ตอนที่ 1712 โอเอซิสปรากฏ

อัจฉริยะสมองเพชร

อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆

ตอนที่ 1712 โอเอซิสปรากฏ

จางเซวียนวางแผนจะใช้ความสำเร็จในการทำให้อสูรในป่ายอมจำนนมาใช้กับยักษ์ผืนทราย เพื่อให้มันนำทางเขาไปสู่โอเอซิส ไม่คิดเลยว่ายักษ์ผืนทรายจะเปราะบางถึงขนาดที่การปล่อยกระแสดาบฉีเพียงครั้งเดียวก็ทำให้มันแหลกสลายกลายเป็นกองทราย

ต่อให้ตัวเขาก็ไม่อาจทำให้ผืนทรายนี้ก่อตัวกลับคืนเป็นยักษ์ผืนทรายได้!

“จิตวิญญาณของมันดูจะอ่อนแอไปหน่อยไหม?” จางเซวียนนวดหว่างคิ้วอย่างจนปัญญา

เขาคิดว่าเจ้าสองตนนี้ อย่างน้อยก็น่าจะแข็งแกร่งพอๆกับนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานทั่วไป ไม่นึกเลยว่าพวกมันจะพ่ายแพ้อย่างง่ายดาย

ในแง่ของจิตวิญญาณ พวกมันอ่อนแอกว่าของล้ำค่าที่เขาเคยร่ายมนต์ใส่มาก

“ผมเสียใจด้วยที่ต้องรบกวนคุณ แต่คุณจะช่วยเรียกยักษ์ผืนทรายมาอีกสัก 2-3 ตัวได้ไหม?” จางเซวียนหันไปมองเหล่านักรบด้วยสีหน้าที่ออกจะละอายใจ

การที่คนเหล่านี้จะล่อยักษ์ผืนทรายให้ปรากฏตัวได้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เขากลับสังหารมันก่อนที่จะทันได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์…เขาต้องจดจำเรื่องนี้ไว้ให้ดีเพื่อไม่ให้ทำผิดพลาดซ้ำสอง

“ได้สิ!” ทุกคนพยักหน้า

นักรบอีกคนหนึ่งก้าวออกมาพร้อมกับน้ำเต้า 1 ลูก แต่คราวนี้เขาขว้างมันลงกับพื้นโดยไม่ยอมดื่ม

เมื่อน้ำไหลซึมลงสู่ผืนทราย ควันสีขาวก็ลอยโขมง ผืนทรายส่งเสียงฉี่ฉ่า แต่คราวนี้ยักษ์ผืนทรายไม่ปรากฏตัวแม้พวกเขาจะรออยู่แสนนาน

“ผมคิดว่ามันจะปรากฏตัวก็ต่อเมื่อคุณดื่มน้ำเท่านั้น” จางเซวียนพูด

“ได้!” นักรบผู้นั้นส่ายหน้าอย่างจนปัญญา เขานำน้ำเต้าที่บรรจุน้ำออกมาอีกลูกหนึ่งและจิบเข้าไป 2-3 อึก

ก่อนหน้าที่จะดื่มน้ำ เขายังคงสบายดี แต่ทันทีที่น้ำเข้าสู่ริมฝีปาก ใบหน้าของเขาก็แดงก่ำจนดูเหมือนควันจะลอยโขมงออกจากศีรษะได้ นักรบผู้นั้นพยายามระงับความเวียนหัวไว้และโยนน้ำเต้าทิ้งอีกครั้ง

ฉ่าาาาา!

น้ำไหลซึมลงสู่ผืนทราย และก็เหมือนกับคราวก่อน ยักษ์ผืนทราย 2 ตนปรากฏตัว

ทั้งคู่เป็นนักรบชั่วกัลปาวสานขั้นต้น และดูเหมือนจะมีสติปัญญาไม่สูงนัก จางเซวียนสูดหายใจลึกแล้วพุ่งเข้าใส่ยักษ์ผืนทรายทั้ง 2 ตนอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาไม่กล้าปลดปล่อยพละกำลังมากเกินไป โดยตั้งใจจะทำให้มันติดกับแทน

ยักษ์ผืนทรายทั้ง 2 ตนยังคงฉีกทึ้งฉนวนที่กักขังมันไว้ แต่ก็ไม่อาจปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระได้

“การค้นหาจิตวิญญาณ!”

คราวนี้ แทนที่จะพยายามทำให้ยักษ์ผืนทรายยอมจำนน จางเซวียนเลือกใช้ศิลปะแห่งจิตวิญญาณของเขา

จากการอ่านหนังสือทั้งหมดในตระกูลเจียงและการสำเร็จความเข้าใจเรื่องแก่นสารของจิตวิญญาณ จางเซวียนมีความเชี่ยวชาญอย่างสูงในเทคนิคของเหล่าผู้พยากรณ์จิตวิญญาณ อย่างเช่นการค้นหาจิตวิญญาณที่เขากำลังใช้อยู่

เพียงแต่เทคนิคนี้ทำลายความกลมกลืนและความเป็นหนึ่งเดียวของโลก เขาจึงพยายามหลีกเลี่ยงไม่ใช้มัน เว้นเสียแต่จะจำเป็นจริงๆ

ยักษ์ผืนทรายที่อยู่ตรงหน้าเขาดูเหมือนจะไม่ใช่สิ่งมีชีวิตทั่วไป จางเซวียนจึงไม่ลังเลที่จะใช้การค้นหาจิตวิญญาณกับมัน

ฟึ่บ!

จิตใต้สำนึกของจางเซวียนดำดิ่งเข้าสู่ร่างที่ก่อตัวขึ้นจากผืนทรายนั้น ครู่ต่อมา เขาก็พบว่ารอบกายมีแต่ความมืดมิด เขาเห็นเมล็ดลำแสงที่ฉายแสงอยู่อย่างเลือนรางท่ามกลางความมืดอันล้ำลึกไม่มีที่สิ้นสุด

“นี่มัน…ศิลปะการร่ายมนต์พลิกฟื้นจิตวิญญาณ?” จางเซวียนขมวดคิ้ว

เขาเคยคิดว่ายักษ์ผืนทรายดูจะงี่เง่าไปสักหน่อยสำหรับนักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน แต่ใครจะไปคิดว่าแท้ที่จริงแล้วมันคือผลงานของการร่ายมนต์พลิกฟื้นจิตวิญญาณ!

นั่นอธิบายได้ว่าทำไมพวกมันถึงอ่อนแอมากแม้จะมีวรยุทธสูงระดับนี้ เป็นเรื่องธรรมดาที่สติปัญญาของสิ่งมีชีวิตที่ได้รับการร่ายมนต์จะต่ำกว่านักรบทั่วไป ทำให้ประสิทธิภาพการต่อสู้ของพวกมันอ่อนด้อยตามไปด้วย

ตอนที่จางเซวียนเผชิญหน้ากับสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ในเมืองหลวงแห่งสมาพันธ์นานาจักรวรรดิ หวังหยิ่งได้ร่ายมนต์ใส่สภาปรมาจารย์ทุกแห่ง แต่ประสิทธิภาพโดยรวมของกองกำลังนั้นก็ยังมีจำกัด

“เดี๋ยวก่อน…ยักษ์ผืนทรายพวกนี้ก่อตัวขึ้นจากทรายธรรมดา การทำให้ทรายธรรมดามีประสิทธิภาพการต่อสู้เทียบเท่ากับนักรบชั่วกัลปาวสานขั้นต้นได้…” จางเซวียนตัวแข็งขึ้นมาทันที

ยักษ์ผืนทรายพวกนี้อาจงี่เง่าไปสักหน่อย แต่พละกำลังที่พวกมันมีอยู่ก็ถือว่าไม่น้อย ไม่อย่างนั้น นักรบทั้งกลุ่มที่มีถึง 18 คนคงไม่ต้องรับมือกับมันด้วยความยากลำบาก

เขาสังหารพวกมันไป 3 ตัวแล้ว และหลังจากที่จิตวิญญาณของมันเสื่อมสลายไป มันก็แปรสภาพกลับคืนเป็นผืนทรายธรรมดาสามัญทันที พูดอีกอย่างก็คือ มีบางอย่างอยู่ในผืนทรายแห่งนี้ที่สามารถร่ายมนต์ใส่ผืนทรายและนำความแข็งแกร่งที่เทียบเท่ากับนักรบชั่วกัลปาวสานมาสู่มันได้

เรื่องนี้ถือว่าน่าสะพรึงไม่น้อยทีเดียว!

ในฐานะผู้ฝึกฝนศิลปะการร่ายมนต์พลิกฟื้นจิตวิญญาณเทียบฟ้า จางเซวียนมั่นใจว่าความสามารถในการร่ายมนต์ของเขาเหนือชั้นอย่างไม่มีใครเทียบได้ ต่อให้เปรียบเทียบกับหวังหยิ่งซึ่งเป็นถึงประธานสมาคมผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณสำนักงานใหญ่ก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็รู้ดีว่าขีดจำกัดของความสามารถในการเรียกจิตวิญญาณของเขาก็ยังมีอยู่ สำหรับสิ่งที่ไร้รูปร่างที่แน่นอน การร่ายมนต์ของเขาไม่น่าจะใช้ได้ผล อย่าว่าแต่จะมอบพละกำลังระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ให้มันเลย!

ฟึ่บ!

เมื่อกำลังครุ่นคิดหนัก จางเซวียนก็สูญเสียการควบคุมพลังจิตวิญญาณของเขาไปครู่หนึ่ง แล้วยักษ์ผืนทราย 2 ตนก็สลายตัวอย่างรวดเร็ว ร่างของมันกลายสภาพเป็นทรายสีเหลืองหนึ่งกอง

จางเซวียนเข้าไปพิจารณากองทรายที่เหลืออยู่อย่างถี่ถ้วน พวกมันเป็นทรายธรรมดา ไม่มีอะไรเจือปนอยู่ในนั้น

จากนั้น เขาก็สำรวจบริเวณโดยรอบพร้อมกับหรี่ตา

เป็นอย่างที่เขาคาดไว้

ถ้ายักษ์ผืนทรายเหล่านี้เป็นผลงานจากการร่ายมนต์พลิกฟื้นจิตวิญญาณ ก็เป็นไปได้ว่าผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณที่ทำการร่ายมนต์ใส่มันจะต้องรู้ว่าทางออกอยู่ที่ไหน

หรือพูดอีกอย่างก็คือ กุญแจที่นำไปสู่การเดินทางออกจากมิติลี้ลับแห่งนี้อยู่ที่ว่าเขาจะหาตัวผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณพบหรือไม่

ว่าแต่…เขาจะพบตัวผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณคนนั้นได้อย่างไรล่ะ?

จางเซวียนครุ่นคิดอย่างหนัก แต่แล้ว ครู่ต่อมาเขาก็พลันนึกได้

“ถ้าเราจำไม่ผิด ยักษ์ผืนทรายดูจะปรากฏตัวมาจากทิศทางนั้น เป็นไปได้ว่าผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณจะต้องอยู่ทางนั้นเหมือนกัน!”

เหล่าผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณจะต้องสื่อสารโดยตรงกับวัตถุที่เขาต้องการร่ายมนต์ใส่ แม้จางเซวียนจะไม่รู้ว่าผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายแห่งนี้จะใช้วิธีการแบบเดียวกับเขาหรือไม่ แต่ทิศทางที่ยักษ์ผืนทรายปรากฏตัวขึ้นก็พอจะบอกเงื่อนงำอะไรบางอย่างได้

“ทุกคน ตามผมมา!”

จางเซวียนนำทางไปสู่ทิศที่ยักษ์ผืนทรายปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่ลังเล

หลังจากเดินทางไปได้ราว 10 นาที เขาก็หยุดกึก

พื้นที่โดยรอบไม่มีอะไรแตกต่างจากเดิม สิ่งที่เห็นมีเพียงผืนทรายสีเหลือง

จางเซวียนมองไปรอบๆตัว แต่ก็หาเงื่อนงำใดๆไม่พบสักอย่าง จึงหันไปสั่งการกับนักรบทั้ง 18 คนว่า “ผมอยากให้คุณเรียกยักษ์ผืนทรายมาอีกตนหนึ่ง…”

เมื่อได้ยินคำขอนั้น นักรบทั้ง 18 คนมีสีหน้าเจื่อนๆ

ไม่เพียงแต่คุณจะทำให้หยดน้ำทิพย์ของพวกเราสูญเปล่ายังบังคับให้เราต้องดื่มน้ำเพื่อทำให้ตัวเองเกิดสภาวะขาดน้ำด้วย

คุณรู้หรือเปล่าว่าพวกเราจะตายหากยังต้องกระหายน้ำอยู่แบบนี้*?*

ถึงทุกคนจะไม่เต็มใจ แต่ก็รู้ดีว่าชายหนุ่มเป็นความหวังเดียวที่จะทำให้พวกเขาออกไปจากดินแดนทุรกันดารแห่งนี้ได้ นักรบอีกคนหนึ่งจึงทำตามกระบวนการเดิมโดยไม่ลังเล

ไม่ช้า ยักษ์ผืนทราย 2 ตนก็วิ่งรี่เข้ามาจากอีกทิศทางหนึ่ง

ยักษ์ผืนทราย 2 ตนนี้แข็งแกร่งกว่าตัวก่อนๆอย่างเห็นได้ชัด แม้ระดับวรยุทธของมันจะยังเป็นแค่นักรบชั่วกัลปาวสานขั้นต้น แต่ประสิทธิภาพการต่อสู้ของมันสูงกว่าตัวเดิมมาก แถมคราวนี้ พวกมันดูจะมีสติปัญญาสูงกว่าเดิมด้วย

รู้ดีว่าไม่มีทางทำให้ยักษ์ผืนทรายยอมจำนนได้ จางเซวียนจึงสังหารพวกมันโดยไม่ลังเล จากนั้นเขาก็มุ่งหน้าไปตามทิศทางที่ยักษ์ผืนทรายปรากฏตัวขึ้นเมื่อครู่ก่อน

เมื่อเดินทางไปได้อีกราว 10 นาที เขาก็สั่งการให้ทั้งกลุ่มทำตามกระบวนการเดิมอีกครั้ง

ยักษ์ผืนทรายอีก 2 ตนปรากฏตัว แต่คราวนี้ประสิทธิภาพการต่อสู้ของมันเพิ่มสูงขึ้นเป็นนักรบชั่วกัลปาวสาน ขั้นกลาง

“ดูเหมือนประสิทธิภาพการต่อสู้ของยักษ์ผืนทรายจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเมื่อเราเริ่มเข้าใกล้ผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณ…” เมื่อเห็นว่าสุดท้ายก็เกิดการเปลี่ยนแปลง จางเซวียนตาโตด้วยความตื่นเต้น

พวกเขาเดินหน้าต่อไปด้วยวิธีการนี้ เมื่อไรก็ตามที่จางเซวียนเกิดความลังเลเรื่องทิศทาง ก็จะหันไปสั่งการทั้งกลุ่มให้ดำเนินกระบวนการดื่มน้ำและโยนน้ำทิ้ง

ด้วยการทำซ้ำอีก 10 ครั้ง ประสิทธิภาพการต่อสู้ของยักษ์ผืนทรายก็เพิ่มสูงขึ้นเป็นนักรบชั่วกัลปาวสาน ขั้นสูง

แต่ดูเหมือนว่าประสิทธิภาพการต่อสู้ของมันจะมาถึงจุดที่ไม่อาจเพิ่มขึ้นไปกว่าเดิมได้อีกแล้ว

“นี่คือระดับความแข็งแกร่งของยักษ์ผืนทรายเมื่อ 10 นาทีก่อน แล้วตอนนี้ความแข็งแกร่งก็ยังคงเท่าเดิม ถ้าผมเชื่อมต่อระหว่างจุดสองจุดที่เราเรียกยักษ์ผืนทรายมา ก็เป็นไปได้ว่าผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณน่าจะอยู่ที่บริเวณใจกลางเส้นตรงนั้น!”

เหล่าผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณจะใช้จิตวิญญาณของพวกเขาเป็นสื่อกลางในการควบคุมของล้ำค่าที่ถูกร่ายมนต์ใส่ และพละกำลังในการควบคุมของพวกเขาจะขึ้นอยู่กับระยะทางระหว่างผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณกับของล้ำค่าชิ้นนั้น ในเมื่อยักษ์ผืนทรายทั้ง 2 ตนมีพละกำลังเท่ากัน ก็หมายความว่า ระยะทางของการควบคุมที่ผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณใช้กับของล้ำค่าที่เขาร่ายมนต์ใส่มีระยะห่างที่เท่ากัน

หรือพูดอีกอย่างก็คือ เป็นไปได้ว่าผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณอยู่ห่างจากทั้ง 2 จุดนี้ในระยะทางที่เท่าๆกัน

ถ้าจะอธิบายให้ง่ายขึ้น ทุกคนจะต้องมุ่งหน้าไปยังจุดศูนย์กลางระหว่างทั้ง 2 จุดที่พวกเขาเรียกยักษ์ผืนทรายมา แล้วเดินทางมุ่งหน้าขึ้นไปหรือไม่ก็หันหลังกลับ แล้วก็จะเจอผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณคนนั้น!

“ไปกันเถอะ!”

เมื่อมั่นใจในทิศทางแล้ว จางเซวียนเดินตรงไปยังจุดศูนย์กลางแล้วเดินทางมุ่งหน้าขึ้นไป

หลังจากนั้นอีกครู่หนึ่ง ขณะที่ทุกคนกำลังจะหมดความอดทน ก็ได้ยินเสียงอุทาน

“ดูนั่น! โอเอซิสอยู่ข้างหน้า”

จางเซวียนรีบหันไปมอง ขณะที่ได้ยินเสียงนั้น เขาก็เห็นพุ่มไม้เขียวชอุ่มโดดเด่นอยู่ท่ามกลางผืนทรายสีเหลืองอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา