ภาคที่ 31 ขั้นอลวน ตอนที่ 14 ระดับพื้นฐานชั้นที่เก้า

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 14 ระดับพื้นฐานชั้นที่เก้า โดย Ink Stone_Fantasy

บริเวณภายในชายขอบของห้วงอากาศ ห้วงอากาศอันเวิ้งว้าง เต็มไปด้วยความว่างเปล่าไร้ซึ่งสรรพสิ่ง

สวบ

ฝูงมารผลาญทำลายที่สวมชุดเกราะสีดำตลอดร่างกลุ่มหนึ่งเหินทะยานด้วยความเร็วสูง พวกมันต่างก็มองดูบริเวณโดยรอบอย่างระแวดระวัง

“ระวังด้วย มีผู้บำเพ็ญคนหนึ่งกำลังเข้ามาใกล้” ฝูงมารผลาญทำลายร่างผอมเล็กที่ดูคล้ายไม่สะดุดตาตนหนึ่งในกลุ่มของฝูงมารผลาญทำลายฝูงนี้ถ่ายเสียงพูด

“ขอรับ ท่านแม่ทัพ” ฝูงมารผลาญทำลายตนอื่นๆ ต่างก็หัวใจบีบรัดในทันใด พวกมันไม่มีความคลางแคลงใจในตัวท่านแม่ทัพเลยแม้แต่น้อย หากมิใช่ความต้องการของเหล่า ‘อ๋อง’ สิ่งมีชีวิตระดับท่านแม่ทัพย่อมไม่สนใจจะมานำทัพพวกมันในการต่อสู้อยู่แล้ว

ห่างออกไปไม่ไกล ร่างแปรของตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังสังเกตฝูงมารผลาญทำลายกลุ่มนี้ผ่านการควบคุมห้วงอากาศ “ฝูงมารผลาญทำลายเกราะดำหนึ่งร้อยตนอย่างนั้นหรือ หึ ฝูงมารผลาญทำลายฝูงนี้ก็มิได้โง่งมเสียหน่อย จะสามารถส่งฝูงมารผลาญทำลายเกราะดำหนึ่งร้อยตนมาตายได้อย่างไรกัน”

พลังยุทธ์ของฝูงมารผลาญทำลายเกราะดำอยู่ที่ระดับชั้นที่สี่ถึงชั้นที่หกของเจดีย์ดาว ถ้าหากมีฝูงมารผลาญทำลายเกราะดำเพียงแค่หนึ่งร้อยตนจริงๆ… ร่างจริงของตงป๋อเสวี่ยอิงก็คงจะสามารถกำจัดพวกเขาทั้งหมดจนราบคาบได้อย่างง่ายดาย! อ้างอิงจากการสนทนาระหว่างตงป๋อเสวี่ยอิงกับเหล่าขั้นอลวนคนอื่นๆ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานี้ ก็ได้รับข้อมูลมามากมาย ได้ล่วงรู้ว่าฝูงมารผลาญทำลายเจ้าเล่ห์สักเพียงใด

เชาวน์ปัญญาของพวกมันไม่ด้อยไปกว่าผู้บำเพ็ญเลย นึกอยากจะสังหากพวกมันช่างเป็นเรื่องที่ยากเย็นอย่างแท้จริง

“เข้าไป” ร่างแปรของตงป๋อเสวี่ยอิงเคลื่อนเข้าไปใกล้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็สำแดงเคล็ดวิชาบุปผาผลาญทำลายโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย

ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว

ทันใดนั้นก็มีเคล็ดวิชาบุปผาผลาญทำลายสามดอกปรากฏขึ้น ดอกตูมสีดำสามดอก ดอกหนึ่งห่อหุ้มอีกดอก เพิ่งมาถึงก็ห่อหุ้มฝูงมารผลาญทำลายเกราะดำตนหนึ่งที่อยู่ด้านหน้าสุดเอาไว้ ทว่าฝูงมารผลาญทำลายร่างเล็กผอมที่ดูไม่สะดุดตาที่อยู่กลางฝูงมารผลาญทำลายกลับลอบแค่นหัวเราะ “มาแล้ว ผู้บำเพ็ญ ให้เจ้าได้อาละวาดสักยกหนึ่งก่อนก็ได้”

……

ตั้งแต่ร่างแปรของตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าร่วมสงคราม ต่อมาเมื่อร่างจริงของขั้นอลวนปรากฏตัว การต่อสู้ครั้งนี้ก็สิ้นสุดลงภายในระยะเวลาชั่วจิบชาเดียวแล้ว

