเทพแห่งความชั่วร้ายที่นำมาปลูกแล้วเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะว่ามันได้ดูดซับพลังจากเศษหินวิญญาณจนกระทั่งออกผลออกมาได้ทั้งๆที่มันยังไม่เติบโตเต็มที่เลยด้วยซ้ำ เมื่อมันออกผลออกมาซูจิ้งก็ได้รีบนำผลมะละกอไปทำโจ๊กในทันที ผลของมันมีกลิ่นชวนน่ากินตลบฟุ้งอบอวลไปหมด
ตอนที่เขาเจอมันครั้งแรกเขาเองก็ได้กลิ่นเช่นนี้เหมือนกัน แต่ในตอนนั้นมันเริ่มเน่าแล้วอีกทั้งยังเจอที่พื้นที่ทิ้งขยะอีก นั่นทำให้เขาไม่อยากกินมันเลยซักนิด เขาเลยให้หนูทดลองกินดู ตอนนี้เมื่อเขาเอากลับมาปลูกจนมันออกผล ในที่สุดก็ได้เวลาที่เขาจะลองลิ้มรสดูบ้างแล้ว
ในขณะที่ซูจิ้งได้ลงมาพร้อมหม้อโจ๊กมะละกอมือหนึ่ง พร้อมถือชามและช้อนในอีกมือหนึ่งลงมาด้วย โจ๊กมะละกอได้ถูกเสริฟให้ทุกคน ทันทีที่วางหม้อโจ๊กไว้บนโต๊ะ กลิ่นหอมเตะจมูกทุกคนจนชวนน้ำลายสออย่างมาก ถึงแม้พวกเขาจะยังไม่ได้ลองชิมพวกเขาก็บอกได้ทันทีว่ามันต้องอร่อยมากแน่ๆ ในขณะที่ทุกคนทำท่าจะรอต่อไปไม่ไหวนั้น
ซูจิ้งได้บรรจงค่อยๆตักโจ๊กใส่ชามพร้อมเสริฟให้แก่ทุกคนอย่างประณีต ทันทีที่ชามโจ๊กถูกเสริฟตรงหน้าใคร คนๆนั้นจะรีบตักโจ๊กเพื่อลองชิมทันที หลังจากที่ชิมไปในคำแรก พวกเขาต่างทำตาส่องประกายลุกวาวอย่างหลงไหลได้ปลื้ม
“อร่อยยยยยยยย”
เฉียนหยินหนิงได้ซดโจ๊กเข้าไปพร้อมกับพูดออกมาอย่างประหลาดใจอย่างมาก หลังจากเธอหยุดหายใจเพราะความตกใจไปพักนึง เธอได้ตักโจ๊กเข้าปากไปอีกคำพร้อมหายใจออกมา เธอพยายามที่จะคอยรักษามารยาทบนโต๊ะอาหารให้สมกับที่เป็นคนตระกูลใหญ่และเป็นถึงดอกไม้ประจำมหาวิทยาลัย แต่ในที่สุดเธอก็ต้องยอมแพ้
ผู้เฒ่าเฉียน เฉียนไจบิง และเฉียนไจหลี เองก็รู้สึกตกใจทันทีที่ได้กินเหมือนกัน พวกเขาไม่เคยกินอะไรที่อร่อยมากเท่านี้มาก่อน พวกเขาก็ทำเช่นเดียวกับเฉียนหยินหนิงที่พยายามรักษามารยาทบนโต๊ะอาหารเอาไว้อย่างที่สุด แต่ก็ไม่สามารถต้านทานมันไว้ได้เช่นกัน พวกเขาต่างขอเพิ่มทันทีที่กินหมดชาม จากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสาม
ในตอนที่ทุกคนกำลังกินโจ๊กรอบที่สองและบางคนก็ขอเป็นรอบที่สามแล้วนั้น ปรากฎว่าโจ๊กหม้อใหญ่ได้หมดลงจนเห็นก้นหม้ออย่างรวดเร็ว
