ผมลอนใหญ่ปล่อยสยายทัดดอกต้าลี่สีแดงสดดอกหนึ่งไว้เอนเอียง จอนผมสองข้างคล้องด้วยลูกปัดเคลือบเงาสีชาด ท่อนบนคือโตวตู้[1]สีแดงเพลิงแบบเกาะอกชิ้นหนึ่ง เว้าไหล่ ความยาวเพียงปิดหน้าอก ห้อยลูกปัดเคลือบเงาสีม่วงสลับทองนับมิถ้วนขับสะท้อนผิวกายขาวราวหิมะและสะดือกลมกลึง ถัดจากสะดือคือเข็มขัดถักทอทองคำเจ็ดรัศมีห้อยลูกปัดเคลือบเงาสั้นยาวสลับเรียงเช่นเดียวกัน ท่อนล่างคือกระโปรงสีแดงเพลิงฟูฟ่องซอยชายกระโปรงไร้ระเบียบผุดเผยเท้าขาวราวหิมะคู่หนึ่ง บนข้อเท้าร้อยกระดิ่งทองคำเจ็ดถึงแปดสาย

 

 

ผ้าคลุมหน้าสีแดงเข้มประดับผลึกแก้วบางผืนหนึ่งบดบังใบหน้าครึ่งหนึ่งของนาง ผุดเผยเพียงนัยน์ตากระชากวิญญาญคู่หนึ่ง หางตาแต่งแต้มชาดสีแดงเข้มประกายทองอ่อนผืนหนึ่ง งามจนสกัดผ้าทองดงามเปล่งประกายรอบหอนี้

 

 

กษัตริย์เทียนหนานหลงลืมจานที่แตกร้าว เหยียลี่ว์ฉีทิ้งถ้วยสุรา สุราถ้วยหนึ่งหยุดอยู่ที่ริมฝีปากของกงอิ้น ถ้วยสุราสั่นไหว น้ำสุราไหลลงมาทีละหยด ทว่าเขาไม่รู้สึกตน

 

 

ท่ามกลางความเงียบสงัดสุดขีด ผ่านไปชั่วครู่ กงอิ้นจึงคล้ายรู้สึกตัวขึ้นมา เขวี้ยงถ้วยสุราทิ้งเพียงครั้งหวังจะยืนขึ้นมา

 

 

“ตึ้งๆ!”

 

 

เสียงกลองดังขึ้นโดยพลัน!

 

 

รวดเร็วเสียยิ่งกว่าจินตนาการ จังหวะระบำรวดเร็วของจิ่งเหิงปัวฉวัดเฉวียนขึ้นปานสายลม!

 

 

เท้าเปล่าสีขาวราวหิมะสั่นสะท้อนเงาสีหิมะออกมา ชายกระโปรงสีแดงเพลิงท่วมท้นด้วยสายรุ้งแสงสายัณห์ ลูกปัดเคลือบเงาหลากสีเปล่งประกายเจ็ดรัศมี เครื่องประดับทองคำเจิดจ้าดุจสุริยา เคียงคู่ด้วยเสียงไพเราะของกระดิ่งทองคำ เสียงประณีตของลูกปัดเคลือบเงาหลากสีที่ลอยขึ้นมาและเสียงกลองของจังหวะรื่นหูเร้าใจ ปัจจัยทุกสิ่งกำลังพรรณนาความงดงามและความสว่างพร่างพรายของระบำ

 

 

ส่วนร่างกายนับเป็นภาษาอีกรูปแบบหนึ่ง เปี่ยมด้วยความงามหยาดเยิ้มยั่วยวนปลดปล่อยตนจากแขนที่เคลื่อนไหว เอวปานอสรพิษน้ำเขยื้อนกาย หน้าท้องขาวราวหิมะสั่นวูบไหว แขนงามประณีตขยับเขยื้อนรวดเร็วยืดเหยียดต่อเนื่อง ดุจเปลวเพลิงพวยพุ่ง ดั่งคลื่นสมุทรหลากล้น ดุจสายธารหลั่งไหล ดั่งผีเสื้อสราญใจ

