เฟิ่งซีก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออกเช่นกันเมื่อได้ยินวาจาของมังกรเหมันต์ ‘ขอบเขตนภาเซียน’ เรียกได้ว่าเป็นขอบเขตพลังยุทธ์ในตำนาน แม้แต่นิกายหงส์มังกรของเขา เขาก็ไม่เคยได้ยินว่ามีจอมยุทธ์คนใดที่บรรลุขอบเขตนภาเซียนด้วยซ้ำ
คนอื่น ๆ โดยรอบล้วนชะงักค้างไม่ต่างกัน นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้พบยอดฝีมือขอบเขตนภาเซียนกับตาของตัวเอง แล้วพวกเขาจะไม่ตกตะลึงได้อย่างไร ?
“นายน้อยขอรับ เรารีบหนีกันก่อนเถอะ ฉินอวี้โม่ผู้นี้เป็นศัตรูกับเราและตอนนี้เราก็ทราบถึงตัวตนของนาง หากนางลืมตาขึ้นมา เกรงว่าเราคงจะไม่มีโอกาสหลบหนีไปไหนได้”
ศิษย์คนหนึ่งของนิกายหงส์มังกรกระซิบกระซาบเบา ๆ ข้างหูเฟิ่งซีขณะสายตามองไปที่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉืออย่างเป็นกังวล
สีหน้าของเฟิ่งซีเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินวาจาของผู้ติดตาม เขาชำเลืองมองไปที่ฉินอวี้โม่ผู้ซึ่งยังทะลวงพลังไม่สมบูรณ์โดยอัตโนมัติและพยักศีรษะเบา ๆ
จากนั้นสมาชิกทั้งหกคนจากนิกายหงส์มังกรก็พยายามหลบหนีออกไปจากที่นี่โดยมิให้เป็นจุดสนใจของผู้ใด
“จิ๊จิ๊ การที่นายหญิงยังไม่ลืมตา…ไม่มีใครที่นี่ไปไหนได้ทั้งนั้น พวกเจ้ากลับมาซะและยืนรออย่างเชื่อฟัง”
กิเลนอัคคีสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของเฟิ่งซีและคนอื่น ๆ ตั้งแต่ต้นแล้ว มันพุ่งตรงไปขวางหน้าคนเหล่านั้นและกล่าวเสียงดังฟังชัดเพื่อย้ำเตือนคนอื่น ๆ ในเวลาเดียวกัน
“ท่านจอมยุทธ์ น้องจิ้งจอกเก้าหางของข้าเข้าไปข้างในนานแล้วทว่ายังไม่มีข่าวคราวใด ๆเลย ข้าเป็นห่วงนางมาก ข้าต้องการเข้าไปที่นั่นและตรวจดูด้วยตนเอง หวังว่าท่านจะไม่ขัดข้อง”
ตัวนิ่มพันปีเป็นอสูรที่ชาญฉลาดและไหวพริบดีอย่างยิ่ง มันตระหนักดีว่าพลังขอบเขตนภาเซียนมิใช่ระดับที่มันจะรับมือได้ อีกทั้งยังมีกิเลนอัคคีที่ยังไม่ได้ลงมือทว่าก็มีความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน มันจึงรีบกล่าวด้วยน้ำเสียงวาจาสุภาพทันที
“ไปเถอะ แต่เมื่อเจ้าเข้าไปแล้ว จงบอกจิ้งจอกเก้าหางว่าโอกาสที่ซ่อนอยู่ใต้สระกายสิทธิ์เป็นของนายหญิงของข้า อย่าแม้แต่จะคิดฉกฉวยมันไปเด็ดขาด”
หานโม่ฉือยังไม่ทันได้เอ่ยสิ่งใด ทว่ากิเลนอัคคีชิงตอบออกไปก่อนแล้ว ในเมื่อตัวนิ่มพันปีมีปัญญาที่หลักแหลมพอสมควร มันก็ไม่จำเป็นต้องกล่าวเตือนให้มากความ
อย่างไรก็ตาม หากเจ้าตัวนิ่มพันปีคิดตุกติก กิเลนอัคคีก็จะไม่ยั้งมือเช่นกัน
“ข้าเข้าใจแล้ว”
แม้วาจาของกิเลนอัคคีจะเจือคำข่มขู่ไม่น้อย ทว่าตัวนิ่มพันปีก็ไม่ปฏิเสธหรือคัดค้านแต่อย่างใด มันเพียงพยักหน้าเบา ๆ ก่อนมุ่งหน้าไปตามทางอย่างไม่ลังเล
ต่อให้กิเลนอัคคีไม่กล่าวกำชับ มันก็ตั้งใจที่จะบอกจิ้งจอกเก้าหางเช่นนี้อยู่แล้ว บุรุษชุดขาวผู้นี้ทรงพลังมากเกินไป เมื่อประจันหน้ากับเขา แม้แต่มังกรเหมันต์ก็ไม่มีพลังที่จะตอบโต้หรือแม้แต่ป้องกันตัวด้วยซ้ำ
เพราะเหตุนั้น ต่อให้มันผนึกกำลังกับจิ้งจอกเก้าหาง ตัวนิ่มเชื่อว่าพวกมันไม่มีทางรับมือกับหานโม่ฉือได้เกินสิบกระบวนท่าแน่
ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับสตรีนามว่า ‘ฉินอวี้โม่’ แม้ตอนนี้นางจะยังไม่แกร่งกล้ามากนัก ทว่านางก็เป็นเทพมายาคนใหม่ แน่นอนว่าพวกมันทราบเกี่ยวกับกายวิเศษที่เรียกว่ากายเทพมายาและมันยังทราบอีกว่าผู้ที่ครองกายเทพมายาได้นั้นไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน เพราะเหตุนั้นจึงเป็นธรรมดาที่พวกมันจะไม่คิดทำสิ่งใดโง่เขลาที่จะเป็นการสร้างความขุ่นเคืองใจให้กับผู้ทรงพลังทั้งสองนี้
เมื่อตัวนิ่มพันปีเข้าไปข้างใน คนอื่น ๆ ก็เกิดความคิดนั้นขึ้นมาเช่นกัน เพียงแต่พวกเขาไม่กล้าเอ่ยปากออกไป ถึงอย่างไรแล้วตัวตนของฉินอวี้โม่ก็เป็นเรื่องสำคัญและละเอียดอ่อนยิ่งนัก หากนางไม่อนุญาต เกรงว่าคงยากที่พวกเขาจะไปจากที่นี่ได้
ทว่าเซิ่งเซียวก็ไตร่ตรองอยู่พักใหญ่ก่อนก้าวออกไปข้างหน้า
“ท่านจอมยุทธ์ พวกเราสมาชิกของอารามยินดีหลั่งเลือดสาบานว่าจะไม่มีวันเปิดเผยตัวตนของท่านเทพมายาฉินอวี้โม่ ข้าหวังว่าท่านจะปล่อยให้เราไปจากที่นี่ก่อนได้ ตราบใดที่ท่านตกลง เราจะหลั่งเลือดสาบานในทันทีและกลับไปยังเทือกเขากายสิทธิ์โดยที่ไม่คิดต่อสู้อีกต่อไป”
เซิ่งเซียวเองก็มีปัญญาเป็นเลิศเช่นกันและไม่มีใครคาดเดาความคิดของเขาได้ เขามักดูลึกลับและยากเกินหยั่งถึงอยู่เสมอ แม้แต่ฉินอวี้โม่ก็สงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของเขาอยู่ไม่น้อย
หานโม่ฉือไม่กล่าวสิ่งใดออกไป จิตใจของเขาในตอนนี้จดจ่ออยู่ที่ร่างบางตรงหน้าและไม่มีเวลาสนใจคนอื่นรอบตัว
“ฮ่า ๆ ๆ เจ้ารอก่อนเถอะ นายหญิงของข้าใกล้ที่จะทะลวงพลังสำเร็จแล้ว ชะตากรรมของเจ้าจะถูกกำหนดเมื่อนางลืมตาขึ้นมา”
กิเลนอัคคียิ้มกริ่มและไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้
