เรื่องเหลือเชื่อ

 

หลังจากทั้งหมดขับรถกลับมายังเมืองซงหยุนแล้ว ซูจิ้งก็ได้แยกออกมาจากหวังเซียว หวังเซียวและคนอื่นๆนำตัวคนร้ายไปส่งยังสถานีตำรวจ ส่วนซูจิ้งก็กลับบ้านไป แต่เดิมนั้นซูจิ้งมีความกังวลอยู่เหมือนกันในเรื่องที่เขาต้องใช้พลังวิญญาณ ในการช่วยเหลือเหตุจี้เครื่องบินเพราะไม่อยากจะทำให้เป็นที่สนใจจากคนอื่นๆ

 

อย่างไรก็ตามหลังจากได้รับทราบความสามารถของเหรียญตราเทวฑูตเพิ่มเติมเขานั้นเลิกกังวลในทันทีแถมยังจะทำให้มันโจ่งแจ้งมากกว่าเดิมด้วย

พลังวิญญาณส่วนใหญ่ของเหรียญตราเทวทูตที่เพิ่มขึ้นนั้นมาจากการที่ซูจิ้งได้รับการเคารพบูชาจากผู้คน ถึงตอนนี้กระแสพลังวิญญาณจะหลั่งไหลเข้าสู่เหรียญตราอย่างต่อเนื่องแต่มันก็ยังถือว่าน้อยกว่าตอนที่เขาดูดซับพลังวิญญาณตอนอยู่บนรถอยู่ดี นั่นทำให้เขาไม่สามารถเข้าสู่ห้วงการดูดซับแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์(ร่างกายเรืองแสง)และไม่สามารถขยายขอบเขตห้วงทะเลวิญญาณของเขาได้ในขณะนี้

ด้วยเหตุผลนี้ทำให้จากเดิมที่ซูจิ้งพยายามไม่ทำตัวโดดเด่นและคอยฝึกปรือฝีมือไปเรื่อยๆ ตอนนี้เขากลับความคิดว่าน่าจะต้องทำตัวเด่นมากกว่านี้อีกซักหน่อยเขาจะได้มีพลังวิญญาณไว้คอยดูดซับมากขึ้น

 

ทันทีที่เขากลับถึงบ้านเสียงมือถือก็ได้ดังขึ้นเมื่อเห็นว่าเป็นหวังจ้าวเขาจึงได้รับสายทันที ทันทีที่เห็นว่าซูจิ้งรับสายหวังจ้าวได้ยิ้มพร้อมพูดออกมาว่า

“ฉันได้ยินมาว่าจับตัวคนร้ายได้แล้วนี่ แม้แต่เรื่องนี้พวกตำรวจก็ยังต้องพึ่งนายเลย ดูเหมือนว่าตอนนี้นายจะเป็นคนที่ตำรวจขาดไม่ได้แล้วนา…”

 

“ฮ่าฮ่าพูดซะผมเขินเลยนะเนี่ย” ซูจิ้งยิ้มรับออกมา

“ให้ฉันเดานะว่าตอนนี้ต้องมีคนโกรธในสิ่งที่นายทำแน่นอน ตอนนี้มีบางคนได้รายงานภาครัฐไปว่านายได้ขายวัตถุโบราณสมัยราชวงศ์ถัง ครอบครองไม้หายาก ครอบครองปะการังหายาก ฯลฯ แม้กระทั่งรายงานไปว่านายได้เลี้ยงสัตว์ป่าคุ้มครอง แม้กระทั่งการคุกคามความปลอดภัยสายการบินนานาชาติเลยนะนั่น ตอนนี้นายถูกตราหน้าว่ากระทำผิดหลายข้อหาจนถือว่าเป็นอาชญากรได้เลย” หวังจ้าวพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

 

“ไม่ว่าพวกนั้นจะทำอะไรก็ทำไปเถอะเพราะสุดท้ายแล้วทุกอย่างที่พวกนั้นทำล้วนจะทำให้ผมกลายเป็นที่โดดเด่นจับตามองยิ่งกว่าเดิม แต่ฟังจากน้ำเสียงจากทั่นพี่จ้าวแล้วผมคิดว่าคุณจัดการไปหมดแล้วใช่ไหมหล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

 

เขานั้นได้คิดไว้ก่อนหน้านี้ว่าเรื่องแค่นี้ตระกูลเจ้าจัดการได้สบายอยู่แล้ว เลยกล้าทำเรื่องพวกนี้ได้อย่างสบายใจ และก็คิดว่าจะทำเรื่องที่เด่นกว่านี้ในอนาคตอย่างแน่นอน ถ้าหวังจ้าวรู้ว่าเขาคิดอะไรนี่มีหวังอ้วกออกมาเป็นเลือดทันทีแน่นอน

 

“ฮ่าฮ่าก็นะ ถึงแม้ว่าทั้งตระกูลหวังกับตระกูลหลี่นั้นเตรียมพร้อมในการจัดการเรื่องของนายอยู่แล้วก็เถอะ แต่ครั้งนี้พอจะบอกได้ว่าพวกเราแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลยนะ พอรู้ตัวอีกทีเรื่องทุกอย่างก็ถูกจัดการเรียบร้อยไปแล้ว” หวังจ้าวพูดออกมาด้วยรอยยิ้มกว้าง

 

“ห้ะ ใครกันที่จัดการให้น่ะ” ซูจิ้งสงสัยในทันที

 

“ก็ตระกูลของผู้อาวุโสที่นายช่วยไว้บนเครื่องบินไง เขานั้นคือผู้อาวุโสของตระกูลเฉียน ตระกูลเฉียนนั้นมีอำนาจพอตัวเลยนะ บางเรื่องนี่ตระกูลหวังยังทำอะไรไม่ได้ด้วยซ้ำ เฉียนไจ๋บิงเองก็มีอำนาจอยู่ในสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ เรื่องในครั้งนี้เป็นพวกเขาที่จัดการให้นาย ฉันคิดว่าตอนบนเครื่องบินนั้นคนร้ายได้เล่นงานตระกูลเฉียนก่อนนั่นทำให้ตระกูลเฉียนออกหน้าจัดการเรื่องนี้เองเลย” หวังจ้าวอธิบายออกมา

 

“ห้ะ” ซูจิ้งนั้นตกใจอยู่เหมือนกัน ไม่คิดว่าชายแก่คนนั้นจะเป็นคนใหญ่คนโต ยังไงซะสุดท้ายก็กลายเป็นเรื่องดีที่ได้ช่วยเขาไว้ ดูเหมือนพวกเขาเองก็รู้วิธีตอบแทนคุณคนดีซะด้วย หรือต่อให้เขาไม่ได้ตั้งใจช่วยทันทีที่เขาได้รับรายงานเรื่องพวกนั้นแต่ตอนนี้เขาก็ยังได้ประโยชน์อยู่ดี

 

ในขณะเดียวกันที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง คนตระกูลเฉียนได้มาออกันอยู่ที่หน้าห้องพยาบาลห้องหนึ่ง คนไข้ในห้องก็คือผู้อาวุโสตระกูลเฉียนที่ถูกแทงบนเครื่องบิน ทุกคนต่างกระวนกระวายใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและแห่มาทันทีที่ทราบข่าว บางคนก็นั่งลงกองกับพื้นอย่างหมดอาลัยตายอยาก บ้างก็เดินวนไปมาหน้าห้องอย่างกระวนกระวาย ภายในห้องพักเต็มไปด้วยหมอและญาตสนิทของเขาเตรียมพร้อมทำทุกอย่างถ้าหมอผู้เจ้าของไข้ต้องการ ผู้หญิงคนหนึ่งในชุดสูทสั่งตัดพร้อมใบหน้าที่สวยงามได้พูดขึ้นด้วยสีหน้ากังวลว่า “ปู่คะ ปู่จะลุกออกจากเตียงได้ยังไงในเมื่อมีบาดแผลสาหัสขนาดนี้”

 

“ใช่แล้ว คุณปู่ นอนอยู่บนเตียงก่อนดีกว่า” คนตระกูลเฉียนอีกคนนึงพูด

 

“อย่าทำให้เรากังวลเลยนะ”

 

คนที่พูดอยู่ตอนนี้คือชายวัยกลางคนที่พยายามรวบรวมเงินและเข้าร่วมในการตัดสินใจในแผนการของหวังเซียวและซูจิ้งใจตอนนั้น

 

“ก็หมอบอกว่าไม่เป็นอะไรแล้วนี่นา ไม่เห็นหรอว่าฉันกระชับกระเชงแค่ไหน” ผู้อาวุโสกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มกว้าง

