มือของจิ่งเหิงปัวที่กำลังถือผ้าเช็ดหน้าค้างอยู่กลางอากาศ นัยน์ตาเบิกกว้างในชั่วพริบตาเดียว
การโต้ตอบแบบนี้ของกงอิ้นเกินความคาดหมายของนางอย่างยิ่ง!
เอาเถอะ ที่จริงแล้วนางรู้ว่ามหาเทพมีความรู้สึกดีเพียงเศษเสี้ยวกับนาง สำหรับเรื่องนี้ผู้หญิงคงไม่อาจไม่รู้สึกอะไรบ้างเลย แต่นางไม่คิดว่าความรู้สึกดีที่มีเพียงเศษเสี้ยวหรือบางทีตัวมหาเทพเองไม่อาจแน่ใจนั้นจะทำให้บุคคลประเภทดวงใจอยู่กับโลกหล้า ความทะเยอทะยานมากล้นอย่างมหาเทพผู้นี้สูญเสียการควบคุม
คนที่มองแวบเดียวยังรู้ว่ามีพลังการควบคุมตนเหลือล้นประเภทนี้ หรือปกติแล้วไม่ควรจะแอบกลืนน้ำลายแสร้งทำตนเช่นเดิม เวลาดึกดื่นค่อนคืนค่อยมอบตนเองให้เจ้าน้องชายกับมือขวาเหรอ?
ไม่ว่าจะคาดคะเนจากนิสัยของเขาหรือการแสดงออกของเขา ตอนนี้เขาควรจะทะนงตนไม่แลเหลียว สะบัดแขนเสื้อจากไปหรือกล่าววาจาเราะร้าย เช่น “อย่าแทะมาทำข้าสกปรก” อย่างนั้นสักประโยคไปเลยสิ!
ทว่าร่างกายหนักอึ้งบนเรือนร่างในขณะนี้เตือนสตินางถึงความเปลี่ยนแปลงบางสิ่ง ลมปราณแผ่วเบาดั่งต้นสนเขียวขจีบนภูเขาหิมะของเขาเจือความเหน็บหนาวโดดเดี่ยวไกลห่าง แต่ลมหายใจร้อนผ่าวพัดผ่านข้างลำคอของนาง นางรู้สึกว่าตั้งแต่ผิวกายจนถึงหัวใจคล้ายเกร็งแน่นเพียงน้อยด้วยเหตุนี้ รู้สึกว่าความร้อนชื้นปานนั้นดุจพ้นพิรุณกลางคิมหันต์ ไออากาศผนึกแน่น สรรพสิ่งเขียวขจีสลับซ้อนวุ่นวาย นำพาสิ่งรองรับอารมณ์ทั้งมวลเฝ้ารอการมาถึงของลมฟ้าลมฝนครั้งต่อไปในทุกเวลา
นางหวั่นไหวในที่สุด
ไม่ทันได้เตรียมตัวว่าควรจะโต้ตอบอย่างไรทั้งนั้น นางอาลัยอาวรณ์ลมหายใจหอมกรุ่นสูงส่งของเขาแต่หวาดกลัวความเหน็บหนาวแห่งหิมะบนผิวกายของเขา นางลุ่มหลงในอุปนิสัยปานหิมะโปรยไผ่ครามของเขาแต่ไม่ยอมก้าวสู่โลกแห่งน้ำแข็งผนึกเคลือบในดวงเนตรของเขาเช่นกัน
สำหรับนาง ฟ้าดินของเขาคือความประหลาดใจ คือความยั่วยวน คือความลึกลับ คือสระหยกแห่งหนึ่งซึ่งอยู่บนเขาสูงไกลห่าง นางยอมชื่นชมอยู่ห่างไกลทั้งยอมเหินลมเฉียดผ่าน ใช้ปลายนิ้วหยั่งเชิงระลอกคลื่นเบาบางที่เกิดขึ้นเพราะตนเองนั้น นางอยากมองเห็นรสชาติแสงสีทางโลกของเขาแต่ยังกลัวว่าพอสืบเท้าเข้าใกล้จริงจังจะถูกแช่แข็งด้วยความหนาวเหน็บในอ้อมแขน
ค่ำคืนนี้…เขาคงจะโกรธเคือง ระบำหน้าท้องแบบนี้เคยเป็นระบำไร้ควบคุมที่ทำให้พวกอเมริกันยังทนไม่ได้ จะให้คนโบราณตามขนบธรรมเนียมผู้หนึ่งแบบกงอิ้นทนไหวได้อย่างไร?
