ตอนที่ 681 ผ่าคลอด (1)

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 681 ผ่าคลอด (1)

สวี่ซินเหยียนบังคับรถม้าทะยานไปตามถนนสายใหญ่ของเมืองจินหลิงอย่างรวดเร็ว

ฟู่เสี่ยวกวนและหนานกงตงเซวี๋ยนั่งอยู่คนละฝั่งของรถม้า บรรยากาศภายในค่อนข้างกดดันและตึงเครียด

หนานกงตงเซวี๋ยพกกระเป๋ามาด้วยหนึ่งใบ เมื่อเห็นสีหน้าของฟู่เสี่ยวกวนในยามนี้ ภายในใจของนางจึงพลันรู้สึกอึดอัดอยู่มิน้อย

ยามที่สตรีคลอดบุตรนั้นมิต่างอันใดจากการพาตนเองไปเยือนยังหน้าประตูผี หากคลอดยาก…เช่นนั้นย่อมมีโอกาสสูงมากที่จะต้องสูญเสียสองชีวิตในคราเดียว

อาจารย์ของนางศึกษาเรื่องนี้มานานกว่ายี่สิบปี สุดท้ายจึงได้ข้อสรุปว่าหากเกิดภาวะคลอดบุตรยากก็มีเพียงทางเดียวเท่านั้นที่จะช่วยได้ ซึ่งนั่นก็คือ… การผ่าท้อง !

เมื่อนึกถึงข้อเท็จจริงนี้ นางจึงเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “หากอาการของนางตกอยู่ในอันตรายคงจำต้องผ่าท้องเพื่อช่วยทารกในครรภ์”

เมื่อฟู่เสี่ยวกวนได้ยินดังนั้น จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “เจ้าผ่าท้องแบบนั้นเป็นด้วยหรือ ? ”

“ข้าติดตามอาจารย์มาตลอดหลายปีและได้ร่ำเรียนมามิน้อย ข้าได้เห็นท่านอาจารย์ผ่าท้องพวกนางมาด้วยตาของตนเอง ในบรรดาสตรี 10 รายมีเพียงแค่ 5 รายเท่านั้นที่รอดชีวิต แต่ทว่าบุตรของพวกนางรอดชีวิตทุกคน ส่วนสตรีที่เสียชีวิตทั้งห้ารายนั้น มี 2 รายที่มิสามารถห้ามเลือดระหว่างผ่าได้ ส่วนอีก 3 รายมีอาการป่วยพิสดารหลังผ่า… พวกนางตัวร้อนและเกิดบาดแผลพุพองจนเสียชีวิต อาจารย์พยายามหาสาเหตุมาโดยตลอด แต่ทว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังมิอาจล่วงรู้ได้”

หลังจากเงียบไปชั่วครู่ หนานกงตงเซวี๋ยจึงเอ่ยเสริมว่า “ในยามปกติ…สตรีทั่วไปจะมิยอมใช้วิธีนี้ เพราะคำกล่าวที่อ้างถึงความกตัญญูต่อบิดามารดาที่ว่า ‘ร่างกายและผมของเราคือสิ่งที่พ่อแม่มอบให้และเรามิควรทำลายมัน’ ดังนั้นสตรีทั้งสิบรายจึงเป็นสตรีที่ท่านอาจารย์บีบบังคับ และเพราะมีผู้เสียชีวิตจากการใช้วิธีนี้จึงส่งผลให้ชื่อเสียงของอาจารย์ได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวง แต่ท่านบอกว่าจะยังเดินหน้าศึกษาเรื่องนี้ต่อไป”

ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็คล้ายเห็นความหวังใหม่ขึ้นมาอีกครา เขาคว้ามือของหนานกงตงเซวี๋ยมาจับเอาไว้อย่างตื่นเต้น “เจ้าเคยผ่าด้วยตนเองมาก่อนหรือไม่ ? ”

หนานกงตงเซวี๋ยหน้าแดงแต่มิได้ดึงมือกลับคืน “ข้าเคยผ่าแล้ว 2 ราย รอดชีวิต 1 ราย…”

“มันคือการติดเชื้อหลังผ่าตัด…” ฟู่เสี่ยวกวนรีบเลิกม่านในรถม้าขึ้นทันที “ซินเหยียน กลับจวนก่อนเถิด”

สวี่ซินเหยียนดึงบังเหียนม้าเอาไว้โดยมิเอ่ยถามอันใด จากนั้นก็บังคับให้ม้าเปลี่ยนทิศแล้วมุ่งหน้าไปยังจวนฟู่

“อีกประเดี๋ยวพวกเราจะเข้าวัง หากต้องทำการผ่าคลอดเจ้าจงลงมือเถิด ถึงกระนั้นยังมีอีกสองสามเรื่องที่เจ้าพึงระวังและจดจำเอาไว้ ! ”

หนานกงตงเซวี๋ยพยักหน้าด้วยความประหม่า “ท่านกล่าวมาได้เลย ! ”

“ข้าจะกลับไปหยิบสุราหมัก สิ่งนั้นสามารถช่วยชำระพิษบนมีดได้ เจ้ามีมีดหรือไม่ ? ”

“…ข้าพกมาด้วยแล้ว มันอยู่ในกล่องของข้า”

“เยี่ยม ! จงจำเอาไว้ว่าต้องใช้สุราหมักชำระพิษบนมีดก่อน นอกจากนี้ข้าจะชำระพิษและเชื้อต่าง ๆ ในห้องที่เจ้าผ่าคลอดด้วย จงจำเอาไว้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างภายในห้องที่ใช้ทำการผ่าคลอดจะต้องชำระพิษเสียก่อน”

ฟู่เสี่ยวกวนอธิบายรายละเอียดของการผ่าคลอดในห้องปลอดเชื้อให้หนานกงตงเซวี๋ยฟังอย่างรอบคอบ และแน่นอนว่านี่ไม่ใช่วิธีผ่าตัดที่ปลอดเชื้ออย่างแท้จริง แต่มันก็ช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อได้มากกว่าวิธีการเดิมของยุคสมัยนี้

หนานกงตงเซวี๋ยเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงขณะที่ตั้งใจฟังเขาอธิบาย ปัญหาที่ท่านอาจารย์คิดไม่ตกมานานแสนนาน บัดนี้ได้ถูกฟู่เสี่ยวกวนอธิบายจนนางเข้าใจจนหมดสิ้นแล้ว

แต่ทว่าที่ยังมิเข้าใจคือเหตุใดบุรุษที่อยู่ชิดใกล้ในยามนี้จึงเข้าใจความจริงอันแสนลึกซึ้งเหล่านี้ได้กัน ?

กล่าวได้ว่านางสามารถบันทึกคำเอ่ยของเขาลงในตำรา จากนั้นมันจะกลายเป็นความรู้ใหม่อันยอดเยี่ยมทันที !

หากสิ่งที่เขาเอ่ยเป็นจริง เช่นนั้นเรื่องการคลอดบุตรสำหรับสตรีก็จะมิใช่เรื่องใหญ่ที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอีกต่อไป !

……

ฟู่เสี่ยวกวนนำสุราขึ้นรถม้ามา จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังพระราชวังอย่างรวดเร็ว ยามนี้ภายในวังเตี๋ยอี๋เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

“ข้าจะเก็บหมอหลวงเยี่ยงพวกเจ้าไว้เนื่องด้วยเหตุอันใดกัน ! ”

ด้านหน้าวังเตี๋ยอี๋ ปรากฏภาพหมอหลวงระดับแนวหน้าของวังหลวงราว 20 คนกำลังหมอบคำนับอยู่กับพื้นด้วยความรู้สึกเสียวสันหลังและเหงื่อแตกพลั่ก

“พวกเจ้าช่างมิได้เรื่อง ! ”

ฮ่องเต้ดำเนินออกไปด้วยความพิโรธ บัดนี้สีพระพักตร์มืดครึ้ม เนื่องด้วยกำลังร้อนพระทัยและเป็นกังวลจึงทำให้พระวรกายสั่นเทาขึ้นมา

“หลี่ปิงคุน หากองค์หญิงเก้าเป็นอันใดไป ข้าจะประหารครอบครัวเจ้า ! ”

หัวหน้าหมอหลวง หลี่ปิงคุน ตื่นตกใจจนเกือบหน้ามืด

เขาหมอบคลานอยู่บนพื้นและกราบทูลพร้อมน้ำตาว่า “กระหม่อม… กระหม่อมต้องช่วยองค์หญิงได้อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“รีบไปเร็วเข้า ! หากองค์หญิงเก้าเป็นอันใดไป พวกเจ้า…ทั้งหมด ต้องถูกฝังกลบไปพร้อมกับนาง ! ”

บรรดาหมอหลวงรีบลุกขึ้นอย่างลนลานแล้วรีบวิ่งไปทำหน้าที่อย่างรวดเร็ว

ตรงลานด้านข้างของวังเตี๋ยอี๋มีห้องที่ชื่อว่า ห้องจิ้งซี อยู่หนึ่งห้อง

หยูเวิ่นหวินอยู่ภายในห้องนี้นี่เอง ในยามนี้นางรู้สึกเจ็บปวดทรมานราวกับได้ตายไปแล้วหลายหน ฮองเฮาซั่งประทับอยู่ข้างกายนางไม่ห่าง หยูเวิ่นหวินจับพระหัตถ์ฮองเฮาเอาไว้แน่นจนเล็บจิกลงไปบนเนื้อของพระมารดา แต่ทว่าฮองเฮาซั่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพระหัตถ์กำลังอาบด้วยโลหิตสีแดงสด

“เสด็จแม่…เร่งให้พวกเขาคิดวิธีคลอดให้เร็ว ๆ เถิด ลูก… ลูกจะทนมิไหวอยู่แล้ว”

“ลูกแม่ อดทนอีกสักหน่อยเถิด พวกเราจะต้องหาวิธีได้อย่างแน่นอน ! ”

ฮองเฮาซั่งพับปิดดวงเนตรลงพร้อมหยาดน้ำใสที่ไหลอาบปรางแก้มงาม

พระธิดาของนางมีพระประสูติกาลยาก !

คำนี้ช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน !

แทบจะเรียกได้ว่าเป็นการประกาศวันตายของหยูเวิ่นหวินเอาไว้แล้ว !

ลูกแม่ผู้น่าสงสารเอ๋ย… สวรรค์ ได้โปรดช่วยลูกข้าด้วยเถิด !

องค์หญิงใหญ่และพระสนมหนิงล้วนแต่พับปิดดวงเนตรลง

ต่งชูหลานและเยี่ยนเสี่ยวโหลวหน้าถอดสี พวกนางยืนอยู่มิห่างจากหยูเวิ่นหวินแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงสะอื้นไห้ “เวิ่นหวิน ท่านพี่ใกล้ถึงแล้ว เขาต้องมีวิธีช่วยเจ้าอย่างแน่นอน”

บางทีอาจจะเป็นเพราะในยามนี้ความเจ็บปวดเริ่มทุเลาลงบ้างแล้ว หยูเวิ่นหวินจึงผ่อนลมหายใจยาวออกมาแล้วหันไปเอ่ยกับต่งชูหลานและเยี่ยนเสี่ยวโหลวอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า

“ข้า… ข้า…ต่อจากนี้เจ้าทั้งสองช่วยดูแลท่านพี่ด้วย…”

สายตาของนางมองผ่านทั้งคู่ไปยังนอกหน้าต่าง

ยามนี้เป็นช่วงที่สุริยากำลังจะตกดินพอดี

“น่าเสียดายเหลือเกิน… สุดท้ายข้าก็มิสามารถรอพบหน้าเขาได้ พวกเจ้าอย่ากลัวไปเลย มิช้าก็เร็วสตรีเยี่ยงเราต้องให้กำเนิดบุตรและพวกเจ้าอาจจะโชคดีกว่าข้า…ยามนี้…ข้ารู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน ข้าอยากนอนหลับเสียเต็มทน”

“ลูกแม่…” ฮองเฮาซั่งกอดหยูเวิ่นหวินมาไว้แนบอก จากนั้นก็หันไปตะโกนใส่เหล่านางกำนัลว่า “หมอหลวง ! พวกเจ้ารีบไปตามหมอหลวงมาประเดี๋ยวนี้… ! ”

เป็นจังหวะเดียวกับที่หลี่ปิงคุนวิ่งเข้ามาด้านในพอดี “ทูลฮองเฮา กระหม่อมอยู่นี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ในเวลานี้ฮองเฮาซั่งสงบสติอารมณ์ลงมากแล้ว นางตรัสด้วยสีพระพักตร์เยือกเย็นประดุจน้ำแข็ง “เจ้ามีวิธีแล้วหรือยัง ? ”

“ทูลฮองเฮา…มีเพียงแค่ลองใช้วิธีเร่งคลอดเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”

“เดิมทีนางคลอดบุตรยากอยู่แล้ว หากใช้วิธีเร่งคลอดจะมีประโยชน์อันใด ? ”

“บางที… บางทีพวกเราอาจจะดึงทารกในครรภ์ออกมาได้พ่ะย่ะค่ะ”

“แล้วผลที่ตามมาจะเป็นเยี่ยงไร ? ”

“…ทารกในครรภ์จะมิรอด ส่วนองค์หญิงจะทรงหลั่ง…โลหิต หากพวกเรามิรีบหยุดโลหิตก็เกรงว่าองค์หญิง…”

“มิมีวิธีอื่นแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

หลี่ปิงคุนคุกเข่าหมอบลงกับพื้นทันที จากนั้นก็เอ่ยว่า “ทูลฮองเฮา…องค์หญิงมีพระประสูติกาลยาก กระหม่อม… กระหม่อมก็อับจนหนทางแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ฮองเฮาซั่งสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อระงับความตระหนก นางย่อมรู้ว่าผลที่ตามมาของอาการนี้เป็นเช่นไร แต่ทว่าพระองค์ก็ยังหวังให้มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับพระธิดาของนางอยู่

แต่ในยามนี้กลับไร้ปาฏิหาริย์ เช่นนั้นองค์หญิงเก้าคงมิอาจหลีกหนีชะตาที่ต้อง…ตายไปพร้อมกับบุตรในครรภ์ได้

หยูเวิ่นหวินเองก็ได้ยินคำเอ่ยของหมอหลวงเช่นเดียวกัน สุดท้ายนางจึงลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบากแล้วกล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “อย่า… มิว่าเยี่ยงไรลูกของข้าก็ต้องปลอดภัย ลูกของข้าจะต้องปลอดภัยเท่านั้น ! ”

หลี่ปิงคุนยังสามารถเอ่ยอันใดได้อีกกัน ?

เขาจนปัญญาแล้ว

ต่งชูหลานและเยี่ยนเสี่ยวโหลวร้องไห้แทบจะขาดใจ ในใจของพวกนางล้วนสิ้นหวังเช่นเดียวกัน

ฮองเฮาซั่งเงียบไปพักใหญ่ จากนั้นจึงตรัสอย่างแน่วแน่ว่า “ถ้าเช่นนั้นก็จงใช้วิธีที่เจ้ากล่าวเถิด เพราะมิว่าเยี่ยงไรพวกเราก็ต้องลองให้รู้ ! ”

“กระหม่อมน้อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ ! ”

หลี่ปิงคุนหันไปตะโกนบอกผู้ช่วย “ยกโอสถเข้ามา ! ช่วยเร่งคลอดให้…องค์หญิง ! ”

หมอหลวงคนหนึ่งยกถ้วยโอสถเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว

“ชูหลาน พวกเจ้าออกไปก่อน ! ” ฮองเฮาซั่งรับสั่งเพื่อมิให้เกิดเสียงดังวุ่นวายขึ้นมาภายในห้อง

“ลูกแม่…แม่หวังว่าเจ้าจะทนไหว” ฮองเฮาซั่งปิดดวงเนตรลงแล้วตรัสออกมาอย่างไร้เรี่ยวแรง “ป้อนยาเถิด ! ”

“ช้าก่อน… ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนตะโกนเสียงดังลั่น เขาพุ่งตัวเข้ามาแล้วปัดถ้วยโอสถตกพื้นทันที

“พวกเจ้าออกไปให้หมด ! ”

“เสี่ยวกวน เจ้าจะทำอันใด ? ”

“ทูลฮองเฮา พระองค์ก็ต้องออกไปเช่นเดียวกันเพราะกระหม่อมต้องช่วยภรรยาผ่าคลอด ! ”