มหาเทพผู้ขาวราวหิมะยืนตระหง่านอยู่ปากประตู ขมวดหัวคิ้วน้อยๆ ด้วยท่าทางเสแสร้ง ดวงตาจ้องมองนางอยู่ เขามองนางอย่างละเอียดลึกซึ้งในปราดเดียว พอมั่นใจว่าภายนอกไม่มีสิ่งใดไม่เหมาะสมจึงเอ่ยปากอย่างเย็นชาว่า “มีปีก? ยาวพิเศษ? สำหรับกลางคืน?”

 

 

สองคำสุดท้ายอาจกระทบถึงเส้นประสาทซึ่งแท้จริงแล้วไวต่อความรู้สึกอย่างยิ่งของเขา สายตาที่เขามองไปยังจิ่งเหิงปัวเปี่ยมด้วยการสอบสวน

 

 

“เหอะๆๆ” จิ่งเหิงปัวย่อมมีวิธีแก้ตัวของตนเอง กล่าวว่า “นั่นสิ กระโปรงสุ่มนางฟ้าสีขาวราวหิมะทรงบิกีนีมีปีกแนบเนื้อสั้นมากของข้า เจ้าอยากดูหรือไม่ ข้าสวมให้เจ้าดูได้นะ?”

 

 

มหาเทพโต้ตอบฉับไว…ชั่วพริบตาเดียวกระต่ายสีขาวราวหิมะตัวกลมดิก ขาเรียวยาวสวมกระโปรงสั้น หูเรียวยาวใบหูสีชมพูเช่นจิ่งเหิงปัวจำนวนนับไม่ถ้วนคำรามผ่านมาในหัวสมอง…

 

 

“อย่าก่อเรื่อง!” เขาปฏิเสธอย่างเด็ดเดี่ยวตรงไปตรงมา สีหน้าวาจาจริงจังเปี่ยมเหตุผล

 

 

มองด้วยสายตาของกษัตริย์เทียนหนานกลับกลายเป็นผู้มีรสนิยมพิเศษที่มีจิตใจแน่วแน่ยืนหยัดไม่ลุ่มหลงในสตรีตัวหนึ่ง!

 

 

ในดวงตาของกงอิ้นไร้ซึ่งกษัตริย์เทียนหนานโดยสิ้นเชิง…แต่ไหนแต่ไรมา สิ่งที่เข้าสู่สายตาของเขามีเพียงหนึ่งถึงสองสิ่งนั้นที่เดินเข้ามาใกล้ระยะการมองเห็น

 

 

เขายกมือให้จิ่งเหิงปัว สื่อนัยให้นางเดินมาหาจะได้จากไปกับเขา

 

 

พอจิ่งเหิงปัวมองเห็นก็รู้ว่าท่าไม่ดี เหตุใดนางถึงลืมนิสัยของมหาเทพไปได้ เมื่อเขาเข้ามาต้องพานางออกไปเลยแน่นอน มองด้วยสายตาของกษัตริย์เทียนหนานแล้วย่อมไม่เข้ากับแผนการ ‘ร่วมมือวางแผนยึดวังหลวงทั้งนอกทั้งใน’ แผนนั้น

 

 

“อิ้นอิ้น…” นางรีบเร่งเดินยิ้มแย้มเข้าไปหา พิงศีรษะบนไหล่ของเขา กล่าวเสียงเบาว่า “ยามนี้ไปไม่ได้ ข้าถูกวางยาพิษเข้าแล้ว…”

 

 

“จับนางไว้แล้วนำยาถอนพิษมาเสียสิ” กงอิ้นเลิกคิ้วเพียงครั้ง ยื่นมือตรวจชีพจรของนาง

 

 

จิ่งเหิงปัวเบี่ยงกายครั้งหนึ่งหลบหลีกออกไป กระซิบเสียงเบาข้างหูเขาว่า “พิษนี้เหยียลี่ว์ฉีเป็นคนวาง หรืออาจไม่เรียกว่าพิษ เขาเอ่ยว่าหากข้าคิดจะออกไปจากวังกษัตริย์เทียนหนานก็จะล้มลงสิ้นชีพ เจ้าว่าเรื่องนี้ยอมเชื่อผิดแต่มิอาจไม่เชื่อไม่ใช่หรือ ทว่าเรื่องนี้จะโทษกษัตริย์เทียนหนานไม่ได้ กษัตริย์เทียนหนานดีต่อข้าไม่น้อย นางเลื่อมใสข้ายิ่งนักจนหวังคารวะข้าเป็นอาจารย์ ประเดี๋ยวยังจะจัดงานเลี้ยงเชิญพวกเราทานอาหาร ข้าว่าในเมื่อมาแล้วจะจากไปแบบนี้ได้อย่างไร หากไม่ทำให้ระเบิดเช่นเหยียลี่ว์ฉีลูกนี้ระเบิดออก พวกเราจะเดินทางโดยสวัสดิภาพได้ตลอดทางหรือ? เจ้าก็อยู่ต่อสักหน่อยเถิด พวกเราร่วมกันขจัดพิษภัยใหญ่หลวงในใจเจ้า ดีหรือไม่”

 

 

นางเอ่ยวาจาประชิดข้างหูกงอิ้น กลิ่นหอมเจือจางและไอร้อนพัดพาไรผมบริเวณจอนหูของเขา เขารู้สึกคันยิบเล็กน้อย อดจะเอียงศีรษะหวังหลบหลีกไม่ได้ พอเอียงศีรษะกลับมองเห็นดวงตาเจือรอยยิ้มของนางที่เงยขึ้นมาพอดี ดวงตาในมุมนี้ของคนธรรมดาคงแลดูแปลกประหลาดไปบ้าง ทว่านางผุดเผยเพียงหางตาเรียวยาวดุจผีเสื้อเยี่ยนเหว่ย ดวงตาสุกสกาวชม้ายคล้ายแสงจันทร์สาดอ้อยอิ่งเบื้องหน้าหน้าต่างลายฉลุ ทุกรัศมีคือความคล่องแคล่ว งามปราดเปรียวแลอ่อนโยน ดั่งมวลผการ่วงโปรยเต็มไหล่ กรุ่นกลิ่นหอมเลือนรางลูบไล้ไม่จางหาย

 

 

ส่วนคำว่า ‘พวกเรา’ สองคำนั้น เน้นหนักแผ่วเบา เจือความคุ้นเคยสนิทสนมไม่คร่ำเคร่ง ได้ยินแล้วความห้าวหาญดุจน้ำแข็งดั่งหิมะของเขายังคล้ายจะละลายกลายเป็นธารวสันต์ อดจะ “อืม” แผ่วเบาเสียงหนึ่งไม่ได้

 

 

จิ่งเหิงปัวพิงอยู่บนไหล่ของเขา เดิมทีตั้งใจใช้คำพูดอ่อนโยนสนิทสนมมอมเมาเขา แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าผืนไหล่ของเขาแข็งแกร่งคล้ายหยกแห่งคุนหลุน ในใจสงบสุขแบบไม่เคยมีมาก่อน อดจะถูไปถูมาไม่ได้

 

 

ภายใต้การถูเพียงครั้ง กงอิ้นยืนแข็งทื่อ…เดิมทีนางยืนหันข้าง การถูครั้งนี้จึงมีความอ่อนโยนเปี่ยมด้วยความเชื้อเชิญในตนเอง นางชนข้างไหล่ของเขาอย่างแผ่วเบาจนระลอกคลื่นพวยพุ่งในใจเขาเพียงครั้ง สีหน้าซีดเผือด

 

 

ยามช้อนสายตาขึ้นอีกครั้ง มองเห็นแววตาแปลกประหลาดคล้ายกำลังชมอย่างออกรสของกษัตริย์เทียนหนานที่อยู่ฝั่งตรงข้าม จึงปรับสีหน้าให้เย็นชา ดีดนิ้วดังเพี้ยะบนจอนผมของจิ่งเหิงปัว เอ่ยว่า “ยืนดีๆ”

 

 

จิ่งเหิงปัวปรับท่าทางยืนตรงแน่วแอบแบะปาก ส่งสายตาให้กษัตริย์เทียนหนานว่า “ดูสิ เป็นเช่นดังคาดไว้สินะ”

 

 

กษัตริย์เทียนหนานใช้สายตาแสดงการเห็นด้วย เมื่อครู่นางชำเลืองมองความยั่วยวนที่กำลังเริ่มต้นขึ้นของจิ่งเหิงปัว กำลังรู้สึกว่าแม้แต่มุมที่จิ่งเหิงปัวอิงแอบเอ่ยวาจายังคล้ายอัศจรรย์ยิ่งนักจึงคิดจะเรียนรู้ให้เต็มที่ ไม่นึกว่าจิ่งเหิงปัวจะถูกผลักออกมาให้ยุติท่าทีเช่นนี้แล้ว

 

 

นางยิ่งเชื่อขึ้นไปอีกอย่างช่วยมิได้…สีหน้ามุมนั้นเมื่อครู่ของจิ่งเหิงปัวงดงามน่ารักใคร่เช่นนี้ แม้แต่นางยังหวั่นไหวไร้ต้านทานและเสียดายหากต้องเบนสายตาออกไป เจ้าคนชุดขาวผู้นี้ไม่เข้าใจเสน่ห์เช่นนี้ หากไม่ใช่หลงใหลในบุรุษเพศก็คล้ายจะไร้หนทางอธิบายแล้ว

 

 

กษัตริย์เทียนหนานมองกงอิ้นปราดเดียวด้วยความอาลัยอาวรณ์…เสียดายรูปโฉมงดงามเหนือสามัญรูปหนึ่งเช่นนี้!

 

 

นางแอบตอบกลับจิ่งเหิงปัวด้วยแววตาสายหนึ่งว่า ‘ฝากด้วยล่ะ!’

 

 

จิ่งเหิงปัวผู้เตรียมพร้อมแต่แรกเริ่มยิ้มเพียงครั้ง

 

 

จะให้ราชครูจิ้งจอกสองตัวทิ้งโล่ทิ้งเกราะได้อย่างไร

 

 

จะให้กษัตริย์เทียนหนานเชื่อมั่นลึกซึ้งไม่เปลี่ยนไปจนขืนใจเหยียลี่ว์ฉีได้อย่างไร

 

 

หลบหนีจากวงล้อมของสัตว์ร้ายสามตัวโดยไม่เป็นราชินีหุ่นเชิดเหมือนคุกกี้สอดไส้นั่นได้อย่างไร

 

 

โอกาสมีไว้สําหรับคนที่พร้อมเสมอ!

 

 

ทุกอย่างอยู่ในค่ำคืนนี้

 

 

งานเลี้ยงเหิงปัว!

 

 

 

 

เพราะการยืนกรานของจิ่งเหิงปัว สุดท้ายแล้วกงอิ้นจึงยังอยู่ต่อ

 

 

ผู้มีฝีมือสูงแห่งวังกษัตริย์เทียนหนานซุ่มรออยู่บริเวณใกล้โดยตลอด แม้ว่าเรื่องการต่อสู้ตัวต่อตัวไม่มีผู้ใดเป็นคู่ต่อสู้ของเขา ทว่าพอเขาพุ่งกายลงมือย่อมยากจะดูแลจิ่งเหิงปัวจนทั่วถึง หากให้นางหายตัวด้วยตนเองก็กลัวว่าการหายตัวมั่วซั่วไม่เข้าท่าครานี้จะไปยังสถานที่ที่ไม่ควรไป ถึงยามนั้นการตามหานางย่อมเป็นเรื่องยากลำบาก

 

 

ความรู้สึกยามก่อนหน้านี้ที่เขาถูกล้อมโจมตีบีบบังคับให้ขึ้นไปบนเสาสูง มองเห็นนางร่วงสู่อ้อมแขนของเหยียลี่ว์ฉีในปราดหนึ่งทว่ามิได้เข้าช่วยเหลือในยามนั้นได้ทันท่วงที เขาไม่อยากเริ่มต้นความรู้สึกนั้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง

 

 

ยิ่งไปกว่านั้นจิ่งเหิงปัวเอ่ยว่าถูกการสะกดของเหยียลี่ว์ฉีจึงทำให้เขาตัดสินใจจะจัดการเหยียลี่ว์ฉีในคืนนี้

 

 