ลมหายใจของนางค่อยๆ ถี่กระชั้น จากนั้นค่อยๆ ผ่อนช้า มือที่ถือผ้าเช็ดหน้าร่วงลงมาดึงผ้าเช็ดหน้ามาไว้ในมืออย่างแม่นยำ
นอนสักหน่อยเถอะ ดีต่อทั้งสองฝ่าย
เขากลับก้มลงมาอย่างดุร้ายโดยพลัน
มือของเขาร่วงลงมาทับมือที่ถือผ้าเช็ดหน้าของนาง อีกข้างหนึ่งงอข้อศอกเพียงครั้งขวางช่วงเอวของนางไว้ ร่างกายท่อนบนของนางขยับเขยื้อนไม่ได้ในทันที
จิ่งเหิงปัวเบิกตากว้างอย่างตื่นตกใจ ขณะนี้ในสมองเพิ่งรับรู้ถึงวาจาประโยคเมื่อครู่นั้นของมหาเทพ
ค่าตอบแทน? เอ๋? ค่าตอบแทนอะไร?
คงไม่ใช่อะไรอย่างนั้นหรอกมั้ง?
ไม่เอานะพรหมจารีของพี่!
“กงอิ้นเจ้าเป็นอะไรไป” ถึงอย่างไรยังรู้สึกว่าผิดปกติ นางหงายมือยื่นไปกุมมือของกงอิ้นคิดจะผลักเขาออก กล่าวว่า “ถูกพิษหรือ? ถูกยาหรือ? เกิดใหม่โดยพลันหรือ?”
เขาไม่ตอบพลางทับลงมาอย่างหนักหน่วง นางชะงักไปในทันที ลำคอกึ่งหงายขึ้นแข็งทื่อ…ริมฝีปากอ่อนนุ่มหนาวเหน็บเพียงน้อยคู่หนึ่งพลันทอดลงบนติ่งหูของนาง
ความเหน็บหนาวเพียงน้อยแลร้อนผ่าว อ่อนนุ่มแลอุ่นนวล…ดุจดังแสงอสนีหลั่งไหลทะลุผ่านเรือนร่างที่โอบกอดซึ่งกันและกัน เขาและนางล้วนสั่นสะท้าน
จิ่งเหิงปัวรู้สึกเพียงใจเต้นระรัวจนหัวใจทั้งดวงแทบจะลอยขึ้นมาแช่มช้า ความรู้สึกตอนนี้อยู่นอกเหนือความคาดหมาย ร่างสะลึมสะลือดุจอยู่ในความฝันรู้สึกได้เพียงระหว่างริมฝีปากของเขาแปรเปลี่ยนจากเยือกเย็นไปสู่ร้อนรุ่มคล้ายหยกพันปีก้อนหนึ่งซึ่งอบอุ่นขึ้นมาในที่สุด ส่วนติ่งหูของตนเองคล้ายเพลิงผลาญโดยพลัน รัศมีเพลิงแผดเผาลุกลามตลอดทางจนถึงในจิตใจ
สติสัมปชัญญะบอกตนเองว่าไม่เหมาะสมไม่เหมาะสม แต่ร่างกายอ่อนวัยกลับปรารถนาในสิ่งนั้น นางสิ้นไร้เรี่ยวแรงขึ้นมา การต่อต้านขัดขืนในนัยน์ตากลายเป็นสายตาแวววาวสายหนึ่ง
ทว่าเขาคล้ายผู้อ่อนวัยโง่เขลา พอริมฝีปากประชิดติ่งหูก็ถดถอยปานถูกลวก ยามทอดดวงพักตร์ลงไปอีกคราก็เลียบไปถึงข้างจอนผมดำขลับของนาง
เส้นผมของนางอ่อนนุ่มลื่นละเอียด ดำขลับชุ่มชื้น กำจายกลิ่นหอมอัศจรรย์เจือจาง ริมฝีปากสัมผัสไปคล้ายจะลื่นไถล เขาถูกกลิ่นหอมนั้นทำให้ตื่นตะลึงซ้ำยังคล้ายถูกกลิ่นหอมนั้นซึมแทรกสู่จิตใจ กลายเป็นอารมณ์ซับซ้อนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกช่วงหนึ่งขวางกั้นตรงหน้าอก