 

 

ระบำหน้าท้องคือระบำฝั่งตะวันออกที่มีประวัติยาวนานและเปี่ยมด้วยเอกลักษณ์ของสตรีเพศอย่างที่สุด ซ้ำยังเป็นหนึ่งในระบำที่โด่งดังที่สุดที่สตรีเพศใช้แสดงความงดงามของร่างกาย สตรีผู้มีความมั่นใจสุดขีดต่อร่างกายของตนเองและเชื่อมั่นในความงดงามของตนเองว่าเพียงพอจะปราบปรามทุกสรรพสิ่งเท่านั้นจึงสามารถร่ายรำถึงแก่นแท้ของระบำชนิดนี้ได้

 

 

แทบจะในชั่วขณะนั้น จิ่งเหิงปัวจุดเพลิงจังหวะประสานระบำ ทั้งห้องนั้นเปี่ยมด้วยจังหวะและสีสันที่นางแต่งแต้มออกมา ผู้คนเบิกตากว้างทว่าไร้หนทางไขว่คว้าสีสันจริงแท้ซึ่งเป็นของนาง ประเดี๋ยวหนึ่งคือสีหิมะบริสุทธิ์ ประเดี๋ยวหนึ่งคือเปลวเพลิงลุกช่วงโชติ ประเดี๋ยวหนึ่งลูกปัดเคลือบเงาล่องลอยทั่วสารทิศ ประเดี๋ยวหนึ่งกระดิ่งสีเหลืองทองสว่างพร่างพรายสายตา

 

 

ส่วนช่วงโค้งเว้าอ่อนนุ่มนั้น ช่วงท้องดุจเข็มขัดแพรสีขาวราวหิมะและการเคลื่อนไหวรวดเร็ว อีกทั้งช่วงแขนดุจมีกลไกภายในยิ่งพาให้ทุกผู้คนได้เปิดหูเปิดตา…ที่แท้ร่างมนุษย์สามารถเคลื่อนแนวโค้งอัศจรรย์เช่นนี้ออกมาได้ซ้ำยังสามารถสั่นสะท้านความถี่รุนแรงเช่นนี้ออกมาด้วย! มองจนดวงใจยังคล้ายสะท้านตาม เสียงดังตึ้งๆๆ มิรู้ว่าเป็นเสียงกลองหรือเสียงดวงใจเต้นเร่า!

 

 

มีคนกำลังสั่นสะท้าน มีผู้สั่นขาแผ่วเบาตามจังหวะกลองโดยจิตสำนึก มีผู้โอบเสาเอาไว้แน่นิ่ง ขยับแขนเชื่องช้าโดยจิตสำนึก ทุกส่วนบนร่างกายของจิ่งเหิงปัวจุดเพลิงปรารถนาของมนุษย์ ที่ซึ่งนางโค้งเว้ายักย้ายพาดผ่านปลิดโปรยด้วยลมหายใจกระชั้นชิดและสายตาตะลึงพรึงเพริดเกลื่อนพสุธา

 

 

ท่ามกลางฝูงชนจิ่งเหิงปัวกระหวัดริมฝีปากยิ้มครั้งหนึ่ง…ฉายามอเตอร์ไฟฟ้าน้อยของพี่ไม่ได้เรียกแบบเสียเปล่านะ!

 

 

สายตาของนางเฉียดผ่านกงอิ้น การเต้นรูดเสาที่หอคณิกาในคราวแรกแค่ถูกสถานการณ์บังคับให้เต้นมั่วซั่วไป ท่วงท่าไม่กี่ท่าบนรถขบวนแห่ก่อนหน้านี้ก็เป็นเพียงการแสดงมั่วซั่วไร้แบบแผน มีเพียงระบำหน้าท้องในขณะนี้คือสิ่งที่นางอยากเต้นให้เขาดูอย่างจริงจังตั้งใจ!

 

 

ให้เจ้าคนที่เหมือนภูเขาน้ำแข็งคนนี้ได้พานพบความงดงามแห่งเรือนร่างสตรีเพศสักหน่อย!

 

 

กงอิ้นนั่งเรียบร้อยดังปกติ ทว่ามือสองข้างที่กดไว้บนโต๊ะมีท่าทีเกร็งแน่น หลังมือออกสีขาว เขาหลุบขนตาหนาดกคล้ายไม่คิดมองระบำของนางเลยสักนิด

 

 

แต่จิ่งเหิงปัวมองเห็นเขาจ้องอ่างทองคำบรรจุน้ำใสข้างกาย คลื่นน้ำในอ่างทองคำวูบไหวเพียงน้อย สะท้อนเงาร่างดุจธารหลากของนางกลับด้าน

 

 

นางยิ้มออกมาเพียงน้อย

 

 

ไม่ทำให้นายใจเต้นถึงร้อยแปดสิบ อย่าเรียกพี่ว่าราชินีแห่งการร่ายรำ!

 

 

เวียนวนรำร่ายเพียงครั้ง นางประชิดใกล้กงอิ้นแล้วโน้มกายเพียงน้อย ผมยาวสยายลงมาดุจสายธารา

 

 

เหยียลี่ว์ฉีที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเห็นนางร่ายรำไปทางกงอิ้นดังคาดไว้ สีหน้าสงบนิ่งทว่าสายตาวูบไหวเพียงน้อยกลับผุดเผยความครุ่นคิดในยามนี้

 

 

ในความเลือนรางยังคงเป็นการชมนางร่ายระบำที่หอคณิกาในวันนั้น เร้าใจจนพาให้ตื่นตะลึง ทว่าการแต่งกายชุดนี้ในคราวนี้คล้ายยังมีเสน่ห์เหนือกว่าคราวนั้นถึงสามเท่า

 

 

ทว่าเสน่ห์ของนาง ยินยอมปลดปล่อยออกมาเพื่อผู้ใดกันแน่

 

 

 

 

กงอิ้นเงยหน้าด้วยท่าทางแข็งทื่อเล็กน้อย มือของเขาค่อยๆ กดแนบแน่นกับพื้นโต๊ะ สายตาแฉลบผ่านสันหลังและช่วงท้องโค้งราบเรียบเปิดเปลือยของจิ่งเหิงปัว

 

 

จากนั้นแฉลบผ่านใบหน้าทุกคนที่มองเหม่ออยู่ข้างเคียง แววตาดำขลับเคร่งขรึมดั่งมีไอสังหาร

 

 

จิ่งเหิงปัวมองสายตานั้นของเขาแวบเดียวก็รู้ว่ามหาเทพจะโกรธาแล้ว

 

 

นางหันกายเพียงครั้งร่างล้มลงสู่อ้อมแขนของเขา แขนสองข้างยกขึ้นมากระหวัดลำคอของเขาไว้

 

 

รอบด้านเปล่งเสียงสูดหายใจสื่อนัยไม่เข้าใจ

 

 

“แสร้งทำโหดเ**้ยมต่อไปสิที่รัก!” นางเป่าลมข้างหูเขา อากัปกิริยานุ่มนวลพราวเสน่ห์ทว่าน้ำเสียงสดใสกังวาน

 

 

ท่าทางของกงอิ้นคล้ายแข็งทื่อเล็กน้อย ยกมือจะผลักนางทว่าสิ่งที่สัมผัสมือกลับกลายเป็นความอ่อนนุ่มและเกลี้ยงเกลา มือที่ยกขึ้นมาเพียงครึ่งของเขาแข็งทื่อเพียงน้อยด้วยมิรู้ว่าควรทอดวางไปยังที่แห่งใด สายตาหวังทอดลงไปทว่ายังคงมิรู้ว่าควรทอดลงไปสู่ที่แห่งใดเช่นเดียวกัน หางตากวาดไปถึงสีขาววาวแววผืนหนึ่ง เขาเร่งรีบเบนสายตาออกมา