ยามราตรี งานเลี้ยงเริ่มต้นขึ้นบนหอจุ้ยหนีแห่งวังกษัตริย์เทียนหนาน

 

 

หอจุ้ยหนีสร้างขึ้นระหว่างสะพานโค้งสองแห่ง สะพานสีชาดทั้งสองดั่งสายรุ้งสองสายลอยขึ้นมาจากสายน้ำ ข้ามผ่านคลื่นธารสีเขียวคดโค้งผุดเผยหอจุ้ยหนีซึ่งเป็นวงกลมดุจไข่มุกงามออกมา ยามเข้าสู่ค่ำคืนบนสะพานทั้งสองจุดโคมแดงหนึ่งดวงทุกสามฉื่อ แลเสมือนมุกราตรีนับมิถ้วนห้อยย้อยลงมาจากท้องนภา อาบไล้ทะเลสาบสลัวรางจนเป็นสีเขียวครึ่งหนึ่งสีแดงครึ่งหนึ่ง

 

 

อาหารและเครื่องใช้ทั้งหมดถูกส่งขึ้นเรือมาดประทุนมาโดยนางกำนัล แสงตะเกียงเสียงพายบนทะเลสาบจ๋อมแจ๋มไม่หยุดหย่อน ระคนด้วยเสียงสรวลแผ่วเบาของเหล่าสตรีพาให้ผู้คนนึกถึงเสน่ห์แห่งหมู่บ้านริมน้ำซึ่งมีสระบัวหลวงเขียวขจีชม้ายเนตร หลงลืมว่าที่แห่งนี้คือเขตซีเอ้อถิ่นทุรกันดารจนสิ้น

 

 

ที่แห่งนี้คือสถานที่ที่กษัตริย์เทียนหนานจัดเลี้ยงแขกสำคัญ มีเพียงแขกสำคัญจึงจะย่ำเหยียบพื้นสะพานปูพรมแดงเข้าสู่หอจุ้ยหนีได้ ส่วนผู้ติดตามทั้งหมดที่เหลือจำต้องโดยสารเรือไปกลับ ดูแลความปลอดภัยเข้มงวดอย่างยิ่ง

 

 

ภายในหอยามนี้ แสงโคมสาดสะท้อนดวงพักตร์ของผู้นั่งทั้งสี่ด้าน

 

 

กษัตริย์เทียนหนาน เหยียลี่ว์ฉี จิ่งเหิงปัวและกงอิ้นนั่งหันหน้าเข้าหากัน

 

 

กษัตริย์เทียนหนานเอ่ยว่าจิ่งเหิงปัวให้คำแนะนำดีๆ มากมายแด่นาง นางจึงเลี้ยงอาหารเพื่อแสดงความขอบคุณ ในเมื่อกงอิ้นเป็นสหายของต้าปัวย่อมต้องเชิญมาด้วยกัน

 

 

ทั้งสี่คนนอกจากจิ่งเหิงปัวที่กินอาหารร่ำสุราอย่างหน้าตาเฉย สามคนที่เหลือล้วนมีสีหน้าแปลกประหลาด

 

 

โดยเฉพาะกงอิ้นกับเหยียลี่ว์ฉี ทั้งคู่เป็นขุนนางวังเดียวกันนานหลายปีแลเป็นศัตรูการเมือง เรื่องร่ำสุราร่วมงานเลี้ยงย่อมมีบ้าง ทว่าคราเหล่านั้นล้วนอยู่ในแคว้นและในโอกาสที่จำต้องรักษาบรรยากาศ ยามห่างจากราชสำนัก ในโอกาสอื่นไม่ว่าโอกาสใดก็ตาม ทั้งสองแทบจะตายกันไปข้าง พานพบต้องสังหาร

 

 

สำหรับกษัตริย์เทียนหนาน ในใจนางเปี่ยมด้วยความโกรธเคืองและความระมัดระวัง มองผู้ใดล้วนเจือด้วยเจตนาร้าย สายตากวาดไปกวาดมาบนร่างหลายคนดุจดั่งโคมฉาย

 

 

ดีว่าล้วนเป็นผู้แข็งแกร่ง กษัตริย์เทียนหนานยังสามารถใช้สถานะเจ้าภาพทักทายด้วยไมตรีจิต เหยียลี่ว์ฉีนอกจากกระงกกระเงิ่นยามแรกเริ่ม หลังจากนั้นก็สุขุมเยือกเย็น ทว่ากงอิ้นไม่มองทุกคนซ้ำยังไม่กินอาหาร เพียงหลุบตาต่ำร่ำสุราแช่มช้า

 

 

น้ำสุราเย็นใสบริสุทธิ์ยิ่งยวด อาหารรสชาติกำลังดี กษัตริย์เทียนหนานคล้ายจะรู้ว่าการเล่นลูกไม้เบื้องหน้าผู้คนเช่นนี้ไม่มีผลแม้แต่น้อยนิด ฉะนั้นงานเลี้ยงจึงจัดตามอัธยาศัย

 

 

กงอิ้นไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น คล้ายยิ่งไม่ชอบมองจิ่งเหิงปัว เบี่ยงกายออกมาให้ห่างจากนางสักหน่อยตลอดเวลา

 

 

จิ่งเหิงปัวยิ่งถูกอกถูกใจ กินอาหารมื้อหนึ่งจนถ้วยชามกระจัดกระจายยิ่งขึ้น เศษกระดูกปลิวว่อน ตอนนี้กำลังคว้าปลาเฟย[1]นึ่งน้ำแดงตัวหนึ่งมาแทะอย่างตะกละตะกลาม

 

 

“กินช้าๆ หน่อย” มหาเทพคล้ายเหลืออดเหลือทน สายตาจ้องมองไปข้างหน้า เอ่ยว่า “เจ้าถุยกระดูกหัวปลามาถึงแขนเสื้อของข้าแล้ว”

 

 

“อ้อ” จิ่งเหิงปัวเขยิบออกมาแล้วแทะต่อไป นางชอบกินปลา

 

 

“สำรวมหน่อย” ผ่านไปสักพัก มหาเทพวิจารณ์นางอีกครั้งว่า “เสียงดังเหลือเกิน ยามเจ้ากินอาหารเหตุใดจึงไร้ความเป็นกุลสตรีเช่นนี้”

 

 

“อ้อ” จิ่งเหิงปัวเขยิบออกอีกครั้ง เปลี่ยนทิศทางการแทะ เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มมองมา มือทำท่าทาง “อร่อยเหลือเกิน” จิ่งเหิงปัวชำเลืองมองเขาแวบเดียวแล้วจิ้มไปยังจมูกตนเอง

 

 

ยังไงก็เป็นห่วงจมูกพังของท่านให้ดีเถิดท่านน่ะ!

 

 

เหยียลี่ว์ฉีลูบจมูกด้วยท่าทางหดหู่อีกครั้ง กงอิ้นผู้มองการยักคิ้วหลิ่วตาฉากหนึ่งนี้ไว้ในสายตา ขมวดหัวคิ้วเพียงน้อย

 

 

ลูบจมูก หมายความว่าอะไร

 

 

“เงียบหน่อย!” มหาเทพมิได้เงียบสักนาทีเดียว ในที่สุดจึงอดไม่ได้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์อีกครั้งว่า “เจ้าไม่กลัวว่าก้างปลาจะติดคอหรือ!”

 

 

เสียงวาจายังมิทันสิ้น จิ่งเหิงปัวหน้าขึ้นสีแดงคอไอโขลกอย่างรุนแรง…ก้างปลาติดคอนางเข้าแล้ว

 

 

กงอิ้นยื่นมือข้างหนึ่งออกไปอย่างเชี่ยวชาญยิ่งนัก ตบลงบนหลังนางอย่างรุนแรงเพียงครั้งดัง “ป๊าป!”

 

 

“แค่ก” เสียงหนึ่ง ร่างกายของจิ่งเหิงปัวโน้มลงเพียงครั้ง ก้างปลาสีขาวก้างหนึ่งพุ่งออกมา กงอิ้นมือไวตาไวคว้ากระถางใส่น้ำใบน้อยรออยู่เนิ่นนานแล้ว แม้หลบหลีกเช่นนี้ยังยากจะเลี่ยงการจู่โจม แขนเสื้อเปรอะเปื้อนคราบสกปรกดวงน้อยคราบหนึ่ง

 

 

จิ่งเหิงปัวกุมลำคอไว้ ร่างล้มปวกเปียกลงบนหัวเข่าของเขา ด้านหนึ่งเช็ดน้ำมันข้างปากบนกางเกงสีขาวราวหิมะของเขา อีกด้านหนึ่งกู่ก้องร้องตะโกนในใจว่า

 

 

รีบรังเกียจสิ! รังเกียจสิ! โมโหโกรธาโยนฉันออกไปสิ! แบบนี้จะยิ่งพิสูจน์ความรักของพวกนายได้!

 

 

กงอิ้นหลุบตาต่ำเชื่องช้า

 

 

มองร่องรอยสีน้ำตาลแดงเป็นดวงบนแขนเสื้อ

 

 

มองรอยเช็ดรูปดาวตกผืนหนึ่งบนกางเกง

 

 

ยกมือขึ้น

 

 

จิ่งเหิงปัวหลับตาปี๋ รอคอยจะขี่เมฆควบหมอกลอยหงายท้องอีกครั้ง

 

 

มือทอดลงบนหลังของนาง ปลายนิ้วสกัดจุดเลือดลมข้างหลังในร่างกายอย่างแผ่วเบาปานดีดสายพิณ ความอบอุ่นระลอกหนึ่งไหลเลียบมาตามเส้นลมปราณ สนิทแนบคอหอยที่เริ่มเจ็บปวดเพราะไอโขลกอย่างรุนแรงของจิ่งเหิงปัว

 

 

นอกเหนือความคาดหมายเหลือเกิน นางงงงวยไปบ้าง

 

 

วันนี้มหาเทพเกิดใหม่อีกแล้วเหรอ?

 

 

มือเย็นเล็กน้อยยื่นไปประคองนางที่อ่อนยวบอยู่ตรงหัวเข่าของเขาขึ้นมาพิงไว้อย่างดีตรงที่นั่ง ฉวยมือลากจานใบน้อยของนางมา คีบปลาเฟยสองตัวบนจานนั้นมาสู่จานของตนเอง

 

 

จิ่งเหิงปัวมองดูอย่างงงงัน

 

 

นางมองเขาหยิบมีดเงินงามประณีตเล่มน้อยเล่มหนึ่งออกมา บนมีดยังมีเข็มสีเงินเรียวบางเล่มหนึ่ง เขาหลุบตาลง ใช้คมมีดแล่ตัวปลาแกะก้างปลาออกแล้วใช้เข็มเงินค่อยๆ แกะก้างน้อยบริเวณหลังและหางออกมา

 

 

เขาก้มหน้าเพียงน้อย สมาธิจดจ่อ ลงมีดรวดเร็ว กระหวัดเข็มอย่างใจเย็น ท่วงท่าพิถีพิถันและตั้งอกตั้งใจดุจดั่งสิ่งที่เผชิญอยู่มิใช่ปลาตัวหนึ่ง ทว่าคือสาส์นการเมืองเรื่องแคว้นที่เขาจำต้องทุ่มเทสมาธิ

 

 

จอนผมปอยหนึ่งค่อยๆ สยายลงมาบดบังสายตาบริสุทธิ์สุกใสของเขา

 

 

จิ่งเหิงปัวเกือบจะถูกทำให้สั่นสะท้าน

 

 

ให้จินตนาการล้ำเลิศแค่ไหน ให้ความคิดกระจัดกระจายเพียงใด นางยังไม่อาจคิดว่ากงอิ้นจะทำเรื่องแบบนี้

 

 

เฮ้อ กินปลาก็กินปลาสิ ต้องเปลืองแรงขนาดนี้เลยเหรอ

 

 

มหาเทพสูงส่งยากจะปรนนิบัติดังคาดไว้

 

 

ท่วงท่าของกงอิ้นรวดเร็วมีแบบแผน เพียงชั่วลมหายใจเดียว ก้างของปลาสองตัวถูกแกะจนสะอาดสะอ้าน เขาวางมีดเงินและเข็มเงินลง ไสจานไปเบื้องหน้าจิ่งเหิงปัว

 

 

จิ่งเหิงปัวที่กำลังมองอย่างสนใจเป็นอย่างยิ่งมีความเห็นเต็มไปหมด จ้องเนื้อปลาในจานที่ยังรักษาไว้อย่างสมบูรณ์แล้วงงงวยอีกรอบ

 

 

“ให้ข้าหรือ?”

 

 

“เจ้าจะได้ไม่ติดคออีก ทำข้าสกปรก” น้ำเสียงของกงอิ้นเย็นชาและรังเกียจปานนั้นเช่นเคย

 

 

จิ่งเหิงปัวจ้องปลาสองตัวที่แกะก้างออกไปดุจงานศิลปะ ได้ยินน้ำเสียงเย็นเยียบจนหนาวเหน็บสิ้นชีพของเขา รู้สึกว่าติดตามมหาเทพตลอดไปยิ่งรู้สึกแตกต่าง ความรู้สึกแตกต่างขนาดนี้

 

 

ปลาสมบูรณ์พร้อมยิ่งยวด ยั่วยวนผู้คนยวดยิ่ง คล้ายยิ่งหอมหวน แต่ในใจนางสับสนว้าวุ่นรู้สึกว่ามีอะไรไม่ปกติ ทั้งอยากยอมรับและไม่อยากยอมรับ ทั้งอยากเปลี่ยนแปลงและไม่อยากเปลี่ยนแปลง คล้ายไม่ว่าจะยอมรับหรือเปลี่ยนแปลง อนาคตย่อมจะเกิดการเปลี่ยนแปลงด้วยเหตุนี้ และสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่นางอยากได้

 

 

นางอยากได้อิสรภาพ อยากใช้ชีวิตเรียบง่าย ต่อสู้ดิ้นรน หลอกลวงซึ่งกันและกัน นางปรับตัวได้แต่จะไม่พึงพอใจไปตลอดกาล

 

 

ชีวิตหนูทดลองในโลกปัจจุบันนั้นทำตนลำบากมามากเกินพอแล้ว หลังจากหลุดพ้นมาได้นางสาบานว่าจะมีชีวิตอยู่เพื่อตนเอง

 

 

ส่วนเขา เขาคือตัวแทนของทุกสรรพสิ่งที่ทั้งซับซ้อน ทั้งลวงโลก ทั้งหนาวเหน็บอย่างยิ่ง…รวมถึงความเจริญความเสื่อมโทรมและความเป็นความตายของราชสำนักหนึ่ง

 

 

นัยน์ตาปานผลึกน้ำแข็งของเขาจดจ้องแว่นแคว้นต้าฮวงตลอดเวลา จะหลงเหลือความอบอุ่นเพียงพอสาดส่องโลกของนางได้สักกี่ส่วน

 

 

จิ่งเหิงปัวส่ายหน้า ยิ้มเยาะตนเองครั้งหนึ่ง

 

 

คิดมากเกินไปแล้ว!

 

 

เขาแค่ไม่อยากถูกพ่นก้างปลาใส่อีกเท่านั้นเอง

 

 

ฝั่งตรงข้าม กษัตริย์เทียนหนานและเหยียลี่ว์ฉีล้วนมองมา บนโต๊ะมีสิ่งของเช่น กาสุราจานชามบดบังไว้ อีกทั้งเมื่อครู่ท่วงท่าของกงอิ้นรวดเร็ว พวกเขาไม่ได้มองเห็นชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น กษัตริย์เทียนหนานครุ่นคิดชั่วครู่ ยิ้มแย้มเดินประคองถ้วยสุราเข้ามาคล้ายจะดื่มคารวะ มองเห็นปลาในจานของจิ่งเหิงปัวปราดเดียวแววตาก็เปลี่ยนไป เลิกคิ้วยิ้มเอ่ยว่า “ปลานี้แกะก้างได้ประณีตอัศจรรย์นัก! ต้าปัว นี่เจ้าแกะก้างเองหรือ”

 

 

“ใช่สิ” จิ่งเหิงปัวใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ประคองจานขึ้นมาอย่างเกียจคร้าน กล่าวว่า “อยากกินหรือไม่”

 

 

กงอิ้นเงยหน้าโดยพลัน

 

 

กษัตริย์เทียนหนานดูท่าทางกินปลารังเกียจก้างเช่นกัน เข้ามารับจานอย่างยินดีโดยไม่ได้สังเกตถึงสีหน้าของกงอิ้น เอ่ยว่า “ดี ความเคารพครานี้ของเจ้าหาได้ยาก…”

 

 

“เพี้ยะ”

 

 

จานแตกร้าวโดยพลัน น้ำแกงเปรอะมือข้างหนึ่งของกษัตริย์เทียนหนาน เนื้อปลาหล่นร่วงลงมา คราวนี้ไร้หนทางรักษาความสมบูรณ์ต่อไป จานแตกร้าวกลายเป็นกองเดียวกันกับเนื้อปลา

 

 

จิ่งเหิงปัวมองเนื้อปลานั้นแวบหนึ่ง มองกษัตริย์เทียนหนานที่ชะงักไปแวบหนึ่งแล้วหันหน้ามองกงอิ้น

 

 

กงอิ้นคล้ายยังคงทำตนเป็นปกติ ประคองถ้วยสุราขึ้นมาร่ำสุราอีกครั้ง จอนผมสยายลงมา นัยน์ตาสงบนิ่งแลหนาวเหน็บดุจหินเฮยเย่ากลางหิมะ

 

 

จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าความรู้สึกร้อนผะผ่าวประหลาดในใจชนิดนี้ยิ่งมีมากขึ้น

 

 

นางผลักโต๊ะอาหารลุกขึ้นมาฉับพลัน เอ่ยว่า “คืนนี้ข้ามีการแสดงเสริมความสนุกสนาน ผ่านมาผ่านไปอย่าได้พลาดล่ะ!” แล้วสะบัดกายเพียงครั้งเข้าไปในประตูข้าง

 

 

กษัตริย์เทียนหนานยิ้มพราวปรบมือ เอ่ยว่า “ดียิ่งนัก! จะได้พบเห็นระบำเทวาของต้าปัวพอดี!” สายตาแฉลบผ่านร่างของเหยียลี่ว์ฉีกับกงอิ้นคล้ายมิได้ใส่ใจ

 

 

กงอิ้นไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย หลังมือที่ถือถ้วยสุราหดเกร็งเพียงน้อย

 

 

ดวงตาของเหยียลี่ว์ฉีสว่างวูบ อมยิ้มยกถ้วยสุราขึ้นมา

 

 

มองด้วยสายตาของกษัตริย์เทียนหนาน อืม กำลังดื่มคารวะให้ไอ้หน้ามนคนนี้จากไกลๆ หรือ

 

 

เสียงพึ่บพั่บดังขึ้นครั้งหนึ่ง ม่านประตูข้างสะบัดขึ้น เพลิงกลุ่มหนึ่งวนเวียนระยิบระยับออกมาโดยพลัน

 

 

ผู้คนทั้งหอจุ้ยหนี ตั้งแต่กษัตริย์เทียนหนานจนถึงคนรับใช้ที่คอยปรนนิบัติเปล่งเสียงอุทานด้วยความตื่นตะลึงซึ่งยากจะเข้าใจเสียงหนึ่งโดยพร้อมเพรียง

 

 

กงอิ้นเงยหน้าขึ้น ชะงักงัน

 

 

เหยียลี่ว์ฉียืดตัวตรง

 

 

ดุจดั่งสายฟ้าหรือแสงสว่างพุ่งผ่านสุดปลายสายรุ้งมาถึงม่านตาหลังกะพริบตาเพียงครั้ง หลงเหลือเงายิ่งใหญ่งามตะลึงพรึงเพริดผืนหนึ่งซึ่งโค้งเว้ายักย้าย

 

 

บนพรมภายในหอ มีสตรีคลุมหน้ายืนตระหง่านอยู่มิรู้ตั้งแต่ยามใด

 

 

ทุกผู้คนเบิกตากว้าง

 

 

นางผู้นี้…อวดตน! ยั่วยวน! ใจกล้า! ปลดปล่อย!

 

 

 

 

——

 

 

[1] ปลาเฟย หรือปลาเฮอร์ริง ชื่อวิทยาศาสตร์ Clupea pallasi