จิ่งเหิงปัวคันยิบเล็กน้อยอยากหัวเราะ ทั้งเกิดความสงสารแผ่วบางในทันที…เขาในตอนนี้ไกลห่างจากความเด็ดเดี่ยวเยือกเย็นในเวลาปกติ กิริยาท่าทางวางแผนตั้งแต่ในกระโจม โง่ไปนิดเขลาไปหน่อยคล้ายผู้อ่อนวัยยังไม่เป็นผู้ใหญ่ที่โง่เขลาแต่แรกเริ่ม
กาลเวลายี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาของเขาย่อมต้องสงบเงียบไร้เทียบเทียมดุจน้ำแข็งผนึกธารสวรรค์ มิเคยถูกเรื่องราวแสงสีทางโลกยับย่นรอยจีบสักรอยเดียว
นางคล้ายจะไม่ต้องกังวลว่าความบริสุทธิ์จะถูกรุกรานหรือไม่ แต่ต้องกังวลว่าเขาจะทับนางจนหายใจลำบากตั้งแต่ต้นจนจบเพราะไม่รู้ว่าควรจะจูบสตรีอย่างไร
ริมฝีปากของเขาดุจกำลังไล่ล่าทั้งดั่งกำลังตามหา ลังเลไปครู่ใหญ่ พริบตาต่อมาจึงทอดลงบนหน้าผากของนาง นางอดจะอยากหัวเราะอีกครั้งไม่ได้…คนเย็นชาพอน่ารักขึ้นมาพาให้คนไร้เรี่ยวแรงต่อต้านเสียจริง ดูสิเขาหาที่ซึ่งควรจรดริมฝีปากลงไปไม่พบ
ผิวกายของเขาอ่อนนุ่มเย็นสบายปานหยกเย็น เป็นความเย็นสดชื่นที่พาให้คนอยากเข้าใกล้ ริมฝีปากกลับคล้ายกำลังสั่นสะท้านแผ่วเบา หยุดลงตรงหน้าผากอ่อนนุ่มเงาวาวหนาวเหน็บเพียงน้อยเช่นกันของนาง ขนตาหนาแน่นของนางสะบัดต้องใบหน้าของเขาอย่างไร้เดียงสา กวาดทีละครั้งละครั้งคล้ายจะกวาดจิตใจซับซ้อนยากจะควบคุมทุกสิ่งในชีวิตนี้เข้าไปในทุกซอกมุมของจิตใจ ซ้ำยังคล้ายจะยั่วเย้าอารมณ์ที่ฝุ่นขึ้นจับจนทะลักล้นลายคลื่นแจ่มแจ้งออกมาเป็นระลอก
นางคล้ายสั่นสะท้านน้อยๆ เช่นกัน ถูกลมหายใจสะกดผู้คนของเขาแผ่คลุมคล้ายถูกกักขังในแดนฝันอันอ่อนโยน อ่อนเปลี้ยเพลียแรงหวังเพียงเคลิบเคลิ้ม อดไม่ได้ที่จะอยากเหนี่ยวรั้งลมหายใจแบบนี้ไว้นานขึ้นสักหน่อย ให้นานขึ้นอีกสักหน่อย แขนสองข้างยกขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวหวังจะโอบกอดเขา รู้สึกได้ทันทีว่าแขนทั้งสองข้างของเขายังคงทอดวางแข็งทื่ออยู่ข้างกาย อดจะหัวเราะในก้นบึ้งของหัวใจอีกครั้งหนึ่งไม่ได้ นิ้วยกขึ้นมาสัมผัสหลังมือเขาอย่างแผ่วเบา
สัมผัสความเย็นยะเยือก!
