กงอิ้นอยู่เบื้องหน้าประตูวัง หลังโจมตีเหล่าพลสนับสนุนแห่งวังหลวงจนถอยไปสามครั้ง เรือนร่างหันเพียงครั้งเผชิญกับเหล่าองครักษ์ที่ตามมา
“นายท่าน…” เหมิงหู่มองดูในวังอย่างทุกข์ใจเอ่ยสืบต่อว่า “ฝ่าบาทถูกลักพาตัวไปแล้ว พวกเราต้องบุกเข้าไปหรือไม่ขอรับ”
“ยามนี้นางสบายดี” กงอิ้นสีหน้าสงบนิ่งเอ่ยสืบต่อว่า “ไม่ต้องบุกเข้าไป หากสูญเสียกำลังจะไปพบสหายเก่าได้อย่างไรเล่า”
เหมิงหู่รู้ว่ากงอิ้นมีหนทางของตนเองในการแน่ใจความปลอดภัยของจิ่งเหิงปัว ได้ฟังวาจาจึงแอบวางใจ ทว่ายามได้ยินประโยคสุดท้ายตกใจเสียจนคิ้วกระตุกครั้งหนึ่งเอ่ยว่า “ราชครูฝ่ายซ้ายอยู่ในวัง!”
“ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว…” กงอิ้นมือไพล่หลังมองอาทิตย์อัสดงลับฟ้าแช่มช้า เอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “วังแห่งกษัตริย์เทียนหนานยามค่ำคืนอาจจะคุ้มค่าให้ชม”
เหมิงหู่ถอยลงไปเตรียมตัวด้วยเข้าใจ รู้ว่าคืนนี้นายท่านต้องเข้าวังหลวงอีกครา
ทว่ากงอิ้นเงยหน้าโดยพลัน สายตาจ้องเขม็งเพียงครั้ง
บนยอดกำแพงวังปรากฏเงาร่างชุดคลุมยาวสีเงินเหลือบดำโดยพลัน แขนเสื้อกว้างลอยล่อง นัยน์ตาเจือรอยยิ้มซ้ำยังกวักมือเรียกกงอิ้นอยู่ไกลๆ
“ราชครูฝ่ายซ้าย!” เหมิงหู่ตะโกนขึ้นมาเสียงหนึ่งดั่งปวดฟัน
ใบหน้าของกงอิ้นไร้อารมณ์และมิได้โต้ตอบ ใช้สายตาราวมองซากศพมองดูเหยียลี่ว์ฉี
เหยียลี่ว์ฉีอยู่ห่างไกลบนกำแพงวัง หัวเราะสนอกสนใจกับวังหลวงเหล่าพลสนับสนุนคล้ายมนุษยสัมพันธ์ดียิ่งนัก เอ่ยวาจาไปพลางฉวยมือชี้ทิศทางของกงอิ้นไปพลาง ดวงตาชำเลืองมองพลสนับสนุนแห่งวังที่ถอยกลับไปบ้างแล้วเหล่านั้นพลันพุ่งลงมายังกำแพงเมืองอีกครา
เหมิงหู่ลอบด่าเสียงหนึ่งตระเตรียมเผชิญศึกพร้อมสรรพโดยพลัน ทว่ากงอิ้นไม่ได้ประหลาดใจแม้แต่น้อย…ในเมื่อเหยียลี่ว์ฉีถูกเขาไล่ล่า หากปล่อยโอกาสล้อมสังหารเขาครั้งนี้หลุดลอยไปถึงจะประหลาด
ทว่ามิได้รอให้เขาชิงลงมือก่อน บนกำแพงวังปรากฏบุรุษผู้หนึ่งอีกครั้งโดยพลัน เขาตะโกนจากไกลๆ ว่า “จัดกระบวนทัพใช้มังกรอัคคีโจมตีสังหารมัน!”