 

เฉียนไจ๋บิง ผู้หญิงที่ดูสวยที่สุดในห้องและหมอทุกคนต่างอดที่จะประหลาดใจไม่ได้ ตามทฤษฎีแล้วแผลหนักขนาดนี้อย่างน้อยๆ ก็ต้องใช้เวลานอนพักรักษาตัวไม่ต่ำกว่าครึ่งเดือน นี่ยังไม่ได้คิดถึงเรื่องที่ชราภาพมากแล้วด้วยซ้ำ แต่นี่ยังไม่ทันข้ามวันดี ผู้อาวุโสตระกูลฉินทำท่าจะลุกออกจากเตียงด้วยท่าทีมีชีวิตชีวาอีกด้วย

ทุกคนในที่นั้นต่างหันไปถามหมอเจ้าของไข้ว่า “ทุกอย่างปกติดีใช่รึเปล่า”

 

หมอเองก็ได้ทำท่าทางฉงนสนเท่ห์ก่อนที่จะพูดออกมาว่า “ไม่ มันไม่ปกติเลยซักนิด มันเรียกว่าน่าเหลือเชื่อเลยด้วยซ้ำ ตามปกติน่ะต่อให้คนหนุ่มร่างกายแข็งแรงดีก็ยังต้องพักฟื้นไม่ต่ำกว่าครึ่งเดือน ไม่มีทางลุกจากเตียงได้โดยใช้เวลาไม่ข้ามวันอย่างนี้หรอก ไม่เท่านั้นร่างกายของปู่คุณตอนนี้ฟื้นตัวสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว ไม่มีทางที่จะเรียกได้ว่าเป็นปกติได้เลย ไม่สิต้องบอกว่าดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ ถ้าให้เปรียบเทียบให้เห็นภาพก็เหมือนกับกัปตันอเมริกาในจักรวาลมาเวลนั่นแหล่ะ”

 

คนตระกูลเฉียนทุกคนที่ได้ยินต่างทำหน้าโง่งมทันที่เมื่อได้ยินถ้อยคำที่เอ่ยออกมาจากปากหมอ พวกเขาทุกคนต่างรู้สภาพร่างกายของผู้อาวุโสตระกูลฉินเป็นอย่างดี ในช่วงสองปีที่ผ่านมาสภาพร่างกายมีแต่แย่ลงเรื่อยๆ พวกเขาต่างก็คิดว่าใกล้ถึงเวลาในไม่ช้า แต่อยู่ๆกลายเป็นว่าร่างกายของผู้อาวุโสกลับกลายเป็นแข็งแรงเหมือนกับกัปตันอเมริกาซะหยั่งงั้น

 

พวกเขาต่างคิดได้อย่างรวดเร็วเลยว่าเรื่องทั้งหมดต้องเกี่ยวของกับซูจิ้งแน่นอน ซูจิ้งต้องทำอะไรซักอย่างกับผู้อาวุโสอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่อย่างนั้นผู้อาวุโสจะฟื้นคืนร่างกายด้วยความเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร ทันใดนั้นเมื่อเขาได้รับรายงานเกี่ยวกับการกระทำผิดของซูจิ้ง เฉียนไจ๋บิ้งได้รีบโทรศัพท์ไปสั่งให้ฝังรายงานพวกนั้นทันที ถ้าซูจิ้งผ่านการทำเรื่องเลวร้ายมามันยากที่จะปล่อยผ่านรายงานพวกนั้นไปแต่นี่เขาทำทุกอย่างที่ดีจนเรียกได้ว่าเป็นฮีโร่เลยก็ว่าได้ กับพวกเรื่องไร้สาระพวกนั้นก็ไม่ควรมาเก็บไว้ให้รกหูรกตา

 

“ไจ๋บิง ไจ๋หลี่ พรุ่งนี้เราไปเยี่ยมหนุ่มน้อยซูจิ้งกันหน่อยนะ” จากการคาดเดาจากข้อมูลที่เฉียนไจ๋บิงบอกผู้อาวุโสตระกูลเฉียนจึงเชื่อได้9ใน10ส่วนเลยว่าการที่เขาฟื้นตัวเร็วขนาดนี้เป็นเพราะซูจิ้ง อีกทั้งเหมือนมีการหาข้อมูลของซูจิ้งเพิ่มเติมพบว่าเขานั้นไม่ใช่คนธรรมดาเลยแม้แต่น้อย เขาเองก็เริ่มมีความชมชอบและสนใจในตัวซูจิ้งแล้วเหมือนกัน

 

“ขอหนูไปด้วยนะ” หญิงสาวหน้าตาสระสวยคนหนึ่งพูดออกมา

 

“เธอจะไปทำอะไรหล่ะ” ผู้อาวุโสตระกูลเฉียนถามด้วยรอยยิ้มกว้างตลอดการสนทนา

 

“เพื่อขอบคุณการที่เขาช่วยชีวิตคุณปู่ค่ะ แล้วก็เขาเองก็จบมาจากมหาวิทยาลัยเดียวกับหนูเหมือนกัน” หญิงสาวคนนั้นพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

 

“จริงสิ ถ้าดูจากข้อมูลเขาเองก็จบมาจากมหาวิทยาลัยเทียนหยางเหมือนหลานเลยนี่ อายุเขาก็พอๆกับหลานเลยนี่หยินหนิง เธอพอจะรู้จักซูจิ้งมั่งรึเปล่าหล่ะ” เฉียนไจ๋บิงหัวเราะชอบใจ

 

“หนูก็ไม่รู้จักเขามานักหรอกค่ะ จำได้แต่ว่าเขาเป็นที่รู้จักเพราะว่าไปชอบพอกับดอกไม้ประจำมหาลัยคนหนึ่งแล้วก็โดนหักอกไป” หยินหนิงพูดพร้อมทำท่ายักไหล่

 

“ดอกไม้ประจำมหาวิทยาลัยก็เธอไม่ใช่หรอ แล้วยังมีใครที่สวยเทียบเคียงหลานได้อีกกัน” ชายวัยกลางคนตอนนั้นพูดพร้อมรอยยิ้ม

 

“พวกเธอเองก็สวยพอๆกันนะ” เฉียนหยินหนิงก็หันไปตอบชายคนนั้นด้วยท่าทีบอกขอไปที

 

“ดีๆ หยินหนิงเองก็ควรไปด้วยเพราะจะได้ทำความรู้จักกันง่ายหน่อย” ผู้อาวุโสตระกูลเฉียนพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม แน่นอนว่าทุกคนในตระกูลเฉียนเองต่างก็กังวลเกี่ยวกับสุขภาพของผู้อาวุโสแต่เมื่อถึงตอนเย็นพวกหมอต่างยินยันอีกครั้งว่าไม่มีปัญหา อย่าว่าแต่ปัญหาเลยพวกเขาต้องบอกว่าร่างกายของผู้เฒ่าเฉียนนั้นดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ อีกทั้งผู้เฒ่าเฉียนเองก็ไม่อยากอยู่ที่โรงพยาบาลแม้แต่น้อยทำให้ทั้งตระกูลไม่มีเหตุผลที่จะยื้อผู้อาวุโสไม่ให้ออกจากโรงพยาบาลอีกต่อไป

 

เช้าวันต่อมาได้มีขบวนรถหรูที่เป็นของกลุ่มคนตระกูลเฉียนวิ่งมาจอดที่หน้าบ้านของซูจิ้ง ด้วยการที่พวกเขาได้โทรมาบอกซูจิ้งก่อนหน้านี้แล้วตอนนี้ซูจิ้งจึงได้มายืนรอต้อนรับอยู่หน้าบ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซูจิ้งยินดีต้อนรับเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะกับคนที่ช่วยเหลือแบบลับๆแบบเดียวกับเรื่องที่เกิดจากเซียนตูเบ๋า

 

เขาได้นำพาทุกคนไปยังสวนในบ้านของเขาทุกคนในตระกูลต่างทึ่งกับสภาพสวนที่สวยงามยิ่งกว่าสวนตระกูลเฉียน ซึ่งเป็นสวนที่ได้รับการออกแบบจากปรมาจารย์ด้านการแต่งสวนที่ทุ่มทุนทั้งเงินและและกำลังคนในการตกแต่งอย่างมาก แต่เมื่อเทียบกับสวนเล็กๆ ของซูจิ้งแล้วสวนของตระกูลเฉียนนั้นช่างดูด้อยค่าไม่ต่างจากสวนที่ผ่านศึกสงครามมาเลยด้วยซ้ำ