ซ้ำยังคล้ายมีวัตถุอะไรสักอย่างแหลกละเอียดที่ปลายนิ้วรำไร!
นางเบิกตากว้างทันที!
ชั่วพริบตานี้เขาหยุดลงโดยพลันเช่นกัน นางรู้สึกถึงร่างกายยากจะควบคุมของเขาสั่นสะท้านแผ่วเบาเพียงน้อย จากนั้นริมฝีปากของเขาขยับลงไปทางด้านล่างอย่างรวดเร็วคล้ายว่าในที่สุดเข้าใจว่าต้องตามหาริมฝีปากของนางให้พบ ทว่าไม่ได้รอให้เขามาถึงจุดหมายและไม่ได้รอให้นางคิดว่าจะโต้ตอบอย่างไร ร่างกายของเขาแข็งทื่อไปโดยพลัน กายท่อนบนแหงนขึ้น
“พรวด”
ของเหลวร้อนผ่าวอึกหนึ่งพุ่งมาข้างลำคอของนาง จิ่งเหิงปัวมองเห็นสีแดงสดเข้มข้นผืนหนึ่งนั้นใต้แสงโคมมืดสลัวทันที!
กระเซ็นว่อนดุจดอกอิงฮวาโลหิตทิ่มแทงสายตาของนาง
พอเลือดอึกหนึ่งพุ่งออกมา เรือนร่างของกงอิ้นอ่อนยวบล้มลงไปอีกด้านหนึ่งโดยพลัน จิ่งเหิงปัวลุกพรวดพราดขึ้นมานั่ง แวบหนึ่งมองเห็นผลึกน้ำแข็งละเอียดเกลื่อนพื้น
คือสิ่งที่นางสัมผัสโดนบนมือของเขาเมื่อครู่นี้เอง จากสิ่งที่นางสัมผัสโดนปรากฏจากปลายนิ้วของเขา ลุกลามรวดเร็วกระจายเต็มแขนครึ่งท่อน ตอนนี้แหลกละเอียดเกลื่อนพื้น!
ในอากาศอบอุ่นผลึกน้ำแข็งละลายรวดเร็วซึมแทรกสู่โลหิตทั่วพื้น สีสันของพรมดอกโบตั๋นบนพื้นยิ่งสดสว่าง
สมองของจิ่งเหิงปัวว่างเปล่าไปหมด ถึงอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าจะพานพบสถานการณ์แบบนี้ นี่กงอิ้นเป็นอะไรไป?
หลังชะงักไปเนิ่นนานนางกระโดดพรวดขึ้นมารีบเร่งไปประคองกงอิ้น ผ้าเช็ดหน้าร่วงพื้นถูกโลหิตเปรอะเปื้อนสูญเสียประสิทธิผล นางลืมไปเสียแล้ว
กงอิ้นไม่ได้หมดสติไปเพียงสีหน้าขาวซีดขาวโพลนดุจหิมะบนยอดเขา แม้แต่สีริมฝีปากยังมองไม่เห็นสีเลือดสักสาย เขาหลบหลีกมือที่ยื่นมาประคองของจิ่งเหิงปัว ตนเองลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ ยื่นมือชี้ไปด้านนอกก่อนจะหลับตาลง
นี่คือการบอกใบ้ให้นางรีบเร่งไปให้พ้นด้วยตนเอง
ขณะนี้จิ่งเหิงปัวถึงจะเชิญให้นางไปนางก็ไม่ไปแล้ว ไม่มองสัญญาณมือของมหาเทพแม้แต่น้อย วิ่งไปยังข้างประตูเสียก่อน แน่ใจว่าสี่ด้านไร้ผู้คนจึงรีบปิดประตูแน่นหนักลