ตอนที่ 680 ข้าไปด้วย

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 680 ข้าไปด้วย

“เพราะเจ้าเลือกทานแต่ของที่ชอบ ! ”

ประโยคแสนเรียบง่ายของฟู่เสี่ยวกวน ได้ทำให้หนานกงตงเซวี๋ยถึงกับตกตะลึง

ช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ที่เขาใช้ชีวิตในเมืองกวนหยุนนั้น นางมิเคยร่วมรับประทานอาหารกับเขาเลยสักครา แต่ทว่าการที่นางเลือกทานแต่ของที่ชอบจริง เขาหยั่งรู้ได้เยี่ยงไรกัน ?

“อย่าได้เชื่อสิ่งที่อาจารย์ของเจ้าเอ่ยเ พราะโรคนี้สามารถรักษาได้และรักษาหายง่ายด้วย มิหนำซ้ำยังไร้ผลกระทบต่อการสืบพันธุ์ ข้าขอรับประกันว่าต่อให้เจ้ามีบุตรสักแปดหรือสิบคนก็ย่อมไร้ปัญหา ! ส่วนเรื่องที่จะอยู่ได้มิถึง 30 ปีก็เหลวไหลสิ้นดี”

หนานกงตงเซวี๋ยหน้าเจื่อน ใบหน้าแดงก่ำทั่วทั้งหน้า ทันใดนั้นเองเลือดกำเดาของนางก็ไหลออกมา

นางรีบเอาผ้าฝ้ายออกมาอุดจมูกไว้ ฟู่เสี่ยวกวนเหลือบมอง เห็นว่าโรคของนางดูท่าจะรุนแรงและต้องได้รับรักษาให้ทันท่วงที

ฟู่เสี่ยวกวนจึงเรียกเสี่ยวเซวี๋ยให้นำส้ม มะนาว และแก้วน้ำมาให้เขา

“ตั้งแต่นี้ต่อไป ชาพวกนี้เจ้าต้มได้ แต่จะดื่มต่อไปมิได้อีก…” ฟู่เสี่ยวกวนปอกเปลือกของผลส้มและมะนาวออก จากนั้นก็คั้นน้ำใส่แก้ว “เจ้าจงดื่มสิ่งนี้และอีกอย่างข้ามิรู้ว่าเจ้าชอบทานสิ่งใด แต่ที่แน่ ๆ คือเจ้ามิทานผัก…” เขาเงยหน้าขึ้นมองหนานกงตงเซวี๋ย เห็นว่าเลือดกำเดาของนางหยุดไหลแล้ว บัดนี้นางได้จ้องมองเขาด้วยความรู้สึกประหลาดใจ

“ต่อไปนี้เจ้าจำต้องทานผักและต้องทานทุกมื้ออาหาร… เจ้าชอบทานสิ่งใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

หนานกงตงเซวี๋ยหน้าเจื่อนมากกว่าเดิม

นางมิชอบทานผักเอาเสียเลย ถึงขนาดที่ว่ามิเคยลองทานแม้แต่คำเดียว “หม่อมฉัน…” นางกัดริมฝีปากแน่น แล้วเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ “หม่อมฉันชอบทานเนื้อโดยเฉพาะเนื้อปลาเพคะ”

“อ่า…” ฟู่เสี่ยวกวนหันสายตากลับมาแล้วคั้นน้ำผลไม้ต่อ “เกิดเป็นแมวล่ะสิ”

หนานกงตงเซวี๋ยรู้สึกอายเสียจนต้องก้มหน้าหนี จากนั้นก็ได้ยินเสียงของฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยต่อว่า “การทานปลานั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่เจ้าต้องพึงระลึกเสมอว่าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเจ้าต้องทานผัก ทานเพราะถือว่าเป็นยาก็ได้…พวกมันดีกว่าการทานยาเป็นไหน ๆ เอาล่ะ ! ดื่มน้ำผลไม้นี่ แล้วต่อจากนี้เจ้าก็จงดื่มน้ำผลไม้ให้เหมือนดื่มน้ำเปล่า”

ฟู่เสี่ยวกวนส่งน้ำผลไม้ไปให้นาง หนิงซือเหยียนเมื่อเห็นดังนั้นจึงมองเขาด้วยอารามตะลึงอ้าปากค้าง บัดนี้ถึงกับเอ่ยด้วยสติที่หลุดลอยว่า “ท่านเข้าใจเรื่องการรักษาโรคด้วยหรือ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มออกมา “พอเข้าใจบ้าง”

เหตุใดเจ้าหมอนี่ถึงได้เข้าใจไปเสียทุกเรื่อง ?

หนิงซือเหยียนมิอาจเข้าใจได้เลยจริง ๆ ดีที่เจ้าหมอนี่ไร้ความสามารถด้านวรยุทธและทุกวันนี้ก็ยังเป็นเพียงจอมยุทธ์ระดับสามท้ายแถวเท่านั้น เมื่อคิดเช่นนี้ก็ค่อยอุ่นใจขึ้นมาหน่อย

หนานกงตงเซวี๋ยกำลังรู้สึกหวานชื่นไปทั้งหัวใจ

นางยกแก้วน้ำผลไม้ขึ้นมาดื่มและทันใดนั้นก็คิดว่าต้องเป็นรสชาติที่มิชอบเป็นแน่ แต่บัดนี้กลับรู้สึกยอมรับได้บ้างแล้ว ไม่สิ ! มันยังอร่อยมากอีกด้วย !

นี่คือฝีมือของเขาส่วนเรื่องที่ว่าสามารถรักษาอาการป่วยได้หรือไม่นั้น นางมิได้ใส่ใจมากนัก เพราะในความคิดแม้แต่ท่านอาจารย์ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือทั่วหล้ายังจนปัญญาจะรักษา แต่คำเอ่ยของฟู่เสี่ยวกวนก็ถือเป็นการปลอบประโลมนางพอสมควร

แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

นางได้นำจดหมายจากฟู่ต้ากวนออกมาจากกระเป๋าตรงอกเสื้อ จากนั้นก็ส่งให้กับฟู่เสี่ยวกวน “เดิมทีหม่อมฉันคิดว่าหากองค์ชายรังเกียจก็จะได้กลับไปเสีย จดหมายฉบับนี้ก็ไร้ความจำเป็นที่จะส่งมอบให้พระองค์ แต่ทว่าตอนนี้หม่อมฉันมีความจำเป็นต้องเก็บเอาไว้…ตั้งแต่นี้ไปองค์ชายก็คือพระสวามีของหม่อมฉัน เยี่ยงไรเสียท่านก็ควรรักษาข้าจนหายดี”

ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มแล้วรับจดหมายฉบับนั้นมาเปิดอ่าน

“ลูกเอ๋ย ช่วงนี้พ่อพลิกกายไปมายากจะข่มตาหลับ

เจ้าจำต้องจากลาไปยังว่อเฟิงเต้า พ่อเองก็คิดว่าเวิ่นหวินและภรรยาทั้งสองนางของเจ้ามิอาจติดตามเจ้าไปได้ ตอนนี้เจ้าเพิ่งอายุได้ 18 ปี เป็นช่วงวัยกำหนัดที่กำลังผลิบาน จงอย่าปล่อยให้สูญสิ้นไปโดยเปล่าประโยชน์เลย

แม่สาวซูซูก็คงเจริญวัยเต็มที่แล้ว พ่อได้ยินตาเฒ่าเจี่ยหนานซิงเล่าว่าข้างกายเจ้านั้นมีสวี่ซินเหยียนเพิ่มมาอีก 1 คน เจ้าเลือกคนได้ถูกนักเพราะเขาบอกว่านางผู้นั้นก็เจริญวัยเต็มที่แล้ว พ่อคิดว่าควรคว้านางเอาไว้และอย่าทำให้นางรู้สึกโศกเศร้าโศกา

ที่ส่งหนานกงตงเซวี๋ยไปให้เจ้า พ่อคิดเพียงสิ่งเดียวว่า

สตรีผู้นี้ก็เบ่งบานเต็มที่แล้วเช่นกันแต่ทว่านางกลับเผชิญต่อความโรยรา พ่อคิดว่าลูกของพ่อควรจรดข้อความอันตราตรึงให้ชีวิตอันแสนสั้นของนางเสีย แต่งเติมสีสันให้แก่นางเพื่อช่วยสนองความปรารถนาของหนานกงอี้หยู่

เรื่องสำคัญพ่อได้กล่าวจนหมดสิ้นแล้ว ถึงคราของเรื่องน่าเบื่อหน่ายบ้าง

พ่อได้ส่งคนไปยังว่อเฟิงเต้าด้วยกัน 10 คน โดยมีจัวตงหลายเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง มิรู้ว่าเจ้ายังจำจัวตงหลายได้หรือไม่ เขาคือหลานชายของจัวอี้สิงที่ตอนนี้ยังมิได้รับราชการขุนนางและอีก 9 คนที่เหลือนั้นล้วนเป็นปัญญาชนจากสำนักศึกษาหลีชาน งานแข่งกวีเมื่อปีกลายเจ้าคงได้เห็นหน้าค่าตามาบ้างแล้ว

คนเหล่านี้เป็นคนของเจ้า ส่วนเรื่องที่เจ้าจะปลูกฝังสิ่งใดแก่พวกเขาหรือจะให้งานพวกเขาเยี่ยงไรล้วนแต่เป็นเรื่องของเจ้าทั้งสิ้น พ่อมิขอข้องเกี่ยว

ลูกชายของเจ้า หลานชายของพ่อในวันนี้อายุได้หนึ่งปีครึ่ง หน้าตาเหมือนเจ้าราวกับฝาแฝด แต่ทว่าชอบร้องโวยวายมากไปหน่อย ช่างลำบากหลิงเอ๋อร์เสียจริง ๆ เจ้าพึงจำเอาไว้ว่าต่อไปจงชดเชยให้กับนางให้ดี

แค่นี้ก่อนก็แล้วกัน อีกอย่างที่พ่อต้องบอกให้เจ้ารู้คือการเป็นบุรุษมีหลายรักนั้นมิใช่ความผิด อย่าให้เหมือนพ่อของเจ้าซึ่งก็คือข้า วังหลังนี้…ช่างเงียบงันเสียเหลือเกิน !

พ่ออยากเล่นไพ่นกกระจอกก็ยังรวมคนเล่นได้มิเต็มโต๊ะ เฮ้อ… ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนมองจดหมายแล้วจินตนาการถึงบิดาอ้วนในสภาพน้อยเนื้อต่ำใจ จากนั้นก็เผลอยิ้มขึ้นมาทันใด

หรือจะส่งพวกน้า ๆ ป้า ๆ ที่จวนฟู่ในเมืองหลินเจียงไปให้เขาดี ?

เพียงคิดได้อึดใจเดียวก็ต้องล้มเลิกความคิดนี้ไปเสีย ที่บิดาอ้วนมิได้แจ้งให้พวกนางรู้ก็เพราะมีเหตุผลของตน เช่นนั้นก็ให้เขาทนเหงาไปอีกสักพักก็แล้วกัน

“ฝ่าบาททรงมีจดหมายอีก 3 ฉบับ มอบให้แก่ฮูหยินของท่าน…ว่าแต่ฮูหยินของท่านอยู่ที่ใดกันหมดเล่า ? ” หนานกงตงเซวี๋ยเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“เวิ่นหวินเข้าวัง คาดว่าใกล้จะให้กำเนิดบุตรเต็มทีแล้ว ชูหลานและเสี่ยวโหลวก็คงเข้าวังไปเยี่ยมนาง อีกสักพักก็คงกลับมาแล้วล่ะ ถึงตอนนั้นพวกเจ้าค่อยทำความรู้จักกันเถอะ”

“จริงสิ ! ยังมีคนที่เจ้าควรรู้จักไว้ด้วยเช่นกัน”

ฟู่เสี่ยวกวนได้สั่งให้เสี่ยวเซวี๋ยไปเรียกสวี่ซินเหยียน ซูซู อีกทั้งจางเพ่ยเอ๋อร์ออกมา สตรีที่น่ารักและร่าเริงทั้งสามออกมายืนข้างกายเขา จากนั้นเขาจึงค่อย ๆ แนะนำทีละคน จากนั้นก็หัวเราะออกมา

“บิดาของข้าอยู่ในวังหลังแต่รวมคนมาเล่นไพ่นกกระจอกได้มิเต็มโต๊ะ ส่วนข้านั้นเกือบจะรวมได้ 2 โต๊ะเสียด้วยซ้ำ หลังจากที่พวกเจ้าทำความรู้จักกันแล้วก็หวังว่าจะสนิทชิดเชื้อกัน… พวกเจ้าทั้งสี่จงติดตามข้าไปยังว่อเฟิงเต้าด้วยเถิด”

หนานกงตงเซวี๋ยเป็นคนฉลาดหลักแหลม นางยืนขึ้นตั้งแต่ที่ทั้งสามคนเดินมาถึง จากนั้นก็ถอนสายบัวให้ทั้งสามคน “น้องสาวมีนามว่าหนานกงตงเซวี๋ย ต่อไปในวันข้างหน้าคงต้องพึ่งพาอาศัยพี่สาวทั้งสามคน น้องสาวได้นำของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ มาจากราชวงศ์อู๋ หวังว่าพี่สาวทั้งหลายจะโปรดปราน”

เมื่อเอ่ยจบนางก็หยิบถุงผ้าไหมสีแดงใบเล็ก ๆ ออกมาจากหีบ จากนั้นก็มอบให้ทั้งสามคน “นี่คือหยกเลือดของราชวงศ์อู๋ว่ากันว่ามีคุณสมบัติช่วยรักษาความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย พี่สาวทั้งสามลองสวมดูเถิดว่าพอดีหรือไม่”

สวี่ซินเหยียนและอีก 2 คนเปิดถุงออกมาด้วยสีหน้าเบิกบาน ด้านในบรรจุกำไลข้อมือเอาไว้

งานแสนประณีตและสวมใส่สบายมากยิ่งนัก

“ขอบใจน้องสาวเป็นอย่างมาก แต่ทว่าข้านั้น… ข้านั้นมิได้ตระเตรียมของขวัญมาให้เจ้าเลย”

“พี่สาวอย่าเห็นน้องเป็นคนอื่นคนไกลไปเลย นี่เป็นสิ่งที่น้องสาวควรกระทำอยู่แล้ว”

เมื่อสตรีทั้งสามได้สวมกำไลข้อมือเสร็จ ทันใดนั้นขันทีเจี่ยก็ได้เหินนภาเข้ามา สีหน้าของเขาเคร่งขรึมมากยิ่งนัก

“ทูลองค์ชาย กระหม่อมได้ข่าวมาจากพระราชวัง เกรงว่าองค์หญิง…”

ฟู่เสี่ยวกวนลุกพรวดขึ้นมาในทันใด “เกิดเหตุอันใดขึ้นกัน ? ”

“เกรงว่านางจะคลอดบุตรยาก ! ขอองค์ชายเสด็จไปยังพระราชวังเป็นการด่วนพ่ะย่ะค่ะ ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนก้าวออกไปในทันที คิ้วเรียวสวยของหนานกงตงเซวี๋ย ขมวดขึ้นมาทันพลัน “ข้าขอไปดูด้วยเถิด”

“เจ้าอย่าได้สร้างความวุ่นวาย ! ”

“แต่ข้าเป็นศิษย์ของสุ่ยหยุนเจียน ! ”