เมื่อเฟิ่งซีและคนอื่น ๆ สัมผัสได้ว่าสภาวะพลังทั่วทั้งร่างของฉินอวี้โม่กลับคืนสู่ปกติแล้วแถมแกร่งกล้ายิ่งกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก สีหน้าของพวกเขาก็เหยเกจนแทบดูไม่ได้
แน่นอนว่าคนจากขุมกำลังทรงพลังอย่างพวกเขาย่อมมีไพ่ตายซ่อนไว้ เพียงแต่เวลานี้หานโม่ฉือยืนอยู่ข้างกายฉินอวี้โม่ไม่ห่างและแววตาของเขาบ่งบอกชัดเจนว่าจะทำทุกอย่างเพื่อฉินอวี้โม่ ในการเผชิญหน้ากับยอดฝีมือในขอบเขตนภาเซียนเช่นนี้ ต่อให้จะงัดไพ่ตายออกมาใช้จนหมด เกรงว่าพวกเขาก็ไม่มีโอกาสคว้าชัยแม้แต่น้อย
“ฉินอวี้โม่ เจ้าควรคิดไตร่ตรองให้ดีและนึกถึงขุมกำลังเบื้องหลังพวกเราไว้ หากเจ้าปล่อยเราไป พวกข้าให้คำมั่นว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องในวันนี้ต่อผู้ใด มิฉะนั้น…หากขุมกำลังของพวกข้ารู้เข้า นั่นคงมิใช่สิ่งที่เจ้าอยากเห็นแน่”
เนื่องจากทราบตัวตนที่แท้จริงของฉินอวี้โม่โดยบังเอิญ เฟิ่งซีจึงมั่นใจว่าเขายังมีอำนาจการต่อรองอยู่ เขาเชื่อว่าฉินอวี้โม่จะยอมประนีประนอมและปล่อยพวกเขาไปตราบที่ให้คำมั่นว่าจะไม่เปิดเผยเรื่องนี้ต่อผู้อื่น
“เฟิ่งซี เจ้าคิดจะขู่ข้างั้นรึ ?”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมยิ้มบาง ๆ ใบหน้างดงามดุจเทพเซียนของนางดึงดูดสายตาของบุรุษแทบทุกคนในที่นี้ราวกับต้องมนต์สะกด
เมื่อต่อสู้กับมังกรเหมันต์อย่างดุเดือดก่อนหน้านี้ ผ้าคลุมปิดบังใบหน้าของนางก็ขาดวิ่นไปเสียแล้ว และเมื่อเข้าสู่สภาวะทะลวงพลังเมื่อครู่ ใบหน้าของนางก็มองเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก ทว่าบัดนี้เมื่อการทะลวงพลังสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ใบหน้างดงามสะเทือนทั้งใต้หล้าก็ปรากฏให้ทุกคนได้ยลโฉม
แม้เคยได้ยินมาก่อนว่า ‘แม่นางฉินอวี้โม่’ เป็นโฉมนารีงดงามชวนตะลึง แต่ทุกคนก็ยังตกตะลึงไม่น้อยเมื่อได้เห็นด้วยตาตัวเอง หากจะกล่าวว่านางเป็นสตรีโฉมงามอันดับหนึ่งของดินแดนเทพมายาก็คงไม่เป็นคำกล่าวที่เกินจริง กอปรกับนิสัยใจคอสงบนิ่งนั้นทำให้ยากยิ่งขึ้นที่บุรุษผู้ใดจะละสายตาไปจากนางได้
เมื่อสัมผัสได้ว่าทุกคนมองตรงมาที่โม่เอ๋อร์ของเขาด้วยแววตาร้อนแรงอย่างมิอาจปกปิด หานโม่ฉือก็หยิบผ้าคลุมหน้าออกมาจากแหวนมิติและสวมปิดใบหน้างดงามของฉินอวี้โม่อย่างแผ่วเบา
หลังจากหลายปีที่ผ่านมานี้ ฉินอวี้โม่ก็ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นและมีเสน่ห์ดึงดูดใจที่มากยิ่งกว่าเดิมเสียอีก เขาช่างโชคดียิ่งนักที่มีภรรยาเช่นนี้
เมื่อเห็นการกระทำของหานโม่ฉือ ฉินอวี้โม่ก็อดยกยิ้มมุมปากอย่างสุขใจไม่ได้
ต้องกล่าวเลยว่าหานโม่ฉือเปลี่ยนไปมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เมื่อนางพบเขาในตอนแรก บุรุษน้ำแข็งผู้นี้ทั้งเย็นชา ไร้รอยยิ้มและแทบไม่มีการผันผวนทางอารมณ์อย่างชัดเจนเช่นนี้
ทว่าในวันนี้ความเย็นชาและการรักษาท่าทีสุขุมของเขาก็ลดน้อยลงมาก เมื่ออยู่ต่อหน้าฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือมักอ่อนโยนนุ่มนวลดุจดั่งสายน้ำเสมอ เพียงการหยิบผ้าคลุมปิดมาใบหน้างดงามของนาง ฉินอวี้โม่ก็ตระหนักได้ทันทีว่าเขาหึงหวงและไม่ต้องการเห็นสายตาร้อนแรงของบุรุษเหล่านั้นมองมาที่คนรักของตน
“เหอะ เจ้าจะคิดอย่างไรก็ช่างเถอะ”
เฟิ่งซีกลืนน้ำลายดังเอื๊อกและแค่นเสียงเย็นชา
“โม่ฉือ เจ้าคิดว่าคนประเภทใดที่เก็บความลับได้ดีที่สุด ?”
ฉินอวี้โม่จับมือหานโม่ฉือพลางเอ่ยขึ้นเบา ๆ เมื่อมีเขาอยู่ข้างกาย นางไม่จำเป็นต้องกังวลสิ่งใด แม้ไม่ทราบว่าแท้จริงแล้วหานโม่ฉือแข็งแกร่งเพียงใด ทว่าเพียงแค่เห็นความหวาดกลัวในแววตาของมังกรเหมันต์และเฟิ่งซี นางก็พอจะคาดเดาได้แล้ว
“คนตาย !”
หานโม่ฉือเอ่ยปากเพียงสั้น ๆ ทว่าน้ำเสียงของเขาก็แอบแฝงไปด้วยจิตสังหารที่แรงกล้า หากมิใช่เพราะเขารอให้ฉินอวี้โม่ลืมตาขึ้นมาและจัดการด้วยตัวเอง คนเหล่านี้ทั้งหมดคงกลายเป็นศพไปเสียแล้ว
“เจ้า…”
เฟิ่งซีชะงักไปทันทีที่ได้ยินวาจาของหานโม่ฉือ เขาอ้าปากขยับไปมาครู่ใหญ่ทว่าไม่อาจสรรหาคำพูดมาตอบโต้ได้เลย
“เฟิ่งซี เจ้าประเมินคุณค่าของตัวเองสูงเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น… ในชีวิตนี้ข้าก็เกลียดการถูกข่มขู่เป็นที่สุด หากเมื่อครู่นี้เจ้าอ้อนวอนขอความเมตตา ข้าก็อาจจะปล่อยเจ้าไป ทว่าตอนนี้… ฮ่า ๆ ๆ …”
ฉินอวี้โม่หัวเราะเยาะทิ้งท้ายทว่าไม่กล่าวสิ่งใดต่อ นางต้องการทำให้เฟิ่งซีหมดปัญญาที่จะคาดเดาการกระทำต่อไปของนางและนั่นจะทำให้เขาตื่นตระหนกจนอยู่ไม่ติด ในเมื่อบุรุษโอหังผู้นี้ริอาจข่มขู่นาง แน่นอนว่านางย่อมทำให้เฟิ่งซีชดใช้อย่างสาสม
“เซิ่งเซียว เจ้ากล่าวว่ายินดีหลั่งเลือดสาบานและจะไม่เปิดเผยเรื่องวันนี้ออกไปใช่รึไม่ ? หากเป็นเช่นนั้น… เจ้าก็ควรหลั่งเลือดสาบานดังที่กล่าวและออกไปซะ”
ฉินอวี้โม่ชำเลืองมองไปที่เซิ่งเซียวและกล่าวออกไป นางไม่มีความคิดที่จะสังหารเขาในตอนนี้
เซิ่งเซียวผู้นี้ลึกลับยากเกินหยั่งถึงจนแม้แต่ฉินอวี้โม่เองก็ไม่สามารถคาดเดาได้ ยิ่งไปกว่านั้น ในการเผชิญหน้าก่อนหน้านี้ นางรู้สึกได้ว่าเซิ่งเซียวผู้นี้ยังคงยั้งมืออยู่ เพราะเหตุนั้นนางจึงต้องการทราบจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาและจะรอดูการเคลื่อนไหวของเขาหลังจากนี้
สำหรับการตัดสินใจเช่นนี้ของฉินอวี้โม่ เซิ่งเซียวไม่แปลกใจแม้แต่น้อย เขาไม่กล่าวยืดเยื้อให้มากความและเริ่มหลั่งเลือดสาบานก่อนนำคนของอารามโชติช่วงจากไปทันที
“เว้นเพียงแต่คนของนิกายหงส์มังกรและมังกรเหมันต์ เชิญทุกคนหลั่งเลือดสาบานได้เลย ตราบใดที่กล่าวสัตย์ว่าจะไม่เปิดเผยเรื่องนี้ต่อผู้ใด ข้าก็จะปล่อยพวกเจ้าไป”
หลังจากกวาดสายตามองคนอื่น ๆ ฉินอวี้โม่ก็กล่าวเสนอทางเลือกเดียวกันให้กับพวกเขา
นางมิใช่คนโหดร้ายกระหายการฆ่าฟัน หากการหลั่งเลือดสาบานจะปิดปากคนเหล่านี้จากการเปิดเผยความลับออกไปได้ นางก็ไม่จำเป็นต้องสังหารผู้ใด
คนอื่น ๆ ที่ได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่อย่างชัดเจน พวกเขาก็รู้สึกดีใจขึ้นมาราวกับเป็นการได้รับการอภัยโทษก็ว่าได้ พวกเขาไม่ลังเลและหลั่งเลือดสาบานทีละคนก่อนจากไปอย่างรวดเร็ว
ภายในชั่วพริบตา นอกเหนือจากฝ่ายของฉินอวี้โม่ ทั่วทั้งลานจัตุรัสแห่งนี้ก็เหลือเพียงสมาชิกหกคนจากนิกายหงส์มังกรและมังกรเหมันต์
มังกรเหมันต์มองสำรวจรอบตัวอย่างรวดเร็วขณะคิดหาทางออก และทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัวของมัน
“ฉินอวี้โม่ อย่าฆ่าข้าเลย ความแข็งแกร่งของข้าในตอนนี้จะช่วยเจ้าได้มาก ข้ารู้ว่าเจ้ายังมีเรื่องที่ต้องจัดการอีกมากและตัวตนของเจ้าก็จะถูกเปิดเผยในไม่ช้าก็เร็ว ข้าเองก็ต้องการความช่วยเหลือเช่นกัน ข้ายินดีกลายเป็นอสูรมายาและยอมจำนนต่อเจ้าตลอดไป ข้าจะช่วยเหลือเจ้าทุกอย่างตราบใดที่เจ้าไว้ชีวิตข้า”
มังกรเหมันต์กล่าวโน้มน้าวใจและน้ำเสียงเจือความวิงวอนเล็กน้อย ทว่ามันก็มีแผนการอื่นอยู่ในใจ สำหรับตอนนี้ มันจะเสแสร้งคล้อยตามและยอมเป็นอสูรมายาของฉินอวี้โม่ไปก่อน หลังจากนี้ หากมันคิดหาทางทรยศ มันจะเรียกคืนอิสรภาพของตนได้อย่างแน่นอน
แม้ว่านี่จะเป็นแผนการที่ดีทีเดียว ทว่ามันก็ไม่สามารถตบตาฉินอวี้โม่ได้แม้แต่น้อย
“ฮ่า ๆ ๆ ขอโทษด้วย ข้าไม่อยากได้ผู้ทรยศมาเป็นพวก”
ฉินอวี้โม่ปฏิเสธข้อเสนอของมังกรเหมันต์โดยไม่ลังเล มันเคยทรยศต่อผู้เป็นนายมาก่อนและฉินอวี้โม่ไม่มีทางรับมันเป็นอสูรมายาของตนอย่างแน่นอน สิ่งที่นางต้องการคืออสูรมายาที่จงรักภักดีและซื่อสัตย์ นางไม่มีทางยอมรับอสูรที่มีความคิดเป็นอื่น
เดิมทีมังกรเหมันต์คิดว่าฉินอวี้โม่จะตอบตกลง ไม่คิดเลยว่านางจะปฏิเสธโดยไม่ลังเลเช่นนี้ มังกรจอมโอหังตกตะลึงไปครู่ใหญ่และใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเกอย่างชัดเจน
แม้ตอนนี้สายตาของมันมองตรงไปที่ฉินอวี้โม่ ทว่าพลังวิญญาณของมันก็แผ่ออกไปสำรวจพลังของหานโม่ฉือและสีหน้าของมันก็บิดเบี้ยวยิ่งกว่าเดิม พลังของหานโม่ฉือแกร่งกล้ามากเกินไป ต่อให้มันต้องการหลบหนี มันก็ไม่มีทางทำได้สำเร็จ
“อวี้โม่ มังกรเหมันต์ตัวนี้…ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง”
จู่ ๆ หานโม่ฉือก็กล่าวขึ้นมา ความแข็งแกร่งของมังกรเหมันต์ตัวนี้ถือว่าใช้ได้ทีเดียว หากควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์ มันจะมีส่วนช่วยได้มาก ฉินอวี้โม่ไม่ยอมรับอสูรคิดคดทรยศและแน่นอนว่าเขาไม่ต้องการเช่นกัน อย่างไรก็ตาม หากต้องการให้มังกรใจหยาบตัวนี้จำนนอย่างแท้จริง การสยบมันให้เป็นอสูรมายาของตนก็มิใช่เป็นเพียงแค่ทางเลือกเดียวเท่านั้น