ปราการอากาศ ภายในโถงตำหนักขนาดมหึมา

ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินออกมาจากห้วงอากาศอันบิดเบี้ยวพร้อมกับประมุขตำหนักอลหม่าน ตงป๋อเสวี่ยอิงยังมีสีหน้าไม่ยอมจำนน

“ฝูงมารผลาญทำลายนี่ช่างเจ้าเล่ห์เสียจริง พอท่านประมุขตำหนักอลหม่านลงมือ พวกมันก็หลบหนีไปอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ มีความไม่ยอมจำนนอยู่บ้าง ตนเองเตรียมการอย่างระมัดระวัง ถึงขนาดที่สำแดงพลังยุทธ์ต่างๆ ออกมาจนหมดสิ้น เพื่อเหวี่ยงตาข่ายล้อมจับให้หมดในคราวเดียว ก็ถึงกับตั้งใจเชิญประมุขตำหนักอลหม่านให้มาลงมือพร้อมกัน ประมุขตำหนักอลหม่านก็เห็นด้วยอย่างกระตือรือร้น ตามแผนการ ยามที่ลงมือ ประมุขตำหนักอลหม่านก็จะเร้นกายอยู่ภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ แล้วค่อยโจมตีอย่างฉับพลันในช่วงเวลาวิกฤติ

จนใจ…

แผนการไม่ทันรับกับความเปลี่ยนแปลง ฝูงมารผลาญทำลายเริ่มเคลื่อนไหวก่อน บีบให้ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ประมุขตำหนักอลหม่านก็ถูกบีบให้ปรากฏตัว

“เมื่อครู่ข้าสังหารฝูงมารผลาญทำลายเกราะดำไปสองตน พวกเขาก็คลั่งแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “ข้าก็รู้ว่าในบรรดาพวกเขาต้องมีผู้ที่ร้ายกาจอย่างที่สุดอยู่ คิดไม่ถึงว่าจะซ่อนเร้นฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองเอาไว้ถึงสามตน”

ฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองสามตน แต่ละตนร้ายกาจไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันเลย

ฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองที่ร้ายกาจที่สุดตนหนึ่ง ซึ่งคงจะเป็นระดับชั้นที่เก้าของเจดีย์ดาว ที่บนหน้าผากของมันมีเขาเดี่ยวงอกขึ้นมา ได้แปลงร่างเป็นดาวเคราะห์เพลิงที่มีสีดำเป็นระลอกคลื่น แล้วสังหารผ่านอากาศในทันใด ตอนนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงทุ่มเทกำลังทั้งหมดสำแดงเคล็ดวิชาบุปผาผลาญทำลาย ‘ขั้นหกกลีบ’ ถึงยี่สิบห้าดอก ดอกตูมสีดำชั้นแล้วชั้นเล่าปิดผนึกคุมขัง แต่ภายใต้ดวงดาวสีดำที่เขาเดี่ยวผู้นั้นแปลงกาย กลับแหลกสลายไปในทันที แน่นอนว่าเป็นเพราะร่างของเขาเร้นกายอยู่ภายในโลกลวง

อิทธิพลที่ดวงดาวสีดำกดดันเข้าไปต่างก็ได้รับผลกระทบ และหลังจากนั้นผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิงก็เปล่งรัศมีสีทอง ทั้งยังมีรัศมีสีฟ้าคุ้มกาย อานุภาพของสมบัติลับ ‘เมฆซ้อนสามสี’ นั้นไม่ธรรมดาเลย

ภายใต้การกดดันของรัศมีสีทอง และการหมุนบิดของอาณาบริเวณของรัศมีสีฟ้า ในท้ายที่สุดตงป๋อเสวี่ยอิงก็สามารถสกัดพลังคุกคามของดาวเคราะห์เพลิงสีดำให้ลดลงไปได้อย่างง่ายดายด้วยฝ่ามือเดียว ดวงดาวสีดำนั้นก็ร่นถอยไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องโจมตีแม้แต่ครั้งเดียว

นี่ก็ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงได้มีประสบการณ์สัมผัสกับพลังรบของฝูงมารผลาญทำลายระดับชั้นที่เก้า เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วเคล็ดวิชาบุปผาผลาญทำลายของตนก็อ่อนแอเกินไปเสียแล้ว