องครักษ์กลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งพุ่งออกมาจากสองฝั่งกำแพงวังตามคำสั่งของเขา มือถือกระบอกพ่นเพลิงสีดำ หลังจุดไฟแสงเพลิงพวยพุ่งทั้งสิ้นสามฉื่อ กระบอกเพลิงเปลวไฟมากมายหัวท้ายเชื่อมต่อกันม้วนทะยานเริงระบำ มองไกลๆ ดุจดังมังกรอัคคีจริงแท้ อลังการยวดยิ่ง
ทว่าพอเหยียลี่ว์ฉีได้เห็นสีหน้าเปลี่ยนไปมาก รีบเร่งตะโกนว่า “อย่าใช้มังกรอัคคี!”
ผู้รับบัญชาบนกำแพงที่วังกษัตริย์เทียนหนานส่งมาทดสอบเหลือบสายตามอง…มีปัญหาดังคาด!
ต้าหวังเอ่ยว่าจะทดสอบคุณชายเหยียลี่ว์ด้วยกลัวว่าเขาสมคบคิดกับผู้บุกวังนี้ บัดนี้ดูท่าจริงแท้แน่นอน พอจะใช้อาวุธสังหารรุนแรง ดูท่าทางร้อนรนนี้ของเขาสิ!
“ยิง!” เขาคล้ายจะไม่ได้ได้ยินเสียงตะโกนยับยั้งของเหยียลี่ว์ฉี บัญชาด้วยเสียงเฉียบขาด
มุมปากของกงอิ้นเฉียดผ่านด้วยรอยยิ้มเย็นชาสายหนึ่ง
เบื้องหน้าปัญญาหิมะ การโจมตีที่แฝงพลังร้อนทั้งสิ้นล้วนเปล่าประโยชน์
มังกรอัคคีคำรามคล้ายกำเนิดจากปลายอาทิตย์อัสดง เจือด้วยสีแดงสว่างเพียงหนึ่งและไอสังหารไร้ขอบเขต พุ่งทะยานเข้ามา
กงอิ้นเพียงตลบแขนเสื้อแผ่วเบา
แขนเสื้อสีหิมะดุงดังหิมะใหญ่ทั่วท้องฟ้า เวียนวนเป็นเงาขาวทอดยาวออกไปรอบนอกสามจั้ง อุณหภูมิโดยรอบลดฮวบ ไอร้อนไอเย็นสอดประสานจู่โจมจนอบอวลด้วยไอหมอกสีขาวจาง กลบกลืนเรือนร่างสูงโปร่งของเขาให้มัวสลัวยากจับต้องดุจเทพเซียนแห่งเขาเผิงไหล[1]
ทว่าเหยียลี่ว์ฉีถอนหายใจเฮือก
แน่นอนว่าการถอนหายใจของเขา ยามมองในสายตาของผู้รับบัญชาที่มองดูอยู่เงียบเชียบ นั่นคือความเจ็บปวดใจ
มังกรอัคคีร่ายระบำประชิดมา
พานพบกับไอหมอกสีขาวจาง
เสียงซู่ๆ ระลอกหนึ่งดังแผ่วเบา ทุกคนเบิกตากว้างมองเห็นเปลวเพลิงสีแดงช่อใหญ่ที่ทะยานระบำดุเดือดนั้นถูกไอหมอกเจือจางเบาบางดั่งไร้สิ่งชั้นหนึ่งนั้นขัดขวาง กีดกั้นและละลายทีละเล็กละน้อยคล้ายถูกคมมีดไร้รูปร่างสะบั้นออกดังกังวานก่อนจะพังทลายต่อหน้าต่อตา
น้ำแข็งและไฟปะทะประสาน ไอหมอกเพิ่มทะยานยิ่งรุนแรงจนเยือกแข็งกลายเป็นผลึกน้ำแข็งละเอียดเกลื่อนพื้น ทุกคนแทบจะมองเงาร่างของกงอิ้นได้ไม่ชัดเจน มองเห็นเพียงมือข้างหนึ่งวาดเป็นวงกลมดั่งใจนึกอยู่รำไร เล็บยิ่งไร้สีเลือดแม้แต่น้อยโปร่งใสปานผลึกน้ำแข็ง
ทุกคนทั้งเบื้องบนเบื้องล่างกำแพงวังตะลึงพรึงเพริด มิเคยนึกว่าไอสังหารดุดันเ**้ยมโหดที่แทบจะไม่พ่ายแพ้ในสงครามใดจะไร้ซึ่งแรงต้านทานแม้เพียงน้อยยามอยู่ใต้มือข้างหนึ่งของฝ่ายตรงข้าม ค่อยๆ ถอยหลังโดยจิตสำนึก
เหยียลี่ว์ฉีถอนหายใจเสียงหนึ่งอีกครา
ยามฟังด้วยหูของผู้รับบัญชาที่หงุดหงิดด้วยพ่ายแพ้ นั่นคือความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น
นัยน์ตาของผู้รับบัญชาเฉียดผ่านด้วยความโกรธสายหนึ่ง ร่างถอยหลังเพียงครั้งโดยพลันโซเซคล้ายจะล้มลง
เหยียลี่ว์ฉีรีบเร่งมาประคอง ผู้รับบัญชายกมือขึ้นคล้ายหวังอาศัยแรงของเขา แขนเสื้อแฉลบผ่านหลังมือของเขา แผ่นโลหะบนริมแขนเสื้อตั้งขึ้นเพียงน้อยมิรู้ยามใดเฉือนผ่านผิวบริเวณหลังมือของเหยียลี่ว์ฉี
“โอ๊ย!” เหยียลี่ว์ฉีรู้สึกว่าหลังมือเจ็บขึ้นมาเพียงน้อย ยามชักมือกลับมามองเห็นหลังมือถูกบาดเสียแล้ว โลหิตจางๆ ไหลออกมาเล็กน้อย
“ไอ้หยา ขออภัย” ผู้รับบัญชารีบเร่งขออภัย ดวงตาอดจะเหลือบมองบาดแผลไม่ได้
เหยียลี่ว์ฉีหดมือเพียงครั้งแขนเสื้อห้อยลงมาปกปิดบาดแผล เอ่ยเจือยิ้มจางว่า “ไม่เป็นไร” เบนสายตาออกไปมิหวังใส่ใจผู้รับบัญชาอีก
ผู้รับบัญชาเดินออกไปสองก้าวแอบกำหมัดแน่น
มองเห็นปัญหาอีกคราดังคาด!
ในโลหิตของเหยียลี่ว์ฉีผลึกน้ำแข็งละเอียด!
ต้าหวังให้เขาจับตาว่าเหยียลี่ว์ฉีมีความสัมพันธ์ลับกับไอ้หน้าอ่อน เอ่ยว่าหลักฐานที่แน่ชัดที่สุดคือวรยุทธ์ของพวกเขามากจากแหล่งเดียวกันจริงแท้แน่นอนทั้งสิ้น มองเจ้าคนชุดขาวผู้นั้นผลึกน้ำแข็งเกลื่อนพื้น บัดนี้ในโลหิตของเหยียลี่ว์ฉีมีสีผลึกน้ำแข็งเช่นกัน หากเอ่ยว่าไม่ใช่ตระกูลเดียวกันผู้ใดจะเชื่อ
ยามนี้เหลือเพียงการทดสอบขั้นสุดท้ายแล้ว
ทดสอบความรู้สึกที่ผู้ชุดขาวนั้นมีต่อผู้ชุดดำนี้!
ผู้รับบัญชาฟาดฝ่ามือเพียงครั้งบนแผ่นหลังของเหยียลี่ว์ฉีโดยพลัน มืออีกข้างหนึ่งทำท่าทางเสแสร้งโยนป้ายไม้สีดำแผ่นหนึ่งจากข้างหลังเหยียลี่ว์ฉี ดูท่าทางคล้ายเขาซุ่มโจมตีเหยียลี่ว์ฉีและขโมยป้ายไม้
ณ กำแพงวังเบื้องล่างห่างออกไป สายตาของกงอิ้นสว่างวูบ เฉียดกายสืบขึ้นเบื้องหน้าหลายก้าวโดยเร็วหวังมองให้ชัดว่าป้ายไม้นั้นคือสิ่งใด ใช่ป้ายบัญชาการแห่งราชครูฝ่ายซ้ายของเหยียลี่ว์ฉีหรือไม่
ณ บนกำแพงวัง เหยียลี่ว์ฉีหันกายด้วยระแวง ยกแขนเสื้อเพียงครั้งขัดขวางฝ่ามือหนึ่งนั้นของผู้รับบัญชา ขนคิ้วกระตุกครั้งหนึ่งเอ่ยอย่างงงงันว่า “เจ้าจะทำอะไร”
ผู้รับบัญชาหัวเราะฮิๆ ครั้งหนึ่ง ปลายเท้ากระตุกเพียงครั้งสะบัดป้ายไม้ขึ้นมาถือไว้ในมือ ฉวยมือยัดเข้าไปในแขนเสื้อครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ได้ยินว่าคุณชายเหยียลี่ว์มีวรยุทธ์ยิ่งใหญ่สูงส่ง ผู้ต่ำต้อยหวังจะทดสอบการโต้ตอบของท่าน เหอะๆ หยอกเล่น หยอกเล่น”
สายตาของเหยียลี่ว์ฉีกะพริบวูบ สีหน้าไม่เชื่ออย่างชัดเจน ยิ้มพลางเอ่ยว่า “อ้อ หยอกเล่นในยามนี้หรือ?”
ผู้รับบัญชาไม่ตอบวาจาเดินไปริมกำแพง เมื่อครู่นั้นที่ลงมือกับเหยียลี่ว์ฉี เขาได้มองเห็นสีหน้าร้อนรนของกงอิ้นแล้ว
พอแล้ว
เช่นนี้พิสูจน์ได้แล้ว
นี่ย่อมเป็นชายโฉดชายชั่วที่ต่างฝ่ายต่างมีใจคู่หนึ่ง แอบแฝงเจตนาร้ายร่วมไม้ร่วมมือกันวางแผนแย่งชิงอำนาจของต้าหวัง!
“คิกๆ คิกๆ” เขาก้มหน้าแอบหัวเราะพลางเอ่ยว่า “คู่รักคู่ชู้ชื่นงดงามคู่หนึ่ง ลำบากพวกเจ้าแล้ว!”
“เจ้าว่าอะไรนะ?” เหยียลี่ว์ฉีมิทันได้ฟังให้ชัดเจน
…
ณ เบื้องล่างกำแพงวัง กงอิ้นเงยหน้ารู้สึกเลืองรางว่าบรรยากาศเบื้องบนแปลกประหลาด
“ไม่มีอะไร ผู้ต่ำต้อยยังต้องรายงานสถานการณ์บนกำแพงต่อต้าหวัง นอกจากนี้ต้าหวังบัญชาว่ามิต้องเปิดศึกกับฝ่ายตรงข้าม เขาจะเข้ามาก็ให้เขาเข้ามาเถิด” ผู้รับบัญชามิกล้าอิดออดรีบเร่งขอตัวโดยพลัน เดินไปพลางถอนหายใจส่ายหน้าไปพลาง
แม้เอ่ยว่าอยู่ในฐานะศัตรู ทว่านึกไม่ถึงว่าบุรุษคู่หนึ่งจะมีความรู้สึกลึกล้ำเช่นนี้ต่อกัน เพื่อชายนั้นแล้วเขายอมเป็นสายลับฝืนหน้ายิ้มร่าเริงเคียงคู่ข้างกายสตรีที่ไม่ชอบพอ เพื่อชายนี้แล้วเขายอมควบทะยานหมื่นลี้ปะทะศัตรูนับไม่ถ้วน เพรียกหาอยู่เบื้องล่าง ใช้ตนผู้หนึ่งเป็นศัตรูกับแคว้นหนึ่งโดยมิเสียดาย
ความรักระหว่างบุรุษที่พาให้ผู้คนมากมายซาบซึ้ง!