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่คัดค้านวาจาของหานโม่ฉือ นางเพียงสงสัยใคร่รู้ว่าเขาจะจัดการกับมังกรจอมโอหังตัวนี้อย่างไร
“มังกรเหมันต์ นำเส้นใยแห่งจิตวิญญาณของเจ้าออกมา กลายเป็นทาสรับใช้ของข้าและยอมจำนนต่อข้าไปตลอดชีวิต นี่เป็นทางเดียวที่จะทำให้เจ้าได้มีชีวิตอยู่ต่อ”
เมื่อได้ยินวาจาของหานโม่ฉือในตอนแรก มังกรเหมันต์ยังพอมีร่องรอยความสุขอยู่ในใจ การได้เป็นอสูรมายาของหานโม่ฉือไม่ถือเป็นสิ่งที่เลวร้าย แต่ทว่าเมื่อได้ยินคำพูดต่อมาของเขา ใบหน้าของมังกรเหมันต์ก็บิดเบี้ยวมากขึ้นเรื่อยๆ
หานโม่ฉือไม่ต้องการรับมันเป็นอสูรมายาของตน ทว่าต้องการทำสัญญาทาสกับมัน ต้องกล่าวเลยว่าสัญญาทาสเป็นความอัปยศอดสูอย่างที่สุดสำหรับอสูรมายา หากสัญญาทาสถูกร่างขึ้น นั่นหมายความว่าชีวิตนี้ของมันจะตกอยู่ในมือของอีกฝ่ายโดยสมบูรณ์ ไม่ว่าอย่างไร มันก็จะไม่กล้าคิดร้ายหรือก่อกบฏใด ๆ มิฉะนั้นมันจะถูกปลิดชีพในทันที
“จิ๊จิ๊จิ๊ อสูรอย่างเจ้าไม่คู่ควรพอที่จะเป็นอสูรมายาของนายท่านหรอก ข้ามีสองทางเลือกให้เจ้า…ทางแรกคือทำตามคำสั่งของนายท่านแต่โดยดีและมอบจิตวิญญาณของเจ้ามาซะ อีกทางคือกลายเป็นเถ้าถ่านและดับสลายไปตลอดกาล อสูรที่รักตัวกลัวตายอย่างเจ้าน่าจะรู้ดีว่าควรเลือกทางใด”
ร่างของกิเลนอัคคีปรากฏตรงหน้ามังกรเหมันต์และกล่าววาจาเย้ยหยันแสดงถึงความรังเกียจเดียดฉันท์ที่มีต่อมันอย่างชัดเจน
เมื่อสัมผัสถึงแรงกดดันแรงกล้าที่แผ่มาจากกิเลนอัคคี สีหน้าของมังกรเหมันต์ก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง หานโม่ฉือเป็นถึงจอมยุทธ์ขอบเขตนภาเซียนและดูเหมือนว่าอสูรมายาคู่กายของเขาก็อยู่ในระดับนภาเซียนเช่นกัน
เมื่อเผชิญหน้ากับผู้เก่งกาจจากขอบเขตนภาเซียนทั้งสอง แม้ต้องการหลบหนี มันก็ไม่มีโอกาสแม้แต่น้อย
กิเลนอัคคีกล่าวถูกต้องทุกประการ มังกรเหมันต์เป็นอสูรที่รักตัวกลัวตายอย่างยิ่ง เพราะเหตุนั้น เมื่อได้ยินข้อเสนอของหานโม่ฉือ มันก็ไม่ได้คิดพิจารณาหรือว่าลังเลใด ๆ อีก มันทำได้เพียงแค่ยินยอมเท่านั้น
มันเดินตรงเข้าไปหาหานโม่ฉือและคุกเข่าลงช้า ๆ ก่อนมอบเส้นใยแห่งจิตวิญญาณของตนเองให้กับเขา
หานโม่ฉือรับเส้นใยแห่งจิตวิญญาณนั้นไว้และกล่าวขึ้นเบา ๆ “กิเลนอัคคี นำตัวเจ้ามังกรเหมันต์นี่ไปและสอนกฎเกณฑ์ของเราให้กับมัน”
กิเลนอัคคีและหานโม่ฉือมีความคิดที่เชื่อมโยงต่อกัน แน่นอนว่ามันเข้าใจความคิดของผู้เป็นนายในทันที กิเลนอัคคีพยักหน้ารับคำก่อนจับตัวมังกรเหมันต์และหายวับไปตรงหน้าทุกคน
มังกรเหมันต์เกิดลางร้ายในใจทว่ามันมิอาจคัดค้านได้เลย หลังจากนำตัวมันไป กิเลนอัคคีก็เริ่มทำการปรับทัศนคติเดิมของมันเพื่อมิให้มันมีความคิดกบฏใด ๆ อีก
สายตาที่มันมองหานโม่ฉือในอนาคตข้างหน้าจะมีเพียงความหวาดหวั่นอย่างไม่รู้จบ บุรุษหนุ่มรูปงามผู้นี้ไม่ต่างกับปีศาจร้ายที่น่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด
เมื่อเห็นวิธีการที่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือใช้จัดการกับมังกรเหมันต์ที่ทรงพลัง สีหน้าของเฟิ่งซีก็เหยเกยิ่งกว่าเดิม วิธีการของหานโม่ฉือทำให้เขาตกตะลึงอย่างแท้จริง หากเขาทราบก่อนหน้านี้ เขาก็คงไม่กล้ากล่าววาจาโอหังและข่มขู่ฉินอวี้โม่ ตอนนี้ต่อให้เขาวิงวอนให้ฉินอวี้โม่ปล่อยตนไป เกรงว่านางคงไม่มีทางยอม
“ฉินอวี้โม่ เจ้าจะจัดการกับพวกข้าอย่างไร…”
ขณะมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาเป็นกังวล ใบหน้าของเฟิ่งซีและคนอื่น ๆ จากนิกายหงส์มังกรก็ซีดเผือดและแววตาฉายชัดถึงความหวาดหวั่นอย่างไม่อาจปกปิด
“ฮ่า ๆ ๆ เฟิ่งซี ถ้าจะให้ข้าจัดการกับเจ้า เกรงว่ามือของข้าคงแปดเปื้อนสกปรกเป็นแน่”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างเยือกเย็นและกล่าว “สำหรับพวกเจ้าที่เหลือ…ตราบใดที่พวกเจ้าหลั่งเลือดสาบานว่าจะไม่กล่าวเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่กับผู้ใดและร่วมมือกันอัดเจ้าเฟิ่งซีผู้นี้อย่างป่าเถื่อนจนข้ารู้สึกพอใจ แน่นอนว่าข้าก็จะปล่อยพวกเจ้าไปจากที่นี่”
สีหน้าของเฟิ่งซีเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ ผู้ติดตามเหล่านี้ถูกเขากดขี่ข่มเหงอยู่บ่อยครั้งและไม่พอใจตัวเขาเท่าใดนัก เมื่อมีโอกาสมาเสนอตรงหน้าเช่นนี้ เกรงว่าพวกเขาไม่ยอมพลาดมันอย่างแน่นอน
เมื่อคนเหล่านั้นได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ ใบหน้าของพวกเขาก็แสดงถึงความดีใจอย่างชัดเจน พวกเขาไม่รอช้าและพุ่งตรงเข้าไปหาเฟิ่งซีอย่างบ้าคลั่งราวกับกำลังประจันหน้ากับศัตรูคู่อาฆาตที่บาดหมางกันมานาน
ฉินอวี้โม่ยิ้มเล็กน้อยขณะจับมือหานโม่ฉือและเข้าสู่คฤหาสน์เฟิงหัว นางทราบดีว่าหานโม่ฉือคงจะต้องการพบบุตรน้อยทั้งสองเต็มที