ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว เหล่าอสูรมายาของฉินอวี้โม่ต่างก็เก็บตัวบ่มเพาะตาม ๆ กันเนื่องจากการทะลวงพลังของผู้เป็นนาย เวลานี้มีเพียงฉู่เจี๋ยที่เพิ่งเข้ามาเท่านั้นที่กำลังหยอกล้อเล่นกับเจ้าหนูทั้งสอง
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่เข้ามา เท้าเล็ก ๆ ของเด็กน้อยทั้งสองก็วิ่งออกมาอย่างมีความสุขพร้อมตะโกนส่งเสียงเจื้อยแจ้ว
เมื่อมองเห็นหานโม่ฉือที่ไม่เคยพบหน้ายืนอยู่ข้างกายมารดา ดวงตากลมโตของเด็กน้อยทั้งสองก็เป็นประกายด้วยความสงสัย ทว่าพวกเขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความคุ้นเคยบางอย่างจากบุรุษผู้นี้และต้องการเข้าไปอยู่ใกล้ ๆ
เมื่อพบบุตรน้อยทั้งสองของตนเป็นครั้งแรก ใบหน้าของหานโม่ฉือก็แสดงถึงความประหม่าเล็กน้อยขณะลมหายใจอ่อนโยนลงราวกับเขากังวลว่าจะทำให้บุตรน้อยทั้งสองตกใจกลัว
“เสี่ยวอ้ายฉือ เสี่ยวอ้ายโม่ นี่คือพ่อของเจ้าทั้งสอง”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ ขณะอุ้มทั้งสองและกล่าวพร้อมชี้ไปที่หานโม่ฉือ
“ป่าป๊า~ ?”
เด็กน้อยทั้งสองดูจะไม่ค่อยเข้าใจความหมายของคำนี้เท่าใดนักทว่ากล่าวเรียกออกไปโดยสัญชาตญาณเมื่อได้ยินวาจาของมารดา
เมื่อได้ยินเสียงเล็ก ๆ ของบุตรน้อยที่เอ่ยเรียกตน หานโม่ฉือซึ่งมีสีหน้าประหม่าในตอนแรกก็กลับสู่ปกติในที่สุด
รอยยิ้มแห่งความสุขปรากฏบนใบหน้าของหานโม่ฉือขณะรับบุตรทั้งสองจากอ้อมแขนของฉินอวี้โม่และกอดอย่างแผ่วเบา
“ฮิ ๆ~ คิก ๆ~”
แม้ทั้งสองจะไม่เคยพบหน้าหานโม่ฉือมาก่อน แต่พวกเขาก็ผูกพันกันทางสายเลือด เมื่ออยู่ในอ้อมแขนของบิดา เจ้าหนูทั้งสองก็หัวเราะคิกคักด้วยความชอบใจ
“ป่าป๊า ~”
เสี่ยวอ้ายโม่หอมแก้มหานโม่ฉือฟอดใหญ่และหัวเราะคิกคักบ่งบอกถึงความชื่นชอบเขาอย่างมาก
เสี่ยวอ้ายฉือเองก็ไม่ยอมน้อยหน้าและหอมแก้มบิดาพร้อมยิ้มกว้างอย่างมีความสุขเช่นกัน
“อวี้โม่ ข้าขอโทษ”
เมื่อเห็นบุตรน้อยทั้งสองที่เติบโตขึ้นมากแล้ว มันก็ไม่ยากที่หานโม่ฉือจะจินตนาการว่าฉินอวี้โม่เผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบากเพียงใดในการดูแลบุตรทั้งสองเพียงลำพัง เขาเดินตรงเข้าไปหาฉินอวี้โม่และโอบกอดนางเช่นกันพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเจือความรู้สึกผิด
ในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนั้น เขากลับไม่ได้อยู่เคียงข้างนาง เพียงนึกถึงมันในตอนนี้หานโม่ฉือก็รู้สึกผิดอย่างที่สุด
“โม่ฉือ ก่อนหน้านี้เจ้าหายไปที่ใดรึ ?”
เมื่อนึกถึงสิ่งที่กิเลนอัคคีกล่าวก่อนหน้านี้ ฉินอวี้โม่ก็อดเอ่ยถามไม่ได้ นางทราบดีว่าหานโม่ฉือน่าจะต้องเผชิญภยันตรายมากมาย ทว่านางก็ยังต้องการทราบรายละเอียดเกี่ยวกับมัน
หานโม่ฉือไม่ปิดบังสิ่งใดและเล่าเหตุการณ์อย่างคร่าว ๆ ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานที่เขาเผชิญในช่วงที่ผ่านมาถูกกล่าวออกไปเพียงสั้น ๆ เท่านั้น
ถึงกระนั้น ฉินอวี้โม่ก็พอจะคาดเดาได้ว่าบุรุษตรงหน้าต้องทนทุกข์ทรมานมากเพียงใด เมื่อมองหานโม่ฉือที่มีใบหน้านิ่งเฉย นางก็อดโศกเศร้าเล็กน้อยไม่ได้
“โม่เอ๋อร์ ในอนาคตข้างหน้า ข้าจะไม่มีวันแยกจากเจ้าไปอีกและจะไม่ทำให้เจ้าต้องกังวลหรือเป็นห่วงข้าอีกต่อไป”
หานโม่ฉือไม่ต้องการให้ฉินอวี้โม่คิดมากจนเกินไป เขาเพียงกล่าวขึ้นเบา ๆ ทว่าน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม
ในตอนนี้เขาสามารถปกป้องโม่เอ๋อร์ของเขาได้แล้ว ไม่ว่าจะต้องเผชิญความยากลำบากและทุกข์ทรมานมากเพียงใด ขอเพียงแค่สามารถปกป้องคนรักของเขาได้ เขาก็ไม่สนใจแม้แต่น้อย ทว่าเขาจะปล่อยให้โม่เอ๋อร์ต้องเจ็บปวดเพราะกังวลเรื่องเขาไม่ได้อีก
“เราจะไม่มีวันแยกจากกันอีกต่อไป”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเบา ๆ นางจะไม่เข้าใจความคิดของบุรุษคนรักได้อย่างไรกัน
ทั้งสองใช้เวลาอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวพักใหญ่ก่อนเดินออกไปข้างนอกอีกครั้ง
ณ ลานจัตุรัสของปราสาทโบราณในสระกายสิทธิ์ เวลานี้ลมหายใจของเฟิ่งซีรวยรินและใบหน้าของเขาปูดบวมจากการถูกซ้อมอย่างป่าเถื่อน
เมื่อฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือหายตัวไป เขาพยายามโน้มน้าวใจให้คนอื่น ๆ หลบหนีออกไปด้วยกัน ไม่คิดเลยว่าคนเหล่านั้นจะไม่เห็นด้วยและลงมือทุบตีเขาอย่างดุเดือด
ภายในเวลาเพียงสั้น ๆ ทั้งจมูกและใบหน้าของเขาก็ปูดบวมจนแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม เรี่ยวแรงของเขาก็ไม่หลงเหลืออีกต่อไปและลมหายใจรวยรินลงเต็มที
ทว่าคนเหล่านั้นดูจะพยายามสร้างผลงานให้ฉินอวี้โม่พึงพอใจและไม่ได้คิดที่จะสังหารเฟิ่งซี ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุใด ตอนนี้พวกเขาก็ยังปล่อยให้เฟิ่งซีมีลมหายใจต่อไป
สิ่งนี้ทำให้เฟิ่งซีหดหู่อย่างมาก การทรมานทั้งร่างกายและจิตใจทำให้เขาแทบยืนไม่ไหว เวลานี้ความชิงชังครอบงำทุกอย่างในหัวใจอย่างมิอาจควบคุม หากมีโอกาสในอนาคตข้างหน้า เขาจะต้องชำระความแค้นและคืนความอัปยศอดสูครั้งนี้ให้กับทุกคน
“พวกเจ้ารอก่อนเถอะ รอข้ากลับไปที่นิกายหงส์มังกรและดูว่าข้าจะจัดการกับพวกเจ้าอย่างไร !”
เฟิ่งซีกวาดสายตามองคนรอบตัวด้วยแววตาดุดันและกล่าววาจาข่มขู่
“แต่เจ้าต้องมีชีวิตออกไปให้ได้ก่อน”
คนเหล่านั้นไม่สนใจแม้แต่น้อย พวกเขามีแผนการของตนอยู่ในใจอย่างชัดเจนแล้ว
เมื่อฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก้าวออกมา พวกเขาเหล่านั้นก็ปล่อยตัวเฟิ่งซีและเดินตรงเข้าไปหาฉินอวี้โม่ทันที
พวกเขาคุกเข่าลงข้างหนึ่งและมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาจริงใจ
“ท่านจอมยุทธ์ฉินอวี้โม่ พวกเรายินดีหลั่งเลือดสาบานและจะไม่เปิดเผยเรื่องในวันนี้ต่อผู้ใด ยิ่งไปกว่านั้น พวกเราต้องการจะยอมจำนนต่อท่านและเข้าร่วมเป็นสมาชิกของเรือนเฟิงเสวี่ย ไม่ทราบว่ามันจะเป็นไปได้รึไม่ ?”
ครานี้พวกเขาไม่เพียงแต่ทำภารกิจล้มเหลวเท่านั้น ทว่าเฟิ่งซีอาจไม่มีชีวิตรอดกลับไปถึงนิกายด้วยซ้ำ หากพวกเขากลับไปที่นิกายหงส์มังกรเช่นนี้ บิดาของเฟิ่งซีและหลายคนที่จัดการดูแลนิกายก็คงจะเหยียบย่ำพวกเขาและอาจถึงขั้นหาเรื่องให้พวกเขาเผชิญกับความยากลำบาก เพราะเหตุนั้นพวกเขาจึงต้องการถือโอกาสนี้ออกจากนิกายหงส์มังกรเสียเลย
ฉินอวี้โม่คือเทพมายาคนใหม่และเรือนเฟิงเสวี่ยในตอนนี้ก็แกร่งกล้าพอสมควร กอปรกับหานโม่ฉือผู้เป็นยอดฝีมือขอบเขตนภาเซียนที่อยู่ข้างกายนาง การเข้าร่วมกับเรือนเฟิงเสวี่ยจึงถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขาในตอนนี้
แม้พวกเขาจะไม่เข้าใจในบุคลิกนิสัยฉินอวี้โม่มากนัก แต่พวกเขาก็เชื่อมั่นในตัวตนและความสามารถของนาง เพราะเหตุนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจเป็นนัย ๆ และหวังว่านางจะยินดี
ฉินอวี้โม่กวาดสายตามองคนเหล่านั้นและใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว
พวกเขาน่าจะเป็นศิษย์ที่มีฝีมือโดดเด่นของนิกายหงส์มังกร หากพวกเขายอมจำนนจริง การรับพวกเขาเข้าร่วมขุมกำลังก็ถือเป็นเรื่องที่ดี
ยิ่งไปกว่านั้น พวกนางและนิกายหงส์มังกรก็เป็นศัตรูต่อกันอยู่แล้ว ฉินอวี้โม่ไม่รังเกียจที่จะตัดกำลังของศัตรูมาเสริมกำลังให้กับตนเองและนางก็ไม่กังวลแม้แต่น้อยว่าคนเหล่านี้จะมีความคิดสองจิตสองใจ
“เอาล่ะ ในเมื่อพวกเจ้าอยากเข้าร่วมกับเรือนเฟิงเสวี่ย แน่นอนว่าข้าก็จะไม่ปฏิเสธ”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเบา ๆ ทว่ามีความคิดหลักแหลมบางอย่างผุดขึ้นในหัว
นิกายหงส์มังกร อารามโชติช่วง นครหมื่นอสูรและเรือนกระจกน้ำแข็งเป็นสี่ขุมกำลังที่ร่วมมือกันมาตลอด อย่างไรก็ตาม หลังจากเวลาที่ผ่านมาหลายปี ความสัมพันธ์ดังกล่าวไม่อาจเชื่อถือได้มากเช่นเดิมอีกต่อไป ในเมื่อคนเหล่านี้ยอมจำนนอย่างแท้จริง นางก็สามารถใช้พวกเขาเพื่อทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างขุมกำลังเหล่านั้นแตกหักได้
เมื่อเห็นเฟิ่งซีผู้ซึ่งนอนแผ่อยู่บนพื้นอย่างน่าเวทนา ความมุ่งร้ายก็ปรากฏในแววตาของฉินอวี้โม่
“พวกเจ้านำร่างของเฟิ่งซีกลับไปที่นิกายและแจ้งว่าเขาถูกสังหารโดยคนจากอารามโชติช่วง จงจำไว้ว่าต้องโน้มน้าวให้คนของนิกายหงส์มังกรเชื่อให้ได้ จากนั้นพวกเจ้าจงจับตาดูความเคลื่อนไหว สืบข่าวคราวของพวกเขาและส่งข่าวมาให้เราเป็นระยะ ๆ เข้าใจรึไม่ ?”
ฉินอวี้โม่กล่าวกับทุกคนและพวกเขาพยักหน้ากันอย่างพร้อมเพรียง
เดิมทีเฟิ่งซีคิดว่าฉินอวี้โม่จะไม่สังหารตน ทว่าตอนนี้สีหน้าของเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ก่อนหน้านี้เขาเชื่อว่าตนจะรอดชีวิตกลับไปได้และไม่คิดว่าจะต้องมาตายอยู่ที่นี่ สมองของเขาแล่นอย่างรวดเร็วเพื่อคิดหาหนทางตอบโต้ ทว่าเขาก็ไม่พบวิธีใด ต่อหน้าพลังมหาศาลเช่นนี้ แผนการและเล่ห์เหลี่ยมใด ๆ ล้วนเป็นเพียงเสือกระดาษเท่านั้น
* 纸老虎 เสือกระดาษ ความหมายคือ สิ่งที่ภายนอกดูเก่งกาจหรือน่าเกรงขาม แต่ความจริงไร้อำนาจและไม่อาจทนการต่อต้านได้
แน่นอนว่าหานโม่ฉือเข้าใจความคิดของฉินอวี้โม่และพลังแผ่ออกจากปลายนิ้วมือของเขาก่อนพุ่งออกไปปลิดชีพของเฟิ่งซีทันที ต่อให้เป็นเทพมาจากที่ใดก็ไม่สามารถชุบชีวิตเขาได้อีกแล้ว
บรรดาสมาชิกนิกายที่กล่าวสัตย์จงรักภักดีต่อฉินอวี้โม่ก็ไม่รอช้าและนำร่างของเฟิ่งซีกลับไปนิกายทันที แน่นอนว่าก่อนออกเดินทาง พวกเขาไม่ลืมที่จะแต่งเติมเพิ่มบาดแผลให้กับตนเองเพื่อให้ดูน่าเชื่อถือมากขึ้น เมื่อกลับถึงนิกายหงส์มังกร คนที่นั่นจะได้ไม่สงสัยหรือคลางแคลงใจในตัวพวกเขา
เซิ่งเซียวและคนอื่น ๆ ก็ได้กล่าวสัตย์สาบานแล้วเช่นกันว่าจะไม่เปิดเผยสิ่งใดที่เกิดขึ้นที่นี่ เกรงว่าเมื่อถึงตอนนั้น มันก็อาจจะเกิดความขัดแย้งบางอย่างขึ้นมาระหว่างนิกายหงส์มังกรและอารามโชติช่วงเนื่องจากเหตุการณ์ครานี้ และเมื่อเป็นเช่นนั้น ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็จะได้มีเวลาพัฒนาขุมกำลังของตนเองมากขึ้น
ฉินอวี้โม่มิได้สงสัยในตัวของคนจากนิกายหงส์มังกรเหล่านั้น และต่อให้จะสงสัยไม่มั่นใจสิ่งใดจริง นางก็ไม่กังวลว่าคนเหล่านั้นจะเปิดเผยตัวตนของนาง
นางมีอสูรมายาที่เชี่ยวชาญด้านข่ายอาคมและนิกายหงส์มังกรตระหนักถึงเรื่องนี้เป็นอย่างดี ต่อให้ความจริงถูกเปิดเผยและถูกสืบหาความจริง พวกเขาก็คงจะคิดแค่ว่าข่ายอาคมของฉินอวี้โม่ทำให้เกิดภาพหลอนลวงตากับคนเหล่านั้นและมิใช่สิ่งอื่นใด
ปิงเสวียนและฉู่เจี๋ยก็รู้สึกชื่นชมการกระทำของฉินอวี้โม่เป็นอย่างยิ่ง แน่นอนว่าพวกเขาต้องใช้วิธีการที่แตกต่างไปจากเดิมเพื่อรับมือกับคนเหล่านั้น
“โม่เอ๋อร์ อสูรทั้งสองตัวเข้าไปข้างในนานแล้ว พวกมันอาจพบบางอย่างก็เป็นได้ เราเข้าไปดูกันเถอะ”
หานโม่ฉือกล่าวพร้อมคว้ามือบางของฉินอวี้โม่และมุ่งหน้าเข้าสู่ประตูอีกฟากหนึ่งของลานจัตุรัสเพื่อตามไปในทิศทางของตัวนิ่มพันปีและจิ้งจอกเก้าหาง
ภายในประตูบานนั้นคือโถงกว้างแห่งหนึ่งซึ่งมีทางเดินใต้ดินลับอยู่ เวลานี้ประตูไปสู่ทางเดินใต้ดินก็ถูกเปิดไว้แสดงให้เห็นว่าอสูรทั้งสองตัวเข้าไปในทิศทางดังกล่าวแล้ว
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือไม่รอช้าและตามเข้าไปในทางเดินนั้นทันที แม้ไม่ทราบว่าทางเดินนี้จะนำทางไปสู่ที่ใด ทั้งสองก็เข้าใจได้ว่าความลับสูงสุดของสระกายสิทธิ์แห่งนี้น่าจะอยู่ที่นั่น
ณ ส่วนที่ลึกที่สุดของทางเดินคือห้องลับขนาดเล็กห้องหนึ่ง ภายในนั้นมีแท่นหินขนาดใหญ่ซึ่งมีกล่องเปื้อนฝุ่นวางอยู่บนนั้น
เมื่อจิ้งจอกเก้าหางเข้ามาในห้องนี้และสังเกตเห็นกล่องดังกล่าว มันก็กำลังจะเอื้อมมือออกไปหยิบ ทว่าก็ถูกขัดขวางไว้โดยตัวนิ่มพันปีที่รีบตามเข้ามาอย่างกะทันหัน
“พี่ตัวนิ่ม ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แล้วมังกรเหมันต์ล่ะ ?”
เมื่อถูกขัดจังหวะ จิ้งจอกเก้าหางก็ไม่ได้มีท่าทีหงุดหงิดหรือฉุนเฉียวแต่อย่างใดขณะเอ่ยถาม
“น้องจิ้งจอกเก้าหาง เจ้าต้องการสิ่งที่อยู่ตรงหน้าจริง ๆ รึ ?”
ตัวนิ่มพันปีไม่ตอบคำถามทว่าเอ่ยถามกลับไป
“พี่ตัวนิ่ม ท่านก็รู้ว่าข้าต้องการเพียงอยู่กับท่าน ตราบใดที่สิ่งนั้นไม่ตกไปอยู่ในมือของมังกรเหมันต์ ข้าก็ไม่สนใจสิ่งอื่นใด”
จิ้งจอกเก้าหางไม่ลังเลและกล่าวตอบด้วยแววตาจริงใจ
“ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดี”
ตัวนิ่มพันปีถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อทราบว่าไม่ต้องประจันหน้ากับบุรุษทรงพลังที่น่าสะพรึงกลัวผู้นั้น
“มีอะไรรึ ? เกิดอะไรขึ้นข้างนอกรึ ?”
เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางประหลาดของตัวนิ่มพันปี จิ้งจอกเก้าหางก็ขมวดคิ้วมุ่นและเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล
“มิใช่เรื่องใหญ่นักหรอก เพียงแต่มีจอมยุทธ์ขอบเขตนภาเซียนปรากฏตัวอย่างกะทันหันและจัดการเจ้ามังกรเหมันต์จนอยู่หมัด เขาต้องการสิ่งที่อยู่ในนี้ หากเจ้าอยากได้มัน ข้าก็ย่อมช่วยเจ้าอย่างสุดความสามารถ ทว่าข้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนผู้นั้นอย่างแน่นอน แต่หากเจ้าไม่ต้องการมัน เราก็ไม่ต้องกังวลว่าจะกลายเป็นศัตรูกับเขา”
ตัวนิ่มกล่าวพร้อมรอยยิ้มโล่งใจ มันเชื่อว่าตราบใดที่ไม่ต้องต่อสู้กับบุรุษทรงพลังผู้นั้น ชีวิตของพวกมันทั้งสองก็จะปลอดภัยดี
“โอ้ ? มีเรื่องเช่นนั้นรึ…”
จิ้งจอกเก้าหางชะงักไปครู่หนึ่ง ทว่าเมื่อกำลังจะเอ่ยถามออกไป มันก็มองเห็นมนุษย์สองคนที่ปรากฏกายขึ้นมาหน้าประตู