ตอนที่ 13 การบำเพ็ญห้วงอากาศ โดย Ink Stone_Fantasy
ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าไปในบริเวณที่ปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายทำลายล้างอันร้ายกาจแห่งนี้ เพิ่งเดินออกมาจากกลางห้วงอากาศอันบิดเบี้ยว ก็เห็นรูปลักษณ์ของพื้นที่แห่งนี้
“รัง!”
นี่คือพื้นที่อันแปลกประหลาดแห่งหนึ่ง ห้วงอากาศภายในถูกบิดจนกลายเป็นรูปร่างของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง บนต้นไม้ใหญ่ที่มาจากห้วงอากาศอันบิดเบี้ยวนี้มี ‘ไข่’ หลายฟองปรากฏอยู่ เปลือกไข่ล้วนเป็นสีเทา ไข่เหล่านี้มีทั้งใหญ่ทั้งเล็ก มองไปปราดหนึ่งก็มีไข่อยู่หลายร้อยฟอง ไข่ฟองใหญ่ที่สุดในบรรดานั้นก็ฟักออกมาแล้ว เผยให้เห็นตัวอ่อนของฝูงมารผลาญทำลายที่ตลอดร่างยังเต็มไปด้วยเมือก ตัวอ่อนของฝูงมารผลาญทำลายนี้กำลังกินเปลือกไข่อยู่
“หืม”
ที่รังแห่งนี้ก็มีนักรบฝูงมารผลาญทำลายเกราะสีเทาที่เจริญวัยเต็มที่แล้วเฝ้ายามอยู่สองตน พวกเขาทั้งสองสัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นมิติ จึงหันหน้าไปมองในทันใด แต่บริเวณไกลออกไปกลับเต็มไปด้วยความว่างเปล่า ไม่มีเงาร่างใดๆ อยู่เลย
“มีผู้บำเพ็ญ” ถึงแม้ว่าจะมองไม่เห็น ทั้งยังมิอาจหยั่งรู้ได้ แต่พวกเขากลับแน่ใจเป็นอย่างยิ่งว่ามีผู้บำเพ็ญบุกรุกเข้ามาแล้วอย่างแน่นอน
เพราะแต่ละบริเวณภายในรังแห่งนี้ต่างก็มีพลังทำลายล้างอันร้ายกาจ พลังของตงป๋อเสวี่ยอิงไม่เข้ากันกับพลังทำลายล้างอันร้ายกาจนี้เลย
“ถูกพบเข้าเสียแล้วสิ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมองดูมิติของต้นไม้ใหญ่แห่งนั้น “มิติถึงกับก่อร่างเป็นต้นไม้ใหญ่ ทั้งยังสามารถเจริญออกมาเป็นไข่ ฟูมฟักฝูงมารผลาญทำลายออกมาได้อย่างนั้นหรือ ช่างน่าอัศจรรย์เหลือเกิน” ถ้าหากมีเวลาดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน เขาก็คงจะยิ่งพึงพอใจ แต่ว่าข้อมูลที่เขาได้รู้บอกเขาว่าไม่สามารถผัดผ่อนเวลาได้อีกต่อไปแล้ว
ปัง…
ระลอกคลื่นจำนวนนับไม่ถ้วนเคลื่อนเข้ามา ร่างกายของฝูงมารผลาญทำลายเกราะสีเทาสองตนนั้นก็แตกสลายกลายเป็นความว่างเปล่าในทันใด ต้นไม้ใหญ่ขนาดมหึมาในห้วงอากาศอันบิดเบี้ยวนั้นก็ถูกฝืนบีบให้บิดเบี้ยวจนแหลกละเอียด ไข่หลายร้อยฟองนั้นรวมทั้งฝูงมารผลาญทำลายที่ฟักตัวออกมาแล้วจำนวนหนึ่งแหลกสลายจนหมดสิ้นในทันใด
ถึงแม้ว่าร่างแปรนี้ของเขาจะอ่อนแอ ระยะทางห่างไกล วิญญาณควบคุมร่างแปรจากระยะทางไกล การสำแดงเคล็ดวิชาจึงกินแรงเป็นอย่างยิ่ง แม้กระทั่งการสำแดงเคล็ดวิชาบุปผาผลาญทำลายกระบวนท่าที่หนึ่ง ก็สามารถสำแดงได้เพียงสามดอกพร้อมกันเท่านั้น พลังยุทธ์เช่นนี้จัดอยู่แค่เพียงชั้นที่เจ็ดของเจดีย์ดาวเท่านั้น! แต่ลำพังแค่ร่างแปรร่างหนึ่งก็มีพลังยุทธ์ถึงเพียงนี้ก็ล้ำเลิศเหลือเกินแล้ว
แผนภาพคลื่นจานอาณาเขตใหญ่โตที่เขาสำแดงเมื่อครู่สังหารฝูงมารผลาญทำลายเหล่านี้ ถึงอย่างไรก็เป็นระดับเกราะสีเทากลุ่มหนึ่ง ก็ย่อมถูกกำจัดได้โดยง่ายอยู่แล้ว
“สวบ” ตงป๋อเสวี่ยอิงย่างเท้าก้าวหนึ่งก็มาถึงประตูมิติแล้วพุ่งตัวเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ด้านนอกประตูมิติ ก็คือทางเดินมิติหลากสีสันอันตระการตาเส้นหนึ่ง
“ฆ่ามันเสีย”
“ไปตามจับเขาสิ” ฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองตนหนึ่งเป็นหัวหน้า ยังมีฝูงมารผลาญทำลายเกราะโลหิตอีกฝูงหนึ่งคอยติดตาม พวกมันแปลงร่างเป็นลำแสงแล้วเคลื่อนผ่านทางเดินมิติอย่างรวดเร็ว ทว่าทางเดินมิติแสนอันตรายที่หลงทางได้โดยง่ายนี้ กลับเป็นบ้านของฝูงมารผลาญทำลาย พวกเขาจึงย่อมผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง ไม่ต้องกังวลว่าจะหลงทางเลยแม้แต่น้อย
“มากันเร็วเหลือเกิน” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงอยู่บ้าง ทำให้พุ่งไปด้วยความเร็วสูงขึ้น
สวบๆๆ…
เคลื่อนที่หลบหนีด้วยความเร็วสูงตลอดทาง ถึงแม้ว่าจะถูกไล่ตาม อย่างแย่ที่สุดก็คือต้องละทิ้งร่างแปร สามารถรักษาได้ก็พยายามรักษาเอาไว้ก่อนดีกว่า
เดิมทีทางเดินมิติก็ค่อนข้างอันตรายอยู่แล้ว ดูเหมือนว่าจะงดงามตระการตา แต่ความจริงแล้วแฝงไว้ด้วยกับดักจำนวนมาก หากเหยียบลงไปก้าวหนึ่งก็อาจถูกเคลื่อนย้ายเข้าไปยังสถานที่แสนอันตรายสักแห่งของทางเดินโลกาพิศวง ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นถึงยอดฝีมือในด้านการควบคุมอากาศ ถ้าหากเดินหน้าไปอย่างระมัดระวัง ก็จะสามารถพบกับดักแต่ละแห่งได้ แต่เมื่อถูกไล่ตามก็ไม่มีทางแยกแยะอย่างละเอียดภายใต้การเหินทะยานด้วยความเร็วสูงได้แล้ว
ทางเดินอันงดงามตระการตา ทุกหนแห่งล้วนเป็นระลอกคลื่นหลากสีสัน ดูเหมือนกันไปหมด
ฟิ้ว
ในขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงจะเคลื่อนที่ในพริบตาปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้งนั้น แสงสีกลับสั่นไหวคราหนึ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็หายวับไปเสียแล้ว
“พรึ่บ…” ประกายด้านหลังสว่างวาบ ฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองตนหนึ่งนำทางฝูงมารผลาญทำลายเกราะโลหิตให้หยุดลงแล้วมองไปไกลๆ ยังเบื้องหน้า “ผู้บำเพ็ญผู้นั้นหลงทางแล้ว ทำให้เขาโชคดีค้นพบรังแห่งหนึ่งเข้า”
“ก็แค่รังระดับต่ำรังหนึ่งเท่านั้น” ฝูงมารผลาญทำลายเกราะโลหิตตนอื่นก็พูดขึ้น
……
เป็นที่รู้กันว่ารังแบ่งออกเป็นสามระดับ แบ่งเป็นที่ฟูมฟักระดับเกราะสีเทา ระดับเกราะโลหิต และระดับเกราะทอง! เห็นได้ชัดว่า ‘รังของฝูงมารผลาญทำลายระดับเกราะทอง’ นั้นมีมูลค่าสูงที่สุด เพราะฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองตนใดๆ ก็ตามตนหนึ่ง พลังยุทธ์ต่ำที่สุดก็เป็นระดับชั้นที่เจ็ดของเจดีย์ดาว ระดับสูงในบรรดานั้นก็เป็นถึงระดับชั้นที่เก้าของเจดีย์ดาว
ดังนั้นหากสามารถทำลายได้แห่งหนึ่ง นั่นก็จะเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งเลยทีเดียว ตอนนั้นจ้าวภูเขาฉื้อเหมยยื่นข้อเสนอที่สูงเช่นนั้น หากไม่ได้อะไรเลยก็ต้องมอบหนึ่งหมื่นศิลาปฐมโลกาให้กับเขาทุกหนึ่งร้อยล้านปี หากค้นพบรังระดับเกราะดำก็ต้องจ่ายหนึ่งหมื่นศิลาปฐมโลกา หากเป็นรังระดับเกราะทองก็ต้องจ่ายถึงสองแสนศิลาปฐมโลกาเต็มๆ
อันที่จริงแล้วรังระดับเกราะสีเทานั้นไม่ควรค่าแก่การพูดถึง สำหรับเทพจักรวาลแล้วฝูงมารผลาญทำลายระดับต่ำที่สุด อย่างมากก็เป็นเพียงแค่เขม่าปืนเท่านั้น ส่งร่างแปรร่างหนึ่งไปอย่างลวกๆ ก็สามารถกำจัดได้อย่างง่ายดายแล้ว!
ถึงแม้ว่าระดับเกราะดำจะควรค่ากับการให้ความสนใจ แต่ในสายตาของเทพจักรวาลก็ยังคงมีมูลค่าไม่สูงเช่นกัน
พวกเขาเชื้อเชิญจ้าวภูเขาฉื้อเหมย…ที่ปรารถนาที่สุดก็คือการจัดการกับรังระดับเกราะทอง! สองแสนศิลาปฐมโลกานี้พวกเขาเต็มอกเต็มใจจ่ายอยู่แล้ว แต่น่าเสียดายที่จ้าวภูเขาฉื้อเหมยหาไม่พบ หาพบเพียงแค่รังระดับเกราะดำห้าแห่งเท่านั้น… ก็ทำให้พวกเขาจ่ายไปหนึ่งแสนห้าหมื่นศิลาปฐมโลกา เหล่าเทพจักรวาลก็ไม่สามารถสุรุ่ยสุร่ายเช่นนี้ได้
กับฝูงมารผลาญทำลายเหล่านี้ก็เช่นกัน พวกเขามิได้สนใจรังระดับต่ำเหล่านี้เลย
“พรึ่บ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่ามิติตรงหน้าบิดเบี้ยว ก็มาถึงกลางมิติอลวนแห่งหนึ่ง มิติโดยรอบเรียงตัวกันชั้นแล้วชั้นเล่า ทั้งยังมีชิ้นส่วนที่แตกกระจายจำนวนมาก สีสันต่างๆ นานา โลกที่มีสีสันลวงตาช่างงดงามตระการตาหาใดเปรียบ
“หลงทางแล้วหรือนี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเห็นเหตุการณ์นี้ก็เข้าใจได้แล้ว นึกอยากจะเดินออกไป เทพจักรวาลก็ยังทำมิได้
นอกเสียจากอาศัยการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้น!
“พรึ่บ”
หลังจากสังเกตอยู่ชั่วครู่ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เหยียบย่างเข้าสู่ห้วงมิติอันบิดเบี้ยวที่ปรากฏขึ้นด้านข้างแล้วหายลับไป
บนทางเดินมิติที่กำหนดเอาไว้แน่นอน ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ คราวนี้เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง ห้าวันให้หลัง เขาก็ค้นพบรังแห่งหนึ่ง คราวนี้เขามิได้ผลีผลามเข้าไปในรัง หากแต่มาที่ภายในมิติอันแห้งแล้งแห่งหนึ่งบริเวณใกล้ๆ รัง
ภายในมิติอันแห้งแล้ง มิติแห่งนี้ก็กำลังเจริญอย่างช้าๆ เช่นกัน ภายในไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ อยู่เลย
ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงตรงกลาง
“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงสอดแนมผ่านโพรงทรงกลมหมอกดำ เพราะรังอยู่ที่ประตูถัดไป เขาจึงสอดแนมได้อย่างแจ่มชัดยิ่งนัก
“เป็นรังระดับเกราะสีเทาอีกแห่งหนึ่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ รังประเภทนี้มีมูลค่าการต่อสู้ไม่สูงนัก
……
กาลเวลาเคลื่อนผ่าน ร่างแปรของตงป๋อเสวี่ยอิงเดินทางอยู่ภายในทางเดินโลกาพิศวงอย่างเงียบเชียบ นอกจากครั้งแรกที่เข้าไปในรังโดยตรงภายด้วยความประหลาดใจแล้ว ครั้งอื่นๆ ล้วนเป็นการเข้าไปในมิติข้างๆ รังจำนวนหนึ่ง แล้วทำการ ‘สอดแนม’ ระยะใกล้ แต่ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าท้ายที่สุดแล้วทางเดินโลกาพิศวงก็มีขนาดประมาณครึ่งโลกทิพย์ การค้นหารังระดับต่ำก็ต้องใช้ระยะเวลาหลายวัน การหารังเกราะดำก็ยากเย็นยิ่งกว่า ฝีมือระดับจ้าวภูเขาฉื้อเหมยก็ยังหารังเกราะดำพบแค่เพียงห้าแห่งเท่านั้น
นึกอยากจะหาให้พบนั้นช่างยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง
ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับทุ่มเทความคิดจิตใจไปกับการบำเพ็ญมากกว่า การค้นพบรังเป็นเพียงแค่ผลพลอยได้เท่านั้น เดินทางไป ก็ชมดูอากาศอันแสนพิเศษนานาชนิดของ ‘ทางเดินโลกาพิศวง’ ไปด้วย ก็ยิ่งมีความเข้าใจในอากาศอย่างลึกล้ำมากยิ่งขึ้น วิชาลับผู้ท่องก็เริ่มยกระดับขึ้นอีกครั้ง
……
การสำรวจภายในทางเดินโลกาพิศวงถูกกำหนดให้เนิ่นนานเป็นอย่างยิ่ง
และที่ปราการอากาศ ภายในโถงตำหนักขนาดมหึมา บรรดาขั้นอลวนจำนวนมากนั่งเรียงรายกัน ดูเหมือนว่าต่างก็เป็นร่างแปรกันทั้งสิ้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็แบ่งร่างแปรร่างหนึ่งเอาไว้ที่นี่ด้วย ขอเพียงแค่ร่างแปรไม่ต่อสู้ การรักษาสภาพร่างแปรก็สิ้นเปลืองพลังจิตเพียงน้อยนิดเท่านั้น
“ฝูงมารผลาญทำลายเหล่านี้ช่างระแวดระวังนัก โดยปกติแล้วต่างก็เคลื่อนไหวอยู่ข้างนอก ต่างก็ไม่กล้าเข้ามายังบริเวณด้านใน”
“พวกเขาก็มิได้โง่งม ที่บริเวณด้านในนั้นพวกเขาก็ได้แต่บินอย่างช้าๆ ย่อมมิกล้าบุกเข้ามาง่ายๆ อยู่แล้ว”
กลางอากาศบริเวณมุมของโถงตำหนักมีทิวทัศน์ภาพวาดอยู่
ทิวทัศน์ภาพวาดปรากฏขึ้นทั่วทั้งบริเวณภายในและภายนอก ที่บริเวณภายนอกมีฝูงมารผลาญทำลายจำนวนมากกำลังเคลื่อนไหวอยู่ ฝูงมารผลาญทำลายที่เข้าสู่บริเวณภายในนั้นมีอยู่น้อยนิด มีเพียงกลุ่มไม่กี่สิบตนเท่านั้น อีกทั้งต่างก็มาถึงแค่รอบนอกของบริเวณภายนอกเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าวันดีคืนดีต่างก็สามารถหนีเข้ามาในบริเวณภายนอกได้อย่างรวดเร็ว
สวบๆๆ…
ราวกับได้รับคำสั่งอันไร้รูปร่าง มีกลุ่มฝูงมารผลาญทำลายที่บริเวณภายนอกสิบสองกลุ่มเข้ามายังบริเวณภายในพร้อมกัน แล้วต่างก็ยังอยู่ที่ชายขอบเช่นเดียวกัน
“ยังมีสิบสองกลุ่มที่เข้ามาสู่บริเวณภายใน คราวนี้ใครจะไป” ทันใดนั้นก็มีขั้นอลวนเอ่ยปาก
“ข้า”
“ข้าคนหนึ่ง”
“ข้าเอง”
ทันใดนั้นขั้นอลวนคนแล้วคนเล่าก็ยืดกายลุกขึ้น ทำการติดต่อสื่อสารกับปราการอากาศผ่านป้ายคำสั่งส่งสาร
“ข้ามาที่ปราการอากาศก็เป็นเวลาพอสมควรแล้ว ควรจะออกไปรับมือกับฝูงมารผลาญทำลายเหล่านี้ได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยืดกายลุกขึ้น พวกเขาทำการรับมือกับฝูงมารผลาญทำลาย แต่ฝูงมารผลาญทำลายจงใจอยู่ที่ชายแดน เห็นได้ชัดว่าก็คิดจะรับมือกับพวกเขาเช่นเดียวกัน อ้างอิงจากที่ผู้บำเพ็ญสังเกต…การที่ฝูงมารผลาญทำลายสังหารผู้บำเพ็ญ ก็มีส่วนช่วยเหลือในการยกระดับพลังยุทธ์ของฝูงมารผลาญทำลายเช่นเดียวกัน
เพียงไม่นาน ปราการอากาศก็ตระเตรียมการ ขั้นอลวนสิบสองคน แบ่งกันไปต่อกรกับสิบสองกลุ่ม ร่างแปรนั้นสำหรับการตรวจสอบพลังยุทธ์เท่านั้น สุดท้ายแล้วการจะกำจัดอีกฝ่ายก็ยังต้องอาศัยร่างจริง ไม่ใช้ร่างจริงอย่างนั้นหรือ ฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองที่แกร่งกล้าจำนวนหนึ่ง ร่างแปรเทพจักรวาลก็ยังมิอาจจัดการได้
……………………………………..