“ท่านอา ท่านต้องเดินทางระวังด้วยนะ ส่งข่าวกลับมาบ่อยๆ มิเช่นนั้นข้าจะเป็นห่วงมาก”
โม่เทียนเกอยิ้ม ถึงแม้การอยู่โดดเดี่ยวจะดีกว่า แต่การมีใครสักคนคอยเป็นห่วงนางก็ยังทำให้นางรู้สึกอบอุ่นใจอยู่ข้างใน
“อืม เจ้าต้องฝึกตนให้ดีนะ เจ้าห้ามขี้เกียจแต่ก็ต้องไม่ใจร้อนเกินไปเหมือนกัน ถ้าเจ้ามีปัญหาอะไรให้ไปถามท่านปรมาจารย์ของเจ้า นิสัยของท่านปรมาจารย์อาจจะแปลกพิกล แต่เขาจะแนะนำศิษย์ผู้น้อยของเขาอย่างจริงใจ เจ้าต้องฟังไม่ว่าเขาจะพูดอะไร”
“เข้าใจขอรับ” เยี่ยเจินจีตอบ จากนั้นเขาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วจึงถามว่า “อ้อ ท่านอา ข้าควรทำอย่างไรถ้าท่านอาจารย์คนนั้นของข้าออกมาจากการปิดประตูแห่งจิต”
โม่เทียนเกอเลิกคิ้ว “อาจารย์ของเจ้าก็คืออาจารย์ของเจ้า เจ้ายังต้องใช้คำว่า ‘คนนี้’ ‘คนนั้น’ อีกหรือ”
เยี่ยเจินจีเกาหัวและพูดอย่างไร้เดียงสา “เขาเป็นอาจารย์ของข้าในนาม แต่จนถึงบัดนี้ข้ายังไม่เคยเห็นเขาเลยด้วยซ้ำ! ท่านอา ท่านคืออาจารย์ที่แท้จริงของข้า คนนั้นก็แค่อาจารย์ขี้งกที่ถูกยัดเยียดมาให้ข้าเท่านั้นล่ะ!”
พอได้ยินเช่นนี้ โม่เทียนเกออดไม่ได้ที่จะระเบิดหัวเราะออกมา อาจารย์ขี้งก… คนทั้งคู่ อาและหลานเห็นพ้องต้องกันในประเด็นนี้จริงๆ แม้แต่อาจารย์ของพวกเขาก็ถูกเลือกและตัดสินใจโดยคนอื่น
“อีกอย่างหนึ่ง ท่านอา แล้วอาจารย์คนนั้นของข้าหน้าตาเป็นอย่างไร หวาหลิงบอกว่าเขาเคยเจอเขาเมื่อตอนเด็กๆ แต่เขาก็จำไม่ค่อยได้ ศิษย์พี่ผู้ชายและผู้หญิงคนอื่นๆ บอกว่าข้าโชคดีเพราะอาจารย์ของข้าเก่งที่สุดในหมู่ผู้ฝึกตนคนรุ่นใหม่แห่งโรงเรียนเสวียนชิง เขาอยู่ในขั้นสุดท้ายของดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังแล้วตอนนี้ ถ้าเขาสร้างจิตวิญญาณใหม่ของเขาสำเร็จในร้อยปี ข้าก็จะกลายเป็นผู้โชคดี อา… อย่างไรก็ตาม พวกเขาบอกว่าข้าโชคดีเกิน…” พอสัมผัสได้ว่าเขาพูดจาสามหาวเกินไป เยี่ยเจินจีจึงหยุดพูดทันที
โม่เทียนเกออดที่จะยิ้มไม่ได้ นั่นก็เป็นเรื่องจริง การเป็นศิษย์ภายในชั้นสูงของผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังและเป็นศิษย์ภายในชั้นสูงของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่นั้นยังห่างไกลกันหลายโยชน์ ถ้าฉินโส่วจิ้งสร้างจิตวิญญาณใหม่ของเขาสำเร็จจริงๆ สถานะของเจินจีก็จะสูงขึ้นไปด้วย ถึงแม้จะเป็นศิษย์ของเขาแค่ในนามก็ตาม เมื่อถึงจุดนั้น ไม่ว่าจะเป็นส่วนแบ่งของศิษย์ ถ้ำเซียน หรือทรัพยากรต่างๆ ทุกอย่างจะแตกต่างอย่างมากกับที่เขามีอยู่ตอนนี้ ย้อนไปสมัยที่นางได้รับการสั่งสอนจากอาจารย์ลุงเสวียนอิน ผลประโยชน์ที่โม่เทียนเกอได้รับก็แค่มากมายขึ้นนิดหน่อย อย่างไรก็ตาม หลังจากนางกลายเป็นศิษย์ของประมุขเต๋าจิ้งเหออย่างเป็นทางการ ความมั่งคั่งของนางก็เทียบได้กับผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังจากกลุ่มการฝึกตนทั่วไปเลยทีเดียว
“อืม… ย้อนไปเมื่อตอนที่ท่านปรมาจารย์ให้เจ้าเป็นศิษย์ภายในชั้นสูงของท่านอาจารย์เจ้า เขาก็มีความคิดเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม ท่านอาจารย์ของเจ้าตอนนี้อยู่ในการปิดประตูแห่งจิตทำสมาธิอย่างเคร่งครัดและเราก็ไม่รู้ว่าเขาจะออกมาเมื่อใด แต่ต่อให้เขาใช้เวลาหลายร้อยปีเพื่อสร้างจิตวิญญาณใหม่ของเขา เจ้าก็ไม่ได้เสียหายอะไร”
“จริงด้วย…” เยี่ยเจินจีพูดขณะที่เกาหัว ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่เคยตั้งความหวังไว้กับอาจารย์คนนั้นอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รู้สึกผิดหวัง คนที่สอนเขาอย่างแท้จริงเกี่ยวกับการฝึกตนก็คืออาของเขา สำหรับเขาแล้ว ไม่ว่าอาจารย์ขี้งกคนนั้นจะอยู่หรือไม่อยู่ก็ไม่ได้สำคัญอะไรเลย
“ท่านอา ท่านยังไม่ได้บอกข้าเลยว่าท่านอาจารย์ของข้าหน้าตาเป็นอย่างไร!”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของโม่เทียนเกออีกครั้ง “ถ้าข้าบอกเจ้าว่าข้าเองก็ไม่เคยเห็นเขาเหมือนกันล่ะ”
เยี่ยเจินจีเบิกตากว้าง “เป็นไปได้อย่างไร ทุกคนบอกว่าความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับอาจารย์ไม่ธรรมดา…”
“งั้นรึ” โม่เทียนเกอขมวดคิ้ว “มันจะไม่ธรรมดาได้อย่างไร พวกเขาพูดกันว่าอย่างไร”
“พวกเขาบอกว่า… ตอนแรกท่านถูกรับเข้ามาในโรงเรียนภายใต้การแนะนำของท่านอาจารย์ ท่านปรมาจารย์เพียงแค่รับท่านเป็นศิษย์ของเขาเพราะเขาคำนึงถึงความประสงค์ของท่านอาจารย์ ทั้งหมดก็น่าจะมีเท่านี้…”
สีหน้าของโม่เทียนเกออ่อนลง “ตอนที่ข้าเข้าโรงเรียนมา ท่านอาจารย์ของเจ้าก็เป็นผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังแล้ว เขาจะโผล่มาด้วยตัวเองงั้นหรือ”
หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย เยี่ยเจินจีพยักหน้า “นั่นก็จริง”