ถ้าหากเป็นเพียงแค่ฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองฝูงหนึ่ง ตนก็คงจะไม่ตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก! จนใจที่อีกสองตนนั้นต่างก็อยู่ประมาณระดับชั้นที่แปดขั้นสุดยอด ทั้งยังพอดีกับที่ฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองสามตนร่วมมือกันอย่างสมบูรณ์แบบ พวกเขาทั้งสามร่วมมือกันขึ้นมาก็ให้ผลลัพธ์เช่นเดียวกันกับชั้นที่เก้าของเจดีย์ดาวสามคน ภายใต้ความร่วมมือ เพิ่งจะกระบวนท่าแรกก็ดูเหมือนว่าจะทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าสู่สภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแล้ว ดูเหมือนจะได้แต่อาศัยการต้านทานอย่างแข็งขันในการป้องกันเท่านั้น

ในขณะนี้ประมุขตำหนักอลหม่านที่เร้นกายอยู่ภายในสมบัติล้ำค่าคูหาสวรรค์ที่ตงป๋อเสวี่ยอิงนำมาก็ลงมือแล้ว

การลงมือในครานี้…

สนั่นฟ้าสะเทือนดิน!

ประมุขตำหนักอลหม่านมีชื่อเสียงเลื่องลือ ในบรรดาระดับชั้นที่เก้าของเจดีย์ดาวก็ยังนับได้ว่าเขามีชีวิตอยู่มาเนิ่นนานเป็นที่สุด ได้รับความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก พลังรบของเขาน่าหวาดหวั่นไม่ธรรมดา ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้อยู่แล้วว่า ประมุขตำหนักอลหม่านเป็นที่สุดในบรรดาขั้นอลวนที่ตนรู้จัก คาดว่าน่าจะเทียบเคียงได้กับจักรพรรดิดำเขามีสมญา ‘อลวน’ ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็มีความเชื่อมั่น คราวนี้จึงนับว่าได้สัมผัสถึงพลังยุทธ์ของเขาอย่างแท้จริง

นี่จึงจะเป็นพลังยุทธ์ที่รับมือกับเทพจักรวาลแล้วยังสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้โดยแท้

หากพูดว่า ‘ดวงดาวสีดำ’ ที่ฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองสำแดงเป็นพลังคุกคามระดับชั้นที่เก้าแล้ว ฝ่ามือขนาดยักษ์คู่นั้นของประมุขตำหนักอลหม่านในตอนนั้น เมื่อมือทั้งคู่พลิกหมุน อากาศก็ถูกฉีกทึ้งกลายเป็นความอลวน ดวงดาวสีดำนั้นก็ยังแหลกสลายไปในการฉีกทึ้งนั้น ปรากฏร่างเขาเดี่ยวออกมาอย่างแจ่มชัด แน่นอนว่าเขาเดี่ยวแปลงเป็นลำแสงสีทองหนีไปได้อย่างทุลักทุเล

“อลวน!” ฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองสามตนเห็นแล้วก็ตกตะลึง จึงหลบหนีไปอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยในทันที

ภายในโถงตำหนักอันใหญ่โต

ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินเคียงบ่าประมุขตำหนักอลหม่าน ประมุขตำหนักอลหม่านพูดยิ้มๆ ว่า “ฝูงนี้นับว่าร้ายกาจเป็นอย่างยิ่งแล้ว ฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองสามตน ระดับชั้นที่เก้าหนึ่งตน ชั้นที่แปดขั้นสุดยอดสองตน พอร่วมมือกันแล้วก็ยิ่งล้ำเลิศ ถ้าหากพวกเขาเคราะห์ดีสักหน่อยก็มีความเป็นไปได้ว่าจะสังหารขั้นอลวนสักคนหนึ่งได้จริงๆ”

“อืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นด้วย

นึกอยากจะสังหารยักษ์ใหญ่ขั้นอลวนสักคนหนึ่งนั้นเป็นเรื่องยากเย็นอย่างยิ่ง

ตงป๋อเสวี่ยอิงมีความมั่นใจในตนเองเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังมีประมุขตำหนักอลหม่านช่วยเหลือ ดังนั้นพวกเขาสองคนก็เพียงพอแล้ว

หากเป็นขั้นอลวนที่อ่อนแอสักหน่อย โดยทั่วไปเจ็ดแปดตนร่วมมือกัน หรือแม้กระทั่งมีค่ายกลร่วมด้วย อีกทั้งยังมีวัตถุคุ้มกันชีพ… แม้กระทั่งตกอยู่ในอันตราย รอคอยเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ปราการอากาศก็จะส่งผู้ที่แกร่งกล้ายิ่งกว่าออกไปสนับสนุน

ดังนั้นถึงแม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะพานพบเข้ากับฝูงที่นับได้ว่าค่อนข้างแข็งแกร่งนี้ก็ยังต้องโชคดี จึงจะสามารถสังหารขั้นอลวนสักคนหนึ่งได้

“พอท่านปรากฏตัว พวกเขาก็หนีไปในทันทีเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ ได้เดินไปถึงสถานที่รวมตัวสนทนากันของผู้แกร่งกล้าของวังทวีสูญกลุ่มหนึ่งพร้อมกับประมุขตำหนักอลหม่านแล้ว

“ฮ่าฮ่า ตงป๋อ” ประมุขตำหนักปุจฉาสวรรค์ที่นั่งอยู่ที่นั่นพูด “ประมุขตำหนักอลหม่านอยู่มาเนิ่นนานจนถึงบัดนี้ ฝูงมารผลาญทำลายเหล่านั้นก็ถูกโจมตีจนกลัวหัวหดแล้ว! แค่เห็นเขาก็หนีเสียแล้ว ถึงแม้ว่าฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองเหล่านั้นจะมีระดับชั้นที่เก้าเช่นกัน แต่ว่ายังไม่มีแม้แต่ตนเดียวที่สามารถเอาชนะประมุขตำหนักอลหม่านได้เลย ต่อให้เทพจักรวาลของพวกเขาปรากฏตัว ประมุขตำหนักอลหม่านก็ยังสามารถต้านทานเอาไว้ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่งอยู่ดี”

“เห็นข้าก็หนีแล้ว พวกเขาก็ยังหนีเอาชีวิตรอดได้อย่างร้ายกาจ คิดจะสังหารฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองสักคนหนึ่งก็เป็นเรื่องยากนัก”ประมุขตำหนักอลหม่านส่ายศีรษะ

“อืม คราวนี้ข้าก็เพิ่งจะสังหารฝูงมารผลาญทำลายเกราะดำไปสองตนเท่านั้นเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าเห็นด้วย

“สังหารไปสองตนอย่างนั้นหรือ ทั้งยังเป็นระดับเกราะดำอีกด้วย”

“ช่างร้ายกาจเหลือเกิน”

บรรดาขั้นอลวนหลายท่านนี้ของวังทวีสูญ รวมถึงคนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ที่ได้ยินต่างก็ตกตะลึง

สองฝ่ายต่อกรกัน น้อยนักที่ปรากฏว่าทางฝั่งผู้บำเพ็ญจะพ่ายแพ้ ถึงอย่างไร ‘บริเวณภายใน’ ก็นนับว่าเป็นที่มั่นของพวกเขา แต่ทางฝั่งฝูงมารผลาญทำลายก็ได้เรียนรู้ประสบการณ์เช่นเดียวกัน เมื่อเทียบกันแล้วระดับเกราะสีเทาก็นับว่าง่ายหน่อย อาศัยร่างแปรไปยัง ‘บริเวณภายนอก’ ก็ยังมีโอกาสพบ แต่ระดับเกราะดำนั้นสังหารได้ยากเย็นยิ่ง หากฝูงร่วมมือกัน ร่างแปรก็ไม่สามารถทำลายพวกเขาได้เลย

“พวกเขาฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองสามตน นำฝูงมารเกราะดำมาด้วยฝูงหนึ่ง อันที่จริงแล้วก็เพื่อขัดเกลาฝูงมารเกราะดำฝูงนั้น” ประมุขตำหนักอลหม่านพูด “การต่อสู้เพื่อขัดเกลา และการเผชิญอันตรายบางอย่างเพื่อขัดเกลา ต่างก็มีส่วนช่วยเหลือฝูงมารผลาญทำลาย ถ้าหากสังหารพวกเราผู้บำเพ็ญได้ก็จะยิ่งมีส่วนช่วยเหลือพวกมันเป็นอย่างมาก พลังยุทธ์ของพวกมันก็จะค่อยๆ ยกระดับขึ้น”

“ตงป๋อ เขตลวงของเจ้าร้ายกาจนัก ทำให้ระดับเกราะทองตนหนึ่งของพวกมันติดกับได้ ทำให้พวกมันเกิดข้อบกพร่องในยามที่ช่วยเหลือระดับเกราะดำ เจ้ายังสามารถสังหารระดับเกราะดำได้ถึงสองตนอีกด้วย” ประมุขตำหนักอลหม่านพูด “ผ่านคราวนี้ไป เกรงว่าพวกมันคงจะระแวดระวังในตัวเจ้ามากขึ้นเสียแล้ว นึกอยากจะสังหารฝูงมารเกราะดำอีกสองตนก็เป็นเรื่องยากแล้วล่ะ”

“อืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

ยามที่สังหาร มีพลังพิเศษอันไร้รูปร่างถูกวิญญาณของตนดูดกลืน ให้ความรู้สึกคล้ายคลึงกับการดูดกลืนศิลาปฐมโลกาเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า ประมาณเดียวกับการดูดกลืนศิลาปฐมโลการ้อยก้อนเลยทีเดียว

……

สวบ

ฝูงมารผลาญทำลายเกราะทองสามตนตรงมาจนถึงทางเดินโลกาพิศวง ย่างบนทางเดินห้วงมิติแห่งหนึ่งในนั้นด้วยความคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาทั้งสามเดินเคียงไหล่กัน ผู้ที่นำหน้าก็คือมารเขาเดี่ยวนัยน์ตาสีเงินตนหนึ่ง เขาเอ่ยเสียงต่ำว่า “ที่พานพบในคราวนี้จะต้องเป็นตงป๋อเสวี่ยอิง ขั้นรวมเป็นหนึ่งก็มีพลังยุทธ์ระดับชั้นที่เจ็ด ผู้บำเพ็ญเปี่ยมพรสวรรค์ที่ข้อมูลบันทึกเอาไว้ผู้นั้นแน่ เขาเป็นประมุขตำหนักโลกเทียมแห่งวังทวีสูญ พลังยุทธ์ของเขาในตอนนี้ก็แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งแล้ว โดยเฉพาะเคล็ดวิชาเขตลวงของเขา ผู้ที่พลังยุทธ์อ่อนแอสักหน่อยก็สามารถติดกับได้โดยง่าย ฉือหยา คราวนี้เจ้าก็ติดกับเสียแล้ว”

“อืม เป็นข้าเองที่ช้าไปก้าวหนึ่ง มีข้อบกพร่อง” มารเกราะทองที่ค่อนข้างอัปลักษณ์ผู้มีศีรษะขนาดใหญ่อันประกอบด้วยปากกว้าง มีฟันหลายแถวเรียงตัวกันแน่นขนัดซึ่งอยู่ด้านข้างเอ่ยเสียงต่ำ

“พลังโจมตีของเขาธรรมดาๆ พลังคุกคามมิได้สูง หากแต่มีเคล็ดวิชาเขตลวงนี้… ระดับการคุกคามของเขาสามารถประเมินได้เป็น ‘ระดับพื้นฐานชั้นที่เก้า’ เลยทีเดียว” มารเขาเดี่ยวนัยน์ตาสีเงินพูด ถ้าหากมิใช่เคล็ดวิชาเขตลวง ภายใต้การประเมินของพวกเขา เกรงว่าระดับการคุกคามของตงป๋อเสวี่ยอิงคงจะมิอาจจัดอยู่ในชั้นที่เก้าได้เลย

“ถ้าหากมิใช่เพราะขั้นอลวนผู้นั้นปรากฏตัว พวกเราร่วมมือกันก็มีหวังที่จะกำจัดประมุขตำหนักตงป๋อผู้นั้นแล้ว”

“ใช่แล้ว อลวน ระดับการคุกคาม ‘เหนือกว่าชั้นที่เก้า’ ช่างน่าหวาดหวั่นเหลือเกิน นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่พบกับเขา”

“ทางฝั่งผู้บำเพ็ญ เหนือกว่าชั้นที่เก้าก็มีอยู่ทั้งหมดเพียงห้าคน นี่ยังนับได้ว่าเป็นเทพจักรวาลสองคน คราวนี้ก็พบเข้าคนหนึ่งแล้ว”

ตลอดทางที่พวกเขาสามคนเดินอยู่ภายในทางเดินโลกาพิศวง ใจคอก็ไม่ดีเสียแล้ว

ทางด้านฝูงมารผลาญทำลายก็มีเกณฑ์การประเมินผู้บำเพ็ญของพวกเขาเอง ในบรรดาเทพจักรวาลก็มีอยู่สองคนที่ถูกพวกเขาจัดเป็น ‘เหนือกว่าชั้นที่เก้า’

…………………………………….