กงอิ้นเงยหน้ามองดูผู้รับบัญชาที่ปรากฏกายโดยพลันและรีบเร่งจากไปผู้นั้น ในใจรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติรำไรจึงหันหลังถามเหมิงหู่ว่า “รู้สึกหรือไม่ว่ามีสิ่งใดผิดปกติ”
เหมิงหู่เอ่ยว่า “ขอรับ สายตาซาบซึ้งยิ่งนัก”
…
บนกำแพงวัง เหยียลี่ว์ฉีขมวดคิ้ว มือลูบจมูก
กษัตริย์เทียนหนานเป็นอะไรไปถึงจะปล่อยให้กงอิ้นเข้ามา หรือได้ฟังวาจาของนางมารน้อยนั่น
มองไม่ออกเลยว่านางมารน้อยยังมีความสามารถเช่นนี้
วันนี้ที่กงอิ้นไล่ตามไม่ยอมลดละ เพื่อจะไล่จับเขาหรือว่าเพื่อนางมารน้อยกันแน่?
เหยียลี่ว์ฉีชำเลืองมองสันจมูกสูงโด่งของกงอิ้นแล้วลูบจมูกของตนเอง ไม่ได้รู้สึกว่าสูงน้อยกว่ากันเพียงใด
เฮ้อ อย่างไรเสียก็ปิดบังไว้มิได้แล้ว เข้ามาก็เข้ามา หาโอกาสจัดการมันให้สิ้นซาก
…
เมื่อจิ่งเหิงปัวมองเห็นผู้รับบัญชารีบเร่งกลับมา ใบหน้าเปี่ยมอารมณ์เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ในใจก็ยิ้มพรายแล้ว
พอนางมองเห็นกษัตริย์เทียนหนานได้ฟังผู้รับบัญชารายงาน สีหน้าก็เปลี่ยนไปจนอัปลักษณ์โดยพลันเช่นกัน ในใจยิ่งกระหยิ่มยิ้มย่อง
เป็นอย่างไรเล่า? ความรักระหว่างบุรุษที่ ‘สมรู้ร่วมกระทำ กล้ำกลืนฝืนอัปยศ ร่วมมือทั้งนอกใน แม้ตายไม่ยอมเปลี่ยนแปลง’ ถูกพิสูจน์แล้วล่ะสิ
ก่อนหน้านี้นางได้ยินกงอิ้นเอ่ยขึ้นมาว่า หลังจากถูกพิษของเขาแล้วใช้ยาถอนพิษของเขา โลหิตระหว่างช่วงบาดเจ็บของเหยียลี่ว์ฉีจะเกิดการเปลี่ยนแปลงจนปรากฏเกล็ดผลึกน้ำแข็ง
ในระดับหนึ่งนั้น มองคล้ายเลือดนั้นมาจากแหล่งเดียวกันกับวรยุทธ์ของกงอิ้น ส่วนพลังที่เหยียลี่ว์ฉีครอบครองอยู่ในมือย่อมเป็นสิ่งที่กงอิ้นฝันใฝ่อยู่ตลอดเป็นธรรมดา ให้ผู้รับบัญชาโยน ‘ป้ายบัญชาการปลอม’ นั่นออกไป กงอิ้นจะไม่สนใจได้อย่างไร
ส่วนรูปแบบของป้ายบัญชาการ…คราวอยู่กลางหุบเขา นางเคยเห็นป้ายไม้สีดำขอบโค้งมนที่เสียบเอนเอียงอยู่บริเวณเอวของเหยียลี่ว์ฉีโผล่ออกมาเล็กน้อย นึกแล้วคงเป็นสิ่งจำพวกป้ายบัญชาการตามตำแหน่งของเหยียลี่ว์ฉี แน่นอนว่าป้ายไม้ที่คนของกษัตริย์เทียนหนานเขวี้ยงออกไปคงไม่เหมือนป้ายของเหยียลี่ว์ฉีทุกกระเบียดนิ้ว แต่ว่าห่างกันขนาดนั้นจะจำแนกชัดเจนได้อย่างไร
นึกถึงราชครูเจ้าเล่ห์เย็นชาสองตัวนั้นที่หลอกนางไปหลอกนางมา ในที่สุดคราวนี้ก็ถูกตนเองจัดการไปครั้งหนึ่ง จิ่งเหิงปัวก็ไม่อาจไม่ยิ้มแย้มดีใจ
สีหน้าของกษัตริย์เทียนหนานดูอัปลักษณ์ ใช้เวลาเนิ่นนานจึงยอมรับหลักฐานบ้าบอนี้เสร็จสิ้น เดิมทีนางเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับวาจาของจิ่งเหิงปัว ที่เอ่ยว่าให้นางไปทดสอบเสน่ห์แห่งสตรีเพศเป็นเพียงการทดสอบท่าที ยามนี้ในใจโกรธแค้นทว่าเกิดความคิดอยากจะทดสอบให้เต็มที่ขึ้นมาบ้างแล้ว
นางสะบัดมือเพียงครั้ง บัญชาให้คนแก้เชือกมัดมือของจิ่งเหิงปัวอย่างเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก จิ่งเหิงปัวบิดขี้เกียจครั้งหนึ่งอย่างสบายกาย ตอนนี้นางเป็นอิสระโดยสิ้นเชิงแล้ว
แต่ว่านางไม่ได้อยากไปไหน
นางอยากหารอยร้าวระหว่างราชครูสองตัวกับต้าหวังตัวหนึ่งแล้วแทรกเข้าไปอย่างเหมาะเจาะพอดิบพอดี แบบนี้ทั้งสามารถหลุดพ้นดวงชะตาราชินีหุ่นเชิด ซ้ำยังสามารถวางแผนจัดการชีวิตของตนเองในภายภาคหน้าแบบทำเพียงครั้งเดียวสบายตลอดกาล
นางนั่งลง รอการมาถึงของกงอิ้นด้วยท่าทีสบายอกสบายใจ
กษัตริย์เทียนหนานกลับจ้องมอง ‘ผ้าปิดปาก’ เริ่มตั้งใจครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ที่จะโถมทับเหยียลี่ว์ฉีในคืนนี้ พลันนึกถึงปัญหาสำคัญข้อหนึ่ง
“คืนนี้เจ้าเองจะใช้หรือไม่” กษัตริย์เทียนหนานชี้ไปยัง “ผ้าปิดปาก”
จิ่งเหิงปัวทำสีหน้าแปลกประหลาด…แปะสิ่งนี้บนปากของมหาเทพเหรอ?
นางจะยังได้เห็นดวงอาทิตย์ของพรุ่งนี้หรือไม่
“ก็ไม่ใช่ว่าจะลองไม่ได้นะ” นางนึกถึงท่าทางอัศจรรย์เมื่อผ้าอนามัยแปะบนปากของมหาเทพแล้วเลือดเดือดพลุ่งพล่านทันที…มหาเทพผู้ขาวราวหิมะคู่กับผ้าอนามัยสีขาวราวหิมะ เหมาะที่สุดเลยใช่ไหมล่ะ
“บางทีเขาอาจจะชอบแบบมีปีกยาวพิเศษสำหรับกลางคืน” จิ่งเหิงปัวเปรียบเทียบผ้าอนามัยแบบมีปีกด้วยสีหน้าฝักใฝ่
“ชอบสิ่งใด” มีคนถามอยู่ข้างหลัง
“ยาวพิเศษสามสิบเก้าเซนติเมตรสำหรับกลางคืนอย่างไร…” จิ่งเหิงปัวหรี่ตาตอบด้วยความใฝ่ฝัน พลันรู้สึกตัวว่าเสียงนี้ไม่ถูกต้อง
“ฉิบ!” พอนางหันหลังก็มองเห็นมหาเทพผู้ขาวราวหิมะ
——
[1] เทพเซียนแห่งเขาเผิงไหล เกาะเซียนเผิงไหลตั้งอยู่ที่มณฑลซานตงเมืองเยียนไถและเมืองเผิงไหล ได้รับการขนานนามว่าเป็น “อาณาเขตเทพเซียนแห่งโลกมนุษย์”