“สิ่งที่พวกเขาพูดก็ถูก ในหมู่คนรุ่นใหม่ของผู้ฝึกตนโรงเรียนเสวียนชิง ท่านอาจารย์ของเจ้าคือคนที่มีโอกาสประสบความสำเร็จในการเข้าสู่ดินแดนจิตวิญญาณใหม่สูงที่สุด ด้วยความเร็วในการฝึกตนของท่านอาจารย์เจ้า เป็นไปได้ที่เขาจะสร้างจิตวิญญาณใหม่ได้ภายในเวลาราวๆ ร้อยปี มันไม่สำคัญว่าเขาจะไม่ออกมาจากการปิดประตูแห่งจิตในช่วงเวลานี้ แต่ถ้าเขาออกมา เจ้าก็ยังต้องเคารพเขา นี่คือสิ่งที่ท่านปรมาจารย์ของเจ้าต้องการ”
“อืม…” เยี่ยเจินจีหยุดเพียงสั้นๆ แล้วจึงพูดว่า “แต่ข้ามีท่านอยู่แล้ว อาจารย์ก็เป็นแค่อาจารย์ในนามของข้า…”
พอได้ยินคำพูดของเด็กคนนี้ โม่เทียนเกอยิ้มเยาะตัวเอง “ดูอายุและระดับการฝึกตนของข้าสิ เจ้าน่าจะสร้างฐานแห่งพลังได้ภายในอีกสิบกว่าปีข้างหน้า และข้าก็คงยังไม่สามารถเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังในช่วงเวลานั้นได้แน่ ข้าให้ความช่วยเหลือเจ้าได้แบบมีขีดจำกัด…”
“ข้าไม่ใช่คนโลภ!” เยี่ยเจินจีประกาศ “ถ้าไม่ใช่เพราะท่านอา ข้าคงไม่ได้เป็นคนอย่างที่ข้าเป็นทุกวันนี้ ไม่ว่าอาจารย์ขี้งกคนนั้นจะดีแค่ไหน แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย”
เมื่อนางได้ยินเช่นนั้น โม่เทียนเกอทั้งมีความสุขและเป็นห่วง นางมีความสุขกับความจริงที่ว่าหลังจากสิบปีของการสั่งสอนเขา นางไม่ได้ปล่อยให้เขาโตมาเป็นคนที่มีนิสัยเห็นแก่ได้ อย่างไรก็ตาม นางเป็นห่วงเพราะความจริงที่ว่าเขาไม่มีประสบการณ์มากพอและไม่รู้จักโต
ท้ายที่สุดนางก็เตือนเขา “มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตหากเจ้าพูดเช่นนี้แบบส่วนตัว แต่เจ้าต้องห้ามพูดคำพูดคำจาเช่นนั้นกับคนอื่นในอนาคต”
“ข้ารู้ วางใจเถอะท่านอา”
“อืม มีอะไรอีกไหมที่เจ้ายังไม่มั่นใจ”
เมื่อได้ยินคำถามของโม่เทียนเกอ เยี่ยเจินจีเดินเข้ามาหานางอีกครั้ง “ท่านอา ท่านต้องกลับมาเร็วๆ นะ ข้าจะพยายามอย่างหนักเพื่อที่ข้าจะได้สร้างฐานแห่งพลังให้ได้ตอนที่ท่านไม่อยู่”
สิ่งที่เขาพูดทำให้โม่เทียนเกอหัวเราะ สุดท้ายแล้วนางก็ยังเอื้อมมือไปเพื่อลูบหัวเขาอยู่ดี “ไปอยู่เป็นเพื่อนแม่เจ้าเถอะ เจ้าทั้งสองไม่ได้เจอกันมาหลายปี นางคงคิดถึงเจ้ามากจนนางพูดถึงเจ้าไม่หยุด เล่าให้นางฟังทุกอย่างที่สามารถบอกได้ อย่าทำให้นางต้องเป็นกังวล”
“ข้ารู้”
โม่เทียนเกอเปิดกำแพงอาคม จากนั้นจึงนั่งขัดสมาธิและหลับตา
เยี่ยเจินจีลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนเขาจะออกไปในที่สุด
หลังจากที่นางได้ยินเสียงประตูปิดแล้วเท่านั้นโม่เทียนเกอถึงลืมตาอีกครั้ง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความกังวล
เด็กคนนี้… เหมือนกับที่นางเป็นเมื่อหลายปีก่อน บางทีนางอาจจะไม่ได้ระวังมากพอในการเลี้ยงดูเขา นางอาจจะให้ความใส่ใจเขามาก แต่ความใส่ใจของนางก็ทำให้เขามีนิสัยชอบพึ่งพา หลายปีก่อนนางก็ต้องพึ่งท่านอาของนางเช่นกันและเป็นเหตุให้นางโศกเศร้าอย่างมากเมื่อเขาตายจากไป มากจนนางหวังว่านางอยากจะตายไปกับเขาด้วย
นางไม่ได้คิดว่าความรู้สึกลึกซึ้งพวกนี้เป็นสิ่งไม่ดี แต่เพราะความรู้สึกลึกซึ้งจำเป็นต้องมีหัวใจที่เปิดกว้างเพื่อรองรับความรู้สึกเหล่านั้น เหมือนกับที่คัมภีร์แห่งเต๋ากล่าวไว้ว่า “ชาวลัทธิเต๋าลืมอารมณ์ความรู้สึก การลืมอารมณ์ความรู้สึกไม่ใช่ไม่รู้สึก การลืมอารมณ์ความรู้สึกคือการแยกตัวออกมาและไม่สะทกสะท้านกับอารมณ์ราวกับว่าอารมณ์ความรู้สึกเหล่านั้นถูกลืม” ผู้ฝึกตนไม่จำเป็นต้องไร้กังวล ผู้ฝึกตนบางคนก็เป็นคนใจกว้าง บางคนมีความรักต่อคู่แต่งงานเช่นเดียวกับความรักใคร่ต่อผู้สืบสกุล แต่นั่นก็ไม่ได้กระทบกับการฝึกตนของพวกเขา ในทางกลับกัน ศิษย์ธรรมดายังไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เพราะเหตุนั้น กลุ่มการฝึกตนจึงไม่เห็นด้วยกับการที่ศิษย์จะติดต่อกับครอบครัวหรือตระกูลมากเกินไป
นั่นคือปัญหาที่เยี่ยเจินจีกำลังเผชิญอยู่ พวกเขารู้จักกันมาสิบปีซึ่งระหว่างช่วงเวลานั้นนางรับบทเป็นอาจารย์ พ่อ แม่ และพี่สาวของเขา ความรู้สึกที่เขามีต่อนางก็เหมือนกับความรู้สึกที่นางมีต่อท่านอาที่สองในตอนนั้น
แต่ตอนนี้เขายังเด็กเกินไป โม่เทียนเกอจำได้ว่าเมื่อก่อนนางเป็นอย่างไร ตอนนางอายุเท่าๆ เขาก็พอดีกับที่นางต้องเสียท่านอาไป ในตอนนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะนางมีฉินซีคอยสนับสนุนนาง นางอาจจะไม่ได้กลับมาเป็นปกติได้เร็วนัก…
ขณะที่นางคิดถึงชื่อนี้ นางก็รู้สึกเจ็บปวดหัวใจขึ้นมาชั่วขณะหนึ่งราวกับมันถูกเข็มนับไม่ถ้วนทิ่มแทง แต่ไม่นานนางก็กลับมาสงบนิ่งได้อีกครั้ง
นี่คือโชคชะตาของนางเช่นเดียวกับเคราะห์กรรมของนาง ถ้าสิ่งต่างๆ ไม่เป็นเช่นนี้ บางทีนางอาจจะต้องใช้เวลานานมากเพื่อฟื้นฟูสภาวะจิตใจ ถ้าสิ่งต่างๆ ไม่เป็นเช่นนี้… นางก็คงไม่ได้ตกหลุมรักเขาอย่างง่ายดายนัก
โชคดีที่นางตัดความรู้สึกเหล่านั้นออกได้อย่างมีเหตุผล เมื่อนางรู้บางสิ่งในตอนหลังได้คร่าวๆ นางก็ยิ่งรู้สึกดีใจมากขึ้นที่นางตัดสินใจเด็ดขาดในตอนนั้น
เมื่อนางคิดมาถึงตรงนี้ โม่เทียนเกอนวดหว่างคิ้วและส่ายหัว
ลืมมันซะ ไม่จำเป็นต้องคิดให้มากเกินไป ข้าคือตัวข้าและเจินจีคือเจินจี ความแตกต่างระหว่างผู้ชายและผู้หญิงก็สะท้อนถึงธรรมชาติของพวกเขาเช่นกัน บางทีในระหว่างที่นางไม่อยู่ เจินจีอาจจะได้คบค้าสมาคมกับคนประเภทอื่นๆ อีกมากมายและการที่เขาต้องพึ่งพานางก็อาจจะลดลงด้วย แต่สำหรับว่าเขาจะเข้าใจเรื่องนี้ได้เต็มที่หรือไม่… นั่นคงจะต้องมีชะตาลิขิต
ในตอนรุ่งเช้าของวันที่สอง โม่เทียนเกอเก็บข้าวของและออกจากบ้านพักของตระกูลเยี่ย
สมาชิกทั้งหมดของตระกูลเยี่ยออกมาเพื่อส่งนาง
เมื่อคืนนางปล่อยให้เยี่ยเจินจีเก็บเอายาวิเศษ เครื่องมือวิญญาณ และของอื่นๆ ซึ่งไม่มีประโยชน์กับนางแล้วเพื่อเอาไปให้กับหัวหน้าตระกูลเยี่ย สำหรับเรื่องนี้ หัวหน้าตระกูลเยี่ยรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก
ตระกูลเยี่ยอยู่ในโลกมนุษย์มาเป็นเวลานาน ดังนั้นพวกเขาจึงใช้ของที่เก็บออมไว้ไปจนหมดตั้งนานแล้ว ย้อนกลับไปเมื่อพวกเขาส่งเยี่ยเจินจีไปที่โรงเรียน พวกเขาสามารถหามาได้แค่ศิลาวิญญาณสองถึงสามอันและยาวิเศษอีกเล็กน้อย ความแร้นแค้นของพวกเขาสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน
การใช้ตัวตนของนางในฐานะอาจารย์ลุงของเยี่ยเจินจีเป็นข้ออ้าง โม่เทียนเกอให้ยาวิเศษพวกเขามากกว่าสิบสองขวดและเครื่องมือวิญญาณประมาณสิบอย่าง ซึ่งถือว่าเป็นโชคดีของตระกูลเยี่ย
ที่จริงยาวิเศษเหล่านั้นคือของเหลือจากเมื่อตอนโม่เทียนเกอฝึกปรุงยา เครื่องมือวิญญาณก็เสียหายจากการฆ่าผู้ฝึกตนอื่นๆ เมื่อหลายปีก่อน ไม่มีของชิ้นไหนที่มีประโยชน์เป็นพิเศษ ดังนั้นนางจึงไม่เคยมอบให้เยี่ยเจินจีและแค่โยนมันทิ้งไว้อยู่ในซอกหลืบกระเป๋าเอกภพของนาง บัดนี้เป็นเวลาอันควรที่จะนำมันออกมาใช้ได้แล้ว
“เจินจี ข้าจะทิ้งเสี่ยวหั่วไว้กับเจ้า ดูแลมันให้ดีล่ะ เมื่อเจ้ากลับไป พามันกลับไปที่โรงเรียนกับเจ้าด้วยนะ เข้าใจไหม”
“อืม” เยี่ยเจินจีพยักหน้าและรับสัตว์วิเศษไฟนรกไปจากนาง ตลอดสิบปีที่ผ่านมา สามารถกล่าวได้ว่าเขาโตมาด้วยกันกับเสี่ยวหั่ว ความรู้สึกระหว่างเขาและสัตว์ตัวนี้สนิทชิดเชื้อกันมาก เขาจึงอุ้มเสี่ยวหั่วไว้ในอ้อมแขนได้อย่างง่ายดาย
พอเห็นสัตว์วิเศษไฟนรก สมาชิกทุกคนของตระกูลเยี่ยล้วนเบิกตากว้าง
ผู้ฝึกตนตระกูลเยี่ยสามารถเห็นได้ว่าสัตว์วิเศษไฟนรกตัวนี้เป็นสัตว์ระดับสอง สัตว์ระดับสองนั้นเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังขั้นกลาง แต่โม่เทียนเกอกลับมอบมันให้เยี่ยเจินจีด้วยความเต็มใจ!
“ท่านผู้อาวุโส!” เยี่ยเฉิงเข้ามาหาและชี้ไปที่สัตว์วิเศษไฟนรกในอ้อมกอดของเยี่ยเจินจีพร้อมพูดด้วยความกลัว “ให้สัตว์วิเศษตัวนี้ไว้กับเจินเอ๋อร์มันจะไม่ค่อยเหมาะหรือเปล่าขอรับ”
โม่เทียนเกอหันไปมองเขา “ท่านหัวหน้าตระกูลเห็นว่ามีปัญหาอะไรรึ”
เยี่ยเฉิงกล่าว “นี่คือสัตว์วิเศษระดับสอง คาดว่ามันน่าจะมีประโยชน์กับท่าน หากท่านให้มันกับเจินเอ๋อร์ แล้วตัวท่านล่ะขอรับ”
“ต่อให้สัตว์วิเศษตัวนี้อยู่กับข้า มันก็ไม่ได้มีประโยชน์มากนัก ดังนั้นข้าน่าจะทิ้งมันไว้ให้อยู่ในความดูแลของเจินจีดีกว่า วางใจเถิดท่านหัวหน้าตระกูลเยี่ย เจินจีโตมากับเสี่ยวหั่ว ดังนั้นระหว่างพวกเขาจึงมีความรู้สึกที่ดีต่อกัน มันจะไม่มีทางทำร้ายเจินจี”
“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น…”
โม่เทียนเกอรู้ว่าเขาแค่กังวล ดังนั้นนางจึงโบกมือและตัดบทเขา “ท่านหัวหน้าตระกูลเยี่ยสามารถวางใจได้ เอาล่ะ เจินจี อาจารย์ลุงจะไปแล้ว เจ้าอยู่ที่นี่ได้เป็นเวลาหลายเดือนแต่จำไว้ว่าต้องกลับไปที่โรงเรียนให้ตรงเวลา ถ้าเจ้าพลาดการทดสอบ เจ้าจะต้องรอไปอีกสามปีเพื่อการทดสอบครั้งต่อไป”
“ข้ารู้ อาจารย์ลุงโปรดจงมั่นใจ ข้าเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้”
“อืม ถ้าเช่นนั้นข้าไปล่ะ พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องไปส่งข้าหรอก” หลังจากนางพูดเช่นนั้นจบ โม่เทียนเกอไม่พูดเยิ่นเย้ออีกต่อไปและแค่โบกมือเรียกผ้าเช็ดหน้าไหมขาว ขณะที่นางขึ้นเหาะบนนั้น นางเปลี่ยนเป็นแสงเหิน [1] ซึ่งหายไปสู่ขอบฟ้า
——
[1] แสงเหิน (遁光) คือวิธีการบินอย่างหนึ่ง พลังวิญญาณจะถูกรวบรวมเข้าด้วยกันในตอนแรกและจากนั้นจึงปล่อยออกมาเป็นพลังของมัน ทำให้ผู้ใช้เคลื่อนที่ครอบคลุมได้ถึง 500 กม.ต่อวัน