 

 

“อย่าทำเช่นนี้”

 

 

จิ่งเหิงปัวเกือบหลุดหัวเราะออกมาเสียงหนึ่ง…กงอิ้นสมงสมองไปหมดล่ะมั้ง ทำไมพูดประโยคนี้แล้วเปี่ยมความรู้สึกอ่อนหวานละมุนละไมแบบนี้ล่ะ

 

 

นางซุกซบไหล่ของเขา ประคองถ้วยสุราข้างๆ ส่งขึ้นมาถึงริมฝีปากของเขา

 

 

“คนดี ดื่มสักถ้วยสิ…”

 

 

เสียงลากยาวหวานเลี่ยนดุจผสมน้ำผึ้งครึ่งชั่ง จิ่งเหิงปัวขยะแขยงตนเองจนสั่นสะท้าน

 

 

กงอิ้นหลุบขนตาดำขลับ ท่านั่งของเขาตรงแน่ว มือประคองบนเอวนางอย่างแผ่วเบา ในใจอยากผลักออกทว่ายังรู้สึกว่าการสัมผัสผิวกายนางย่อมไม่เหมาะสม นัยน์ตาสะท้อนเพียงมืองดงามเรียวยาวของนางที่กำลังชูถ้วยสุราสีหยก น้ำสุราหอมหวานดุจน้ำผึ้งเบื้องหน้าสั่นไหวเพียงน้อย สิ่งที่ทะลักล้นออกมามิรู้ว่าเป็นของเหลวสีเขียวครามนั้นหรือว่าดวงใจของเขากันแน่

 

 

ส่วนลมหายใจหวานแช่มชื่นเช่นกันของนางรดเพียงใต้ลำคอ พัดผ่านคอเสื้อของเขาอย่างแผ่วเบาทีละชุ่นทีละชุ่น คล้ายจะจู่โจมสังหารตำแหน่งใกล้หน้าอกนั้น

 

 

เขาเคลิบเคลิ้มขึ้นมาโดยพลัน กระโปรงสีแดงปลิวว่อนของนางแฉลบผ่านเบื้องหน้า ลูกปัดเคลือบเงาหลากสีกวัดแกว่งไปมาเป็นผืนแผ่น เกลี้ยงเกลาลื่นเป็นเม็ดคล้ายพุ่งเข้าสู่ก้นบึ้งของดวงหทัย แล้วระเบิดหมอกอำพรางห้ารัศมีออกมาดังปุ้ง

 

 

เขาคล้ายหลงทาง

 

 

ก้มหน้าเพียงครั้งจะดื่มสุราเข้มข้น

 

 

พลันได้ยินเสียงแจ่มชัดแลเจือความประหลาดใจเบาบางของนางดังแผ่วเบาที่ข้างหู

 

 

“เฮ้ย ไอ้ภูเขาน้ำแข็ง เจ้าคงไม่คิดจะดื่มจริงๆ หรอกนะ”

 

 

 

 

ทั่วร่างของเขาเย็นเยียบเฉียบพลันดุจดังถูกน้ำแข็งราดรดแสกหน้า ไอเย็นเยือกเป็นลำแสงหอบหนึ่งพุ่งจากหน้าอกสู่ทั่วสารทิศ เขาเงยหน้าโดยพลัน

 

 

จิ่งเหิงปัวเหินขึ้นมาจากอ้อมแขนของเขาดุจผีเสื้อเสียแล้ว หมุนกายร่ายรำออกมาหนึ่งครั้งแล้วหมุนกายหงายมือยื่นไปถึงด้านหลังครั้งหนึ่ง มุมปากโค้งเพียงครั้งคล้ายทั้งโกรธทั้งเคือง

 

 

“คนบ้า กล้าไม่รับการดื่มคารวะของข้า…”

 

 

น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความเศร้าโศกเสียใจ

 

 

กงอิ้นจ้องมองนาง พลันรู้สึกว่าพอได้รู้จะสตรีนางนี้ ชีวิตก็เปี่ยมไปด้วยความแตกต่างและความรู้สึกแปลกประหลาด

 

 

มือของจิ่งเหิงปัวยกขึ้นเพียงครั้ง ในมือมีแส้เพิ่มมาเส้นหนึ่งไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร

 

 

แส้หลากสีเรียวยาวมีประโยชน์ด้านอุปกรณ์ประดับตกแต่งเหนือกว่าประโยชน์ด้านอาวุธ เดิมเป็นหนึ่งในอุปกรณ์การแสดงที่นิยมใช้ในการแสดงระบำหน้าท้อง

 

 

“เพียะ” แส้หลากสีสะบัดครั้งหนึ่งดุจอสรพิษ กระทบพื้นดังสดใสไพเราะกังวาน โคมไฟทุกดวงดับสิ้นโดยพลันพร้อมเสียงหนึ่งนี้

 

 

ทุกคนเปล่งเสียงอุทานด้วยความตื่นตะลึงแผ่วเบา เสียงถอนหายใจเบาทุ้มลุ่มลึกภายในหอมืดมิดฟังดูคล้ายห่างไกล

 

 

ในความมืดมิดผืนหนึ่ง เสียงกลองยังคงดำเนินต่อเนื่อง เสียงกระดิ่งข้อเท้าของจิ่งเหิงปัวยังคงดังต่อไป เสียงกลองทุ้มหนักผสมผสานเสียงกระดิ่งแผ่วเบากลายเป็นท่วงทำนองเร้าใจอย่างประหลาด ทุกผู้คนหรี่ดวงตาจินตนาการถึงสีแดงเพลิงแพรวพราวผืนหนึ่งเวียนวนโค้งเว้ากลายเป็นธงเจ็ดรัศมีท่ามกลางความมืดมิดนั้นอย่างควบคุมมิได้

 

 

“เพียะ” เสียงแส้ดังสดใสไพเราะเสียงหนึ่ง

 

 

แสงเพลิงสายหนึ่งจุดประกายขึ้น เทียนไขมันวัวขนาดเท่าแขนเล่มหนึ่งบนผนังถูกจุดสว่างโดยพลัน ลำแสงสลัวสาดส่องสั่นไหวบนพื้น สะท้อนดวงพักตร์ผู้คนให้มัวสลัว

 

 

แสงจากเทียนไขเล่มแรกสว่างขึ้นมา กษัตริย์เทียนหนานส่งสัญญาณมือเพียงครั้ง ทุกคนโค้งกายออกไปอย่างเงียบเชียบ ยามออกไปภายนอกหอยังเงยหน้าอย่างอาลัยอาวรณ์มิหยุดหย่อน สายตาโศกเศร้า

 

 

“เพียะ” แส้ดังขึ้นอีกเสียงหนึ่ง

 

 

แสงจากเทียนไขเล่มสองสว่างขึ้นข้างหลังกงอิ้นพอดี ใต้เงาแดงผืนหนึ่งนัยน์ตาของเขายิ่งดำขลับวูบไหวดั่งเก็บซ่อนเหวลึกสงบเงียบนับหมื่นนับพันปีไว้

 

 

กลิ่นหอมเบาบางคดเคี้ยวอบอวลมา ในกลิ่นหอมคล้ายยังมีรสชาติแปลกประหลาดเจือปน

 

 

กระโปรงบานสีแดงของจิ่งเหิงปัวแผ่ออกมาเฉียดผ่านแก้มของกงอิ้น เสียงสรวลของนางดั่งความฝันแห่งภูตพรายทลายอาภรณ์ขนนก งามปราดเปรียวและเกียจคร้าน กล่าวว่า “…ดีกับข้าหน่อยนะที่รัก…คืนนี้ข้างามหรือไม่”

 

 

นิ้วของกงอิ้นค่อยๆ ยกขึ้นมาคล้ายจะจับกระโปรงบานที่มีลมหอมกรุ่นเบาบางนั้นไว้ ทว่านางเยื้องกรายเลื่อมพรายผ่านไปในฉับพลันนั้น

 

 

“อย่าดึงกระโปรงข้า!” นางกล่าวเตือนเสียงเบายามก้าวกระโดดผ่านไป น้ำเสียงทำลายบรรยากาศ

 

 

นิ้วของเขาหยุดค้างกลางอากาศ ปลายนิ้วค่อยๆ ออกสีขาวในชั่วพริบตาเดียว สีผลึกน้ำแข็งละเอียดผืนหนึ่งปรากฏโดยพลันแล้วค่อยๆ หายไป

 

 

“กรุ๊งกริ๊ง” แสงสีเหลืองสายหนึ่งกะพริบวูบ เจือด้วยกลิ่นหอมเข้มข้นข้ามผ่านความเลือนรางล่องลอยมาทางเขา นี่คือกระดิ่งทองคำบนเท้านาง

 

 

“รับไปสิสุดที่รัก…” เสียงสรวลของนางที่อยู่ใกล้เคียงดุจคลื่นธารกระเพื่อม ทุกสรรพเสียงคือความยั่วเย้า

 

 

เขามิได้ขยับเขยื้อน

 

 

เพลิงแพรวพราวกองหนึ่งสอดประสานความเหน็บหนาวไร้ทางเลี่ยงหลีกทีละครั้งทีละครั้ง เขาย่อมจำต้องเงียบงันท่ามกลางความมืดมิด

 

 

นางคือความมหัศจรรย์ที่มีเพียงหนึ่งเดียวบนโลกใบนี้ เพียบพร้อมด้วยเสน่ห์กระชากวิญญาณและความหยิ่งยโสโอหัง ทั้งสดใสร่าเริงและไม่แยแสสิ่งใดในขณะเดียวกัน

 

 

สตรีเช่นนี้นับเป็นภัยพิบัติโดยธรรมชาติ

 

 

กระดิ่งทองคำร่วงพื้นดัง “กริ๊ง” เสียงหนึ่ง นางโค้งกายกำไว้ในมือ กระดกนิ้วหัวแม่มือแผ่วเบาครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ใช่! เช่นนี้ล่ะ! มหาเทพผู้สูงส่งเย็นชา กดไลค์เลย!”

 

 

เขายังคงนั่งนิ่งไม่ขยับเขยื้อน อาภรณ์ดุจหิมะ ดวงพักตร์ดั่งหิมะเช่นกัน บนเล็บสะท้อนสีผลึกน้ำแข็งเลือนรางชั้นหนึ่งแผ่ขยายเชื่องช้า คราวนี้มิได้สาบสูญไปอีกครา

 

 

แส้ยาวสะบัดครั้งหนึ่งดัง “เพียะ!”

 

 

แสงจากเทียนไขเล่มสามจุดประกายดังฟึ่บสว่างอยู่ข้างหลังเหยียลี่ว์ฉี กษัตริย์เทียนหนานนั่งอยู่ข้างกายเขาแล้วมิรู้ว่าตั้งแต่ยามใด นางงอแขนโอบเอวของเขาไว้

 

 

“เพียะๆ เพียะๆ” เสียงแส้ดังต่อเนื่อง เทียนไขค่อยๆ สว่างขึ้นมา เทียนไขทั้งหมดแปดเล่มแยกกันอยู่ทั้งสี่ด้านทว่าในห้องกลับมิได้สว่างไสว เชิงเทียนตั้งอยู่ที่ซึ่งใกล้คาน ยามสาดแสงไปยังเบื้องล่างหลงเหลือเพียงแสงสลัวเลือนราง

 

 

ในแสงสลัวทั้งศาลาอาคาร จานทองถ้วยหยก กระโจมย้อยม่านสยายและโต๊ะเก้าอี้เครื่องใช้คล้ายเปล่งแสงมืดครึ้มเลือนราง ใบหน้าของผู้คนคล้ายกลับกลายเป็นเลือนรางเช่นกัน มีเพียงนัยน์ตาสว่างแววเจือจางแต่ละคู่ละคู่ล่องลอยในกลิ่นหอมพร่าเลือน

 

 

จิ่งเหิงปัวร่ายรำไปถึงข้างกายกงอิ้นอีกครั้งไม่รู้ว่าเมื่อไร แส้หลากสีในมือโค้งขึ้นโค้งลงกลายเป็นวงกลมวงหนึ่ง นางหัวเราะคิกคิกแส้ล้อมรอบไปข้างหน้าเพียงครั้งแล้วโอบเอวของกงอิ้นไว้

 

 

“คนบ้า ไม่เชื่อหรอกว่าคราวนี้เจ้าจะยังปฏิเสธข้า…” นางยิ้มพราวดึงแส้หลากสีครั้งหนึ่ง

 

 

อีกด้านหนึ่ง กษัตริย์เทียนหนานโยนถ้วยสุราทิ้ง สายตาพร่าเลือน ยกมือเพียงครั้งสะบัดแพรหลากสีผืนหนึ่งออกมาพันรอบลำคอของเหยียลี่ว์ฉีเช่นกัน

 

 

“คนดี คืนนี้โอกาสดีงาม เจ้าต้องอยู่เป็นเพื่อนข้า…”

 

 

นางลากเหยียลี่ว์ฉีไว้ หัวเราะแผ่วเบาก้าวเข้าไปในกระโจมหลายชั้นข้างหลัง นางส่งสัญญาณมือครั้งหนึ่งก่อนจะเข้าไปในห้องลับ

 

 

ในความมืดสลัวคล้ายมีเสียงเล็กน้อยดังขึ้นรำไร จากนั้นกลับสู่ความเงียบสงัด บรรยากาศแปลกประหลาดเล็กน้อยในหอจุ้ยหนีหายไปในที่สุด

 

 

จิ่งเหิงปัวโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง

 

 

ก่อนกษัตริย์เทียนหนานจะกระทำเรื่องดีงาม ในที่สุดก็ถอนกำลังบริวารและองครักษ์ที่ซ่อนตัวอยู่ในที่มืดกลับไป

 

 

นี่คือสาเหตุที่นางกล้าทุ่มเทแสดงระบำ แต่ว่านางวางใจในตัวมหาเทพอย่างมาก นางเชื่อว่าต่อให้หมูป่ายังถูกสยบด้วยการยั่วยวนของนาง มหาเทพยังคงไม่เป็นอะไร

 

 

เอ่ยถึงสมาธิ หากเขาเอ่ยว่าที่สอง ย่อมไม่มีใครกล้าเอ่ยว่าที่หนึ่งสินะ

 

 

จิ่งเหิงปัวรอยยิ้มมุมปากผ่อนคลาย…งานใหญ่เกือบจะสำเร็จลุล่วงแล้ว

 

 

เหยียลี่ว์ฉีถูกกษัตริย์เทียนหนานลากไปแล้ว ผ้าอนามัยแช่ฉี่ไร้สีไร้กลิ่นของเฟยเฟยจะนำพาค่ำคืนยั่วใจมาให้เขา ฉี่ของเฟยเฟยมีพิษ

 

 

คราวพักผ่อนรักษาตัวหลายวันก่อน นางได้ศึกษาศาสตร์การมอมเมาของเฟยเฟย สัตว์ประหลาดน้อยเสนอน้ำลายและฉี่ให้นางด้วยตนเอง ยกไม้ยกมือแสดงว่าสิ่งนี้ถึงเป็นสิ่งยอดเยี่ยมที่สุดของมัน ฉะนั้นนางเตรียมผ้าอนามัยเปื้อนฉี่ ผ้าเช็ดหน้าเปื้อนน้ำลาย เป็นต้น ไว้เนิ่นนานแล้ว

 

 

ผ้าเช็ดหน้าที่ผูกอยู่ที่ด้ามจับแส้หลากสีในมือก็เพิ่มส่วนผสมพิเศษลงไปเช่นกัน แส้ของนางสะบัดไปมารอบกายกงอิ้น กลิ่นซึ่งเป็นของเฟยเฟยกลิ่นนั้นคงจะเริ่มค่อยๆ ซึมแทรกไปแล้ว

 

 

ตอนนี้กษัตริย์เทียนหนานวางใจนางถอนกำลังบริวารและองครักษ์ไปแล้ว ก้าวต่อไปนางแค่ต้องฉวยโอกาสในความมืดนำผ้าเช็ดหน้าไปเช็ดหน้าให้มหาเทพ…

 

 

จากนั้นนางก็หนีไปได้แล้ว!

 

 

สำหรับมหาเทพ น้ำลายเฟยเฟยที่ปริมาณเล็กน้อยมากแบบนี้มอมเมาเขาไม่ได้นานเท่าไรนัก สำหรับเขามันไม่นานพอให้สูญเสียการเคลื่อนไหวถูกผู้อื่นทำร้าย ส่วนกษัตริย์เทียนหนานตอนนี้วุ่นอยู่กับการพัวพันเหยียลี่ว์ฉีก็ไม่แน่ว่าจะทันได้หาเรื่องเขา

 

 

ช่างเป็นแผนการที่สมบูรณ์แบบเสียจริง

 

 

คราวนี้นางจะหนีไปคนเดียวตามลำพัง ใครก็หาไม่เจอ!

 

 

จิ่งเหิงปัวขอบคุณการทุ่มเทความรักเข้าช่วยเหลือของเฟยเฟยอีกครั้งด้วยจิตใจเบิกบาน ด้านหนึ่งโอบเอวของกงอิ้น อีกด้านหนึ่งแกะผ้าเช็ดหน้าที่ปลายแส้ กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ขอบใจที่ให้ความร่วมมือ ครานี้ละครของพวกเราแสดงเสร็จแล้วล่ะ…ก็รู้ว่ามหาเทพเจ้าคงไม่อาจขยับเขยื้อนแล้วสิฮ่าๆ…เจ้าเหนื่อยหรือไม่ เจ้าเหมือนจะเหงื่อออกแล้ว…ข้าเอาผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อให้เจ้าดีหรือไม่…”

 

 

หางเสียงยังมิทันสิ้น เสียงดังพลั่กเสียงหนึ่งดังขึ้น กงอิ้นล้มลงบนร่างนางตามแรงดึงของนางโดยพลัน!

 

 

จิ่งเหิงปัวไม่คิดว่าสถานการณ์จะกลับตาลปัตรอย่างฉับพลัน ร้อง “อ๊ะ” เสียงหนึ่งแล้วชะงักไปไม่ทันได้รู้สึกตัว แขนสองข้างถูกทับไว้อย่างรุนแรงทันที คนบนร่างคนนั้นทับลงมาอย่างหนักอึ้งแล้ว

 

 

เสียงทุ้มต่ำและเยือกเย็นของเขาดังอยู่ข้างหู

 

 

“แหย่ข้าหรือ เอาค่าตอบแทนมา!”

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] โตวตู้ ผ้าที่ปิดบริเวณหน้าอก มี 4 สาย มัดกับแผ่นหลัง