เหล่าผู้ติดตามเองพวกเขานั้นทำได้แค่มองทำตาปริบๆ อยู่โดยรอบ คอยสังเกตุท่าทางของเจ้านายอย่างนิ่งอึ้งอยู่เฉยๆ พร้อมเกิดความรู้สึกพิศวงขึ้นในใจ นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นท่าทางในการกินของคนตระกูลเฉียน พวกเขาเองก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายเมื่อได้กลินโจ๊กมะละกอในตอนแรกเหมือนกัน กลิ่นของมันช่างเย้ายวนจนทำให้ผู้ติดตามคนหนึ่งถึงกับอ้าปากน้ำลายสอออกมา กลิ่นของโจ๊กนั้นแทบทำให้พวกเขานั้นทนไม่ไหวกันเลยทีเดียว ต่อให้ได้ยินข่าวลือมานับร้อยนับพัน ก็ยังไม่เท่าได้กินอาหารของซูจิ้งเพียงหนึ่งมื้อ ฝีมือของเขาสมกับที่เขานั้นได้ฉายามาว่า “เชฟอาหารจีนชั้นเลิศ” ตอนที่อยู่ๆเขาได้ฉายานี้มา ซูจิ้งเองก็ตกใจไม่ใช่น้อยเหมือนกัน
ไม่นานนักหลังจากโจ๊กหมดหม้อชนิดที่ไม่เหลืออะไรเลยจริงๆ ดั่งคำที่ว่าผีห่าลงหมู่บ้าน
เฉียนไจบิงทำได้แค่ถอนหายใจอีกครั้งแล้วพูดออกมาว่า “คุณซูนี่สมกับเป็นเทพแห่งพ่อครัวจริงๆ มันอร่อยสุดๆ ไปเลย”
“ฉันก็รู้นะว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้แต่ฉันก็ยังอยากจะพูดอยู่ดีว่าคงจะดีสุดๆ ถ้าได้คุณซูมาเป็นพ่อครัวส่วนตัว” เฉินไจหลี่หัวเราะร่วน
“ฉันจะยอมมีชีวิตอยู่ให้ยาวนานแสนนานเลย เป็นครั้งแรกที่ฉันได้โจ๊กที่อร่อยขนาดนี้” ผู้เฒ่าเฉียนเองก็ได้กล่าวสำทับขึ้นมา เขานั้นรู้สึกอิ่มมากจนถึงขั้นต้องเรอออกมา มารยาทบนโต๊ะอาหารของผู้อาวุโสเปลี่ยนไปเป็นเลวร้ายในทันที เขานั้นไม่ได้มีความสุขในการกินแบบนี้มานานมากแล้ว
“ฮ่าฮ่า ฝึมือในการทำอาหารของผมนั้นไม่ได้ดีอะไรขนาดนั้นหรอก แต่เป็นเจ้ามะละกอนี่ต่างหากที่อร่อย ในอนาคตผมจะเพิ่มจำนวนมะละกอพันธุ์ให้ได้ปริมาณมากพอจำหน่ายได้ ถ้าพวกคุณอยากกินอีกก็อย่าลืมอุดหนุนกันก็พอแล้ว” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม ทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาคิด ในครั้งนี้เขาไม่ได้ใช้ทักษะในการทำอาหารหฤโหดมาใช้แม้แต่น้อย เขาทำเพียงของง่ายๆ รสชาติจากอาหารง่ายๆ แบบโจ๊กเนี่ยหล่ะอร่อยที่สุดแล้ว การทำโจ๊กนั้นบอกได้เลยว่าต่อให้ไม่ใช้ผีมือทำครัวระดับเทพของซูจิ้ง นั่นก็แสดงให้เห็นว่าเขานั้นได้ช่องทางในการทำเงินเพิ่มเติมอีกหนึ่งอย่าง อย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งจะกลายเป็นโอกาสทางธุรกิจยักษ์ใหญ่ต่อไปในอนาคต อีกหนึ่งอย่างแน่นอน