เมื่อหันไปมองมังกรเหมันต์ที่กระตือรือร้นจะเคลื่อนไหว กิเลนก็กล่าวขึ้นเบา ๆ “ยิ่งไปกว่านั้น ข้าขอแนะนำให้พวกเจ้ารออยู่เฉย ๆ และอย่าคิดที่จะทำอะไรตุกติกเด็ดขาด พลังที่แท้จริงของนายท่านมากกว่าที่พวกเจ้าได้เห็นเมื่อครู่เสียอีก หากผู้ใดคิดตุกติก พวกเจ้าจะถูกกำจัดไปในชั่วพริบตา”
วาจาเชิงข่มขู่ของกิเลนอัคคีทำให้มังกรเหมันต์สงบลงโดยสมบูรณ์ มันเข้าใจดีว่ากิเลนอัคคีกำลังเตือนมันไม่ให้มันใช้กลอุบายหรือว่าลูกไม้ใดๆ และความแข็งแกร่งของหานโม่ฉือก็แกร่งกล้าดังที่กิเลนอัคคีกล่าวไว้จริง เพราะฉะนั้นหากต้องการมีชีวิตอยู่ต่อไป มันจึงไม่กล้ากระทำการสิ่งใดอย่างบุ่มบ่าม
“โม่ฉือ…”
ด้วยเสียงพึมพำในลำคอเบา ๆ ฉินอวี้โม่ก็ค่อย ๆ ลืมตามองบุรุษหนุ่มรูปงามผู้มีแววตาอ่อนโยนอบอุ่นที่ยืนอยู่ตรงหน้าและน้ำตาแห่งความดีใจรื้นขอบตาทันที
เมื่อได้ยินเสียงพึมพำของฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือก็ชะงักไปเล็กน้อยขณะมองดูนางลืมตาอย่างช้า ๆ
อย่างไรก็ตาม หลังจากชะงักไปครู่หนึ่ง เขาก็ยื่นมือออกไปพยุงร่างบางให้ลุกขึ้นและโอบกอดนางเข้าสู่อ้อมแขนอันอบอุ่น
“ขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องกังวล”
หานโม่ฉือกล่าวเบา ๆ ขณะกอดฉินอวี้โม่ไว้แน่นและไม่อยากปล่อยมือออกไป
เมื่อได้ยินวาจาเรียบง่ายทว่าบ่งบอกถึงความรู้สึกที่มีอย่างชัดเจน ในที่สุดหยดน้ำตาที่รื้นเต็มดวงตาก็ไหลอาบแก้มอย่างควบคุมไม่ได้
ไม่มีใครทราบว่านางทุกข์ทรมานใจแค่ไหนในช่วงเวลาที่หานโม่ฉือไม่อยู่ข้างกาย แม้นางจะทั้งแข็งแกร่งและกล้าหาญ ทว่านางก็ยังเป็นสตรีคนหนึ่งซึ่งมีด้านที่บอบบางอ่อนแออยู่เช่นกัน
นางมักแสดงตนอาจหาญขวัญกล้าต่อหน้าผู้คนและไม่ต้องการให้ผู้ใดกังวลหรือเป็นห่วงตนเอง ทว่าตอนนี้เมื่อหานโม่ฉือปรากฏตัวในที่สุด ฉากบังหน้าเหล่านั้นก็ขาดผึงและความเปราะบางน่าทะนุถนอมก็เปิดเผยต่อบุรุษคนรักตรงหน้าอย่างไม่ปิดบัง
“โม่ฉือ เจ้าบอกว่าเราจะอยู่และตายไปด้วยกัน ทว่าครั้งสุดท้ายเจ้ากลับเลือกตัดสินใจในสิ่งที่ทำให้ข้าโกรธมาก”
มือบางของฉินอวี้โม่หยิกเข้าที่เอวของหานโม่ฉืออย่างแรงและกล่าวด้วยน้ำเสียงมีจริต
“ขอโทษ มันเป็นความผิดของข้าเอง”
เมื่อเห็นด้านที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนักของสตรีคนรัก หานโม่ฉือก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ เขาทราบดีว่านางไม่ได้โกรธเคืองแต่อย่างใด เพียงแต่ในครานั้นเขาตัดสินใจโดยสัญชาตญาณและตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับสตรีคนรัก เพราะเหตุนั้นเขาจึงไม่รู้สึกผิดกับสิ่งที่ตนเองเลือก ทว่าเขาก็เพียงเสียใจที่ทำให้ฉินอวี้โม่ต้องเป็นห่วงและกังวลเช่นนี้
หานโม่ฉือกอดร่างบางในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอมและรักใคร่ เขาไม่ต้องการแยกจากนางอีกแล้ว บัดนี้เขามีพลังที่จะสามารถปกป้องนางได้แล้วและตลอดเส้นทางข้างหน้าที่ต้องเผชิญ เขาจะไม่มีวันแยกจากนางอีกต่อไป
“โม่ฉือ เจ้าคงจะทุ่มเทพยายามอย่างหนักสินะ…”
ฉินอวี้โม่ถอนหายใจเบา ๆ และกล่าวด้วยน้ำเสียงโศกเศร้าไม่น้อย
นางมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าหานโม่ฉือซูบผอมลงไปมาก นับตั้งแต่เผชิญกับอันตรายในวันนั้น เขาคงจะบาดเจ็บอย่างแสนสาหัส หากมิใช่เพราะความสามารถและความพยายามของเขา หานโม่ฉือคงไม่สามารถมายืนอยู่ตรงหน้านางเช่นวันนี้ได้
หานโม่ฉือในวันนี้มีพลังที่แกร่งกล้าอย่างยิ่ง และคงอยากที่จะเข้าใจได้ว่าเขาต้องเผชิญสิ่งใดมาบ้างตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้
“นายหญิง ท่านคงจะไม่ทราบว่าในวันนั้นจุดตันเถียนของนายท่านถูกทำลายไปอย่างสมบูรณ์และกลายเป็นคนไร้พลังไร้ฝีมือ หากมิใช่เพราะโอกาสในการท่องระหว่างโลกแห่งความเป็นความตายหลายครา เกรงว่าท่านคงไม่ได้พบเขาอย่างในวันนี้”
กิเลนอัคคีอดกล่าวออกไปไม่ได้ มันทราบดีว่าหานโม่ฉือไม่ต้องการให้ฉินอวี้โม่ทราบเหตุการณ์เลวร้ายที่เขาต้องเผชิญ ทว่ามันก็อดใจไม่ไหว หานโม่ฉือเผชิญกับช่วงเวลาที่ทุกข์ทรมานมากเกินไป มันเพียงหวังว่าหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่จะไม่ต้องเผชิญกับเรื่องเลวร้ายเช่นนั้นอีกในอนาคต
สีหน้าของฉินอวี้โม่ตึงเครียดทันทีที่ได้ยินวาจาของกิเลนอัคคีและเงยหน้าสบตาบุรุษคนรัก ขณะมองใบหน้าอ่อนโยนและเปี่ยมด้วยความรักของเขา นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรเอ่ยสิ่งใดออกไป
“ข้าเพียงไม่อยากให้เจ้าต้องกังวล”
เพียงประโยคสั้น ๆ ก็บ่งบอกถึงความรักความห่วงหาของหานโม่ฉือได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าเขาจะเผชิญกับช่วงเวลาที่เลวร้ายเพียงใด เขาก็ไม่ต้องการให้ฉินอวี้โม่ทราบรายละเอียดของมัน นั่นเป็นเพราะเขาไม่ต้องการให้นางต้องกังวลและรู้สึกโศกเศร้าไป
“เจ้าทึ่มเอ๋ย !”
หยดน้ำตาใสรื้นในขอบตาของนางอีกครั้งขณะกล่าวขึ้นเบา ๆ ฉินอวี้โม่ไม่ลังเลและเขย่งปลายเท้าก่อนประกบริมฝีปากของตนกับหานโม่ฉือทันที
แม้เป็นการกระทำเชิงรุกของฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือก็ไม่พลาดโอกาสนี้อย่างแน่นอน ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาเฝ้าคิดคำนึงถึงโฉมนารีคนรักตลอดเวลา เขาไม่ต้องการเผชิญความทรมานจากความโหยหาเช่นนั้นอีก
บัดนี้สตรีคนรักอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว หากมิใช่เพราะยังมีเรื่องอื่นที่ต้องสะสาง เขาก็คงพาฉินอวี้โม่เข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวนานแล้ว
“อะแฮ่ม ! อะแฮ่ม ! นายท่านทั้งสอง จัดการเรื่องตรงหน้าก่อนแล้วค่อยไปใกล้ชิดกันเถอะ”
เมื่อเห็นการกระทำราวกับในโลกใบนี้มีเพียงแค่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ กิเลนอัคคีก็อดกระแอมและกล่าวเตือนไม่ได้
เนื่องจากมีผู้คนมองดูอยู่มาก ทั้งสองจึงเขินอายเล็กน้อย ทว่านั่นเป็นวาจาริษยาของอสูรมายาที่ยังไม่พบอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตของมัน
เมื่อถูกขัดจังหวะโดยกิเลนอัคคี ใบหน้าของฉินอวี้โม่ก็แดงระเรื่อเล็กน้อย และเมื่อเห็นสายตาคลุมเครือของผู้คนโดยรอบ แม้แต่นางที่ไม่เคยสนใจสิ่งใดก็อายจนแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนีไปโดยเร็ว
หานโม่ฉือหันขวับไปจ้องหน้าอสูรมายาคู่กายของตนทันที หากเจ้ากิเลนอัคคีโดดเดี่ยวไร้คู่นี้ไม่ได้ขัดจังหวะขึ้นมา เขาก็คงจะได้จุมพิตสตรีคนรักนานกว่านี้ เห็นทีเขาคงต้องหาอะไรเพื่อลงโทษมันเสียแล้ว
หลังจากผู้เป็นนายจ้องหน้ามันอย่างเย็นชา กิเลนอัคคีก็รู้สึกถึงลางร้ายที่มิอาจคาดเดา ‘นายท่านชักจะท้องดำขึ้นทุกวันซะแล้ว’
* 腹黑 ท้องดำ ความหมายคือ ภายนอกดูใสซื่อแต่ภายในเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมและแผนการ
“อวี้โม่ เรามีลูกด้วยกันสองคนใช่รึไม่ ?”
แม้จะทราบมาก่อนจากในข่ายอาคมลวงตาก่อนหน้านี้แล้ว หานโม่ฉือก็ยังตื่นเต้นเมื่อเอ่ยถามออกไป
“ใช่แล้ว เสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่ ตอนนี้ทั้งสองก็เรียกคำว่าพ่อได้แล้ว ประเดี๋ยวเราจะเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวกัน ข้าเชื่อว่าทั้งสองต้องดีใจมากแน่ที่ได้พบเจ้า”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเบา ๆ เมื่อถึงนึกเสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่ นางก็อดยิ้มอย่างสุขใจไม่ได้ เวลานี้บิดาของทั้งสองกลับมาแล้ว แน่นอนว่าหนูน้อยทั้งสองต้องดีใจมากอย่างแน่นอน
“ขอโทษที่ข้าไม่ได้อยู่กับเจ้าในช่วงเวลาสำคัญเช่นนั้น”
เมื่อนึกว่าฉินอวี้โม่ต้องอุ้มท้องและให้กำเนิดบุตรทั้งสองเพียงลำพัง เขาก็กังวลใจขึ้นมาอีกครั้ง
เขามิใช่สามีหรือแม้แต่บิดาที่เหมาะสมคู่ควรเลยจริง ๆ แม้แต่ในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนั้น เขาก็ยังไม่ได้อยู่ข้างกายสตรีคนรักและปล่อยให้นางต้องเผชิญกับมันเพียงลำพัง
“เจ้าทึ่มเอ๋ย แค่เจ้าปลอดภัยกลับมา ข้าก็มีความสุขมากแล้ว”
ฉินอวี้โม่บีบมือหานโม่ฉือเพื่อไม่ให้เขาคิดมากจนเกินไป แม้นางจะเผชิญช่วงเวลาที่ยากลำบากมาพอสมควร ทว่ามันก็ยังไม่ทุกข์ทรมานเท่ากับการต้องพรากจากหานโม่ฉือ
เวลานี้ในเมื่อได้พบกันอีกครั้งแล้ว ตราบใดที่ไม่ต้องแยกจากกันอีกต่อไป…มันก็ถือเป็นของขวัญที่ดีที่สุดจากสวรรค์แล้ว
“เอาล่ะ งั้นเราจัดการกับคนพวกนี้ก่อนเถอะ”
ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มออกมาบาง ๆ และเปลี่ยนเรื่องกลับมายังสิ่งที่รออยู่ตรงหน้า สายตาของนางจับจ้องไปที่มังกรเหมันต์ซึ่งใบหน้าซีดเผือด รวมถึงเฟิ่งซีและคนอื่น ๆ เช่นกัน
.