ตอนที่ 155-1 การผันผวนของพลังทางจิตวิญญาณ

ลำนำสตรียอดเซียน

ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวลอยขึ้น เปลี่ยนเป็นลำแสงสว่างกระจ่างข้ามท้องฟ้า วิชาการเหาะเช่นนี้ทำให้ผู้ฝึกตนระดับต่ำในตระกูลเยี่ยรู้สึกหลงใหลอย่างไร้ที่สิ้นสุด ผู้ฝึกตนคนอื่นในเขตถงอันก็มีท่าทีที่เปลี่ยนไปเมื่อรู้สึกถึงแรงกดดันพลังทางจิตวิญญาณที่เป็นของผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลัง ภายหลังที่แรงกดดันจากพลังทางจิตวิญญาณได้ผ่านไประยะเวลาหนึ่ง พวกเขาจึงกล้าที่จะเงยหน้าขึ้นเพื่อมองดูรอบตัว

 

 

เมื่อนางได้ห่างจากเขตถงอันระยะหนึ่ง โม่เทียนเกอผู้ซึ่งกำลังขี่ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวก็หยุดปล่อยแรงกดดันของพลังทางจิตวิญญาณจากร่างของนาง สาเหตุที่นางจงใจเผยให้เห็นถึงแรงกดดันพลังทางจิตวิญญาณของนางในเขตถงอันเพราะนางต้องการที่จะขู่คนอื่นให้กลัว นางต้องการให้พวกเขารู้ว่าตระกูลเยี่ยนั้นเกี่ยวข้องกับผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังดังนั้นพวกเขาจะได้ไม่กล้าที่จะรังแกตระกูลเยี่ย

 

 

นี่เป็นโลกมนุษย์ ผู้ฝึกตนเดี่ยวส่วนมากในโลกมนุษย์ไม่มีโอกาสที่จะสำเร็จในลัทธิเต๋าอันยิ่งใหญ่ ดินแดนการฝึกตนของพวกเขานั้นเปลี่ยนแปลงอย่างมากที่สุดคืออยู่ระหว่างชั้นแรกถึงชั้นสามของดินแดนการหลอมรวมพลังวิญญาณ ดังนั้นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังนั้นก็เพียงพอแล้วที่จะขู่พวกเขา

 

 

ความเร็วในการเหาะของผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังนั้นไม่ได้ช้าแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นผ้าเช็ดหน้าไหมขาวนั้นก็เป็นอาวุธเวทบินได้ที่พิเศษ เพียงแค่ครึ่งวันโม่เทียนเกอก็ได้ออกจากเขตของแคว้นเว่ยแล้ว

 

 

ในขณะที่นางอยู่ที่ตระกูลเยี่ย เยี่ยเฉิงบอกเล่าข้อมูลที่ตระกูลเยี่ยเก็บรวบรวมมาได้ตั้งแต่หลายสิบปีที่ผ่านมาให้กับโม่เทียนเกอฟัง ความจริงแล้ว เส้นเลือดวิญญาณส่วนมากที่ปรากฏในขั้วแห่งท้องฟ้านั้นตั้งอยู่ที่คุนอู๋ ถึงแม้ว่าจะมีเส้นเลือดวิญญาณบ้างในโลกแห่งมนุษย์ แต่ทั้งหมดล้วนแต่เปราะบางจนแม้กระทั่งกลุ่มผู้ฝึกตนเล็กๆ ยังไม่สนใจมัน ดังนั้นมันจึงไม่มีทางที่จะมีชะตาลิขิตสำหรับนาง และเพราะเหตุนั้น โม่เทียนเกอจึงไม่มีความประสงค์ที่จะค้นหาถึงจุดซ่อนลับที่ตระกูลเยี่ยบอกนาง นางเพียงแค่วางแผนจะไปยังที่ที่ไม่คุ้นเคยเพื่อเก็บพืชวิญญาณหรือไม่ก็ตามหาวัตถุวิญญาณบางอย่าง

 

 

ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแคว้นเว่ยคือแคว้นจิ้น ดังนั้นโม่เทียนเกอจึงตั้งใจที่จะเดินทางกลับไปยังหมู่บ้านตระกูลโม่ในเมืองเหลียนเฉิงด้วยเสียเลย นางต้องการที่จะเข้าไปทำความเคารพต่อแม่ของนางและนำสิ่งที่หลงเหลืออยู่ของแม่กลับไปกับนาง หากในอนาคตยังมีโอกาส นางก็ต้องการที่จะฝังแม่และพ่อของนางไว้ด้วยกัน

 

 

ในตอนที่พ่อของนางตายบนภูเขามารปีนั้น ฉินโส่วจิ้งนำข่าวกลับมาบอกเพียงแค่ว่าเขาฝังกระดูกพ่อของนางไว้ ณ จุดที่เขาตายบนภูเขามาร โม่เทียนเกอตัดสินใจมาเป็นเวลานานมากแล้วว่าถ้าในอนาคตหากนางสามารถก้าวเข้าสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้ นางจะเดินทางไปยังภูเขามารเพื่อหากระดูกพ่อของนางขณะที่กำแพงอาคมรอบภูเขามารอ่อนกำลังลง และฝังเขาไว้ร่วมกันกับแม่ของนาง เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่แม่ของนางปรารถนามาตลอดชีวิตคือได้พบเจอกับเขาอีกครั้ง

 

 

ในขณะที่นางอยู่ที่นั่น นางก็ต้องการที่จะแจ้งครอบครัวโม่เกี่ยวกับการตายของเทียนเฉี่ยวด้วยเช่นกัน

 

 

ในตอนที่นางเป็นเด็ก นางเห็นครอบครัวโม่เป็นครอบครัวที่เย็นชาและไร้ความรู้สึก ถ้าเทียนเฉี่ยวไม่ได้อยู่ที่นั่น นางก็คงจะไม่ต้องการอยู่ที่นั่นแม้เพียงวันเดียว ตอนนี้นางไม่ใช่เด็กกำพร้าที่สูญเสียพ่อแม่คนนั้นอีกแล้ว ตอนนี้นางคือผู้ฝึกตนที่มีพละกำลังมากไปด้วยพลังเวท

 

 

เมื่อนางนึกถึงอดีต นางก็อยากจะถอนใจ ความจริงแล้ว อากง อาม่า และคนอื่นๆ นั้นไม่ใช่คนไม่ดี มันเป็นเพียงแค่มุมมองของเด็ก พวกเขาไม่ได้มอบความรักให้กับนางมากพอ นางเข้าใจพวกเขาแต่มันก็ยังคงเป็นเรื่องยากสำหรับนางที่จะรู้สึกสนิทใจกับพวกเขา

 

 

หลังจากที่นางเข้าสู่เขตแดนของแคว้นจิ้น โม่เทียนเกอก็ต้องขมวดคิ้ว เปลี่ยนทิศทางและเหาะไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ

 

 

นางสัมผัสได้ถึงการผันผวนของพลังทางจิตวิญญาณที่แปลกประหลาด มันไม่ใช่การผันผวนของพลังทางจิตวิญญาณที่เกิดจากการต่อสู้ด้วยพลังเวท และมันก็ไม่คล้ายแรงกดดันของพลังทางจิตวิญญาณของผู้ฝึกตนระดับสูง

 

 

นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่นางจะตัดสินใจเดินทางไปดู การผันผวนของพลังทางจิตวิญญาณนั้นไม่แรงมากแต่มันค่อนข้างแปลก นี่เป็นโลกมนุษย์ดังนั้นจึงไม่น่าจะมีผู้ฝึกตนระดับสูงที่นี่ ระดับการฝึกตนของนางในทุกวันนี้ค่อนข้างสูง และนางก็มีอาวุธเวทมากมาย นางไม่น่าจะตกอยู่ในอันตรายมากนัก

 

 

อย่างไรก็ตาม ยิ่งนางเข้าใกล้แหล่งที่พลังทางจิตวิญญาณผันผวนมากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งขมวดคิ้วหนักมากขึ้นเท่านั้น การผันผวนของพลังทางจิตวิญญาณนั้นบริสุทธิ์มาก และนางก็ยังได้ยินเสียงกระหึ่มของลมและสายฟ้า หรือนี่จะเป็นการกำเนิดของสมบัติที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นงั้นหรือ

 

 

เมื่อมีความคิดเช่นนั้น โม่เทียนเกอจึงใช้ศาสตร์ในการควบคุมผ้าเช็ดหน้าไหมขาวให้เหาะไปด้านหน้าให้เร็วที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น นางยังคงแผ่จิตสัมผัสของนางออกไป เป็นไปอย่างที่นางคาดเดา มีผู้ฝึกตนคนอื่นกำลังมุ่งหน้าไปเช่นกัน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นแค่ผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณก็ตาม ชั่วขณะที่พวกเขาเข้ามาสัมผัสกับจิตสัมผัสของนาง พวกเขาก็รู้ได้ทันทีว่ามีผู้อาวุโสระดับการสร้างฐานแห่งพลังอยู่ที่นี่ และลดความเร็วของตัวเองลงในทันที

 

 

ยิ่งโม่เทียนเกอเหาะไปนานเท่าไหร่ นางก็ยิ่งงุนงงอย่างที่สุด แหล่งกำเนิดของพลังทางจิตวิญญาณไม่ได้อยู่ใกล้อย่างที่นางคิด นางเหาะมาเป็นเวลานานแต่นางก็สัมผัสได้ว่าระยะห่างของนางกับพลังทางจิตวิญญาณนั้นไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย

 

 

การผันผวนของพลังทางจิตวิญญาณนี้ค่อยๆ ดึงความสนใจจากผู้ฝึกตนในโลกมนุษย์มากยิ่งขึ้น หลังจากที่เหาะอยู่หลายชั่วโมง โม่เทียนเกอเริ่มที่จะสัมผัสได้ถึงผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังคนอื่นที่ร่วมเสาะแสวงหาด้วยเช่นกัน

 

 

ถึงแม้ว่าผู้ฝึกตนส่วนมากในโลกมนุษย์นั้นจะเป็นผู้ฝึกตนการหลอมรวมพลังวิญญาณระดับต่ำ แต่ก็ยังมีผู้ฝึกตนในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังและดินแดนสูงกว่าผู้ซึ่งผ่านมาพอดี บางทีพวกเขาก็คงเหมือนกันกับนางที่บังเอิญสัมผัสได้ถึงการผันผวนของพลังทางจิตวิญญาณนี้และออกตามหาแหล่งที่มา

 

 

ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังรักษาระยะห่างระหว่างกันอย่างเข้าใจกันแบบมีนัยยะ แต่ทุกคนล้วนพยายามถึงขีดสุดที่จะหาแหล่งที่มานั้น

 

 

อีกหลายชั่วโมงต่อมา การผันผวนของพลังทางจิตวิญญาณนั้นเริ่มชัดเจนมากยิ่งขึ้น ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังต่างยินดี ทุกคนล้วนเร่งความเร็วยิ่งขึ้นไปอีก

 

 

ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวของโม่เทียนเกอนั้นดีกว่าเครื่องมือเวทบินได้ของเหล่าผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังคนอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ช่วงขณะที่นางพบว่ามีผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังคนอื่น นางก็ไม่ได้ใช้พลังของมันอย่างเต็มกำลังและคงความเร็วในการเหาะให้เทียบเท่ากับคนอื่นๆ สาเหตุที่นางทำเช่นนี้เพราะนางคุ้นเคยกับการที่ต้องระมัดระวังตัว การผันผวนของพลังทางจิตวิญญาณนี้ไม่ธรรมดา ดังนั้นแทนที่จะเร่งความเร็วให้ไปถึงก่อนคนอื่นๆ นางคิดว่านางควรที่จะไปถึงพร้อมกับคนอื่นๆ คงจะดีกว่า มันจะปลอดภัยกับนางมากกว่าด้วยวิธีนั้น อีกอย่างนางได้ลองตรวจสอบผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังทั้งหมดนั้นและพบว่าล้วนอยู่เพียงแค่ระดับต้นเท่านั้น ถ้ามันเป็นสมบัติที่มีเอกลักษณ์จริงๆ ขึ้นมา นางก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกลัวพวกเขา

 

 

ขณะที่พวกเขายังคงเหาะต่อไป การผันผวนของพลังทางจิตวิญญาณยิ่งชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพราะสิ่งนั้น โม่เทียนเกอรู้ได้ทันทีว่าแหล่งต้นกำเนิดของการผันผวนของพลังทางจิตวิญญาณนั้นจะต้องอยู่ใกล้มากขึ้นแล้ว

 

 

แสงเหินของผู้ฝึกตนคนอื่นสามารถมองเห็นได้แล้วด้วยตาเปล่า มีคนจำนวนหนึ่งที่คิดเช่นเดียวกันกับนาง แต่พวกเขาล้วนหลีกเลี่ยงนาง สุดท้ายแล้วด้วยระดับการฝึกตนในจุดสูงสุดของขั้นกลางเช่นนาง นางเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มพวกเขาทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเองก็ยังไม่รู้ว่านางเป็นสหายหรือศัตรู มันจะเป็นการดีกว่าสำหรับพวกเขาที่เว้นระยะห่างออกจากนาง

 

 

ในขณะนี้ ผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณไม่ได้เข้าร่วมการไล่ตามนี้อีกต่อไปแล้ว ถึงแม้ระหว่างทางจะมีผู้ฝึกตนระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณสัมผัสได้ถึงการผันผวนของพลังทางจิตวิญญาณและเหาะเข้าหา แต่พวกเขาก็ต้องถูกแรงกดดันของพลังทางจิตวิญญาณจากผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังและตัดสินใจที่จะยอมแพ้ล่าถอยไป

 

 

แรงกดดันของพลังทางจิตวิญญาณชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ จิตสัมผัสของโม่เทียนเกอสามารถจับแหล่งที่มาของพลังทางจิตวิญญาณนั้นได้แล้ว ในขณะเดียวกัน นางก็สัมผัสได้ถึงจิตสัมผัสของผู้ฝึกตนคนอื่นที่วิ่งเข้ามาหานาง

 

 

หลังจากนั้นนางก็เห็นผู้ฝึกตนพุ่งมาจากทิศทางอื่นๆ

 

 

นางคิดเพียงครู่เดียวก่อนที่จะกระทืบเท้าลงบนผ้าเช็ดหน้าไหมขาว ทันใดนั้น ความเร็วของนางก็เพิ่มขึ้น และนางรีบเหาะตรงไปยังแหล่งต้นกำเนิดแรงกดดันของพลังทางจิตวิญญาณ ทิ้งให้ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังเหล่านั้นไว้เบื้องหลัง

 

 

เมื่อเห็นแสงเหินสีขาวของนางหายไปจากเส้นขอบฟ้า เหล่าผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังผู้ซึ่งเหาะมาเป็นเวลาหลายชั่วโมงหน้าซีดด้วยความกลัว ความเร็วเช่นนี้… คนผู้นั้นสามารถทิ้งพวกเราไว้เบื้องหลังได้ตั้งนานแล้ว! คาดว่าท่านพี่แห่งเต๋านั้นอ่อนข้อให้พวกเราก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้เขาเร่งความเร็ว… หรือบางทีเขาอาจจะค้นพบอะไรบางอย่าง?

 

 

ด้วยความคิดเช่นนี้ ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังหลายคนจึงเร่งความเร็วทันทีเพื่อไล่ตามนางไป

 

 

อย่างไรก็ตาม คนหนึ่งบ่นพึมพำ “แสงเหินนั้นเป็นสีขาว ดูเหมือนว่าคนผู้นั้นไม่ใช่คนที่จะล้อเล่นด้วยได้ ข้าช้าลงเสียหน่อยคงจะดีกว่า”

 

 

สีของแสงเหินของคนนั้นจะสอดคล้องกับรากวิญญาณและวิชาในการฝึกตนหลักของพวกเขา ถ้าคนที่มีรากวิญญาณธาตุทองและฝึกวิชาการฝึกตนที่มีองค์ประกอบของธาตุทอง แสงเหินของพวกเขาก็จะเป็นสีทอง ถ้าพวกเขาใช้วิชาของธาตุไม้ แสงก็จะเป็นสีเขียว ธาตุน้ำก็จะเป็นสีฟ้า ธาตุไฟก็จะเป็นสีแดง และธาตุดินก็จะเป็นสีเหลือง คนที่มีรากวิญญาณผสม แสงเหินของพวกเขาก็จะเป็นหลากสีซะส่วนใหญ่และไม่มีทางที่จะเป็นสีขาวได้อย่างแน่นอน

 

 

แสงเหินสีขาวหมายความว่าผู้นั้นเป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังที่หาได้ยากยิ่งจากรากวิญญาณทั้งห้าหรือไม่ก็เป็นผู้ฝึกตนที่ฝึกวิชาการฝึกตนที่มีเอกลักษณ์ ผู้ฝึกตนที่มีรากวิญญาณห้าธาตุนั้นมีประสบการณ์และความยากลำบากมามากกว่าเมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนทั่วไป ในขณะที่ผู้ฝึกตนที่ฝึกวิชาที่เป็นเอกลักษณ์นั้นก็จะมีความเชี่ยวชาญพิเศษ ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นประเภทไหนก็ตาม พวกเขาจะต้องแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกตนทั่วๆ ไปอย่างแน่นอน

 

 

น่าเสียดายที่ผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังคนอื่นโลภต่อการครอบครองสมบัตินั้น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้คำนึงถึงจุดนี้แม้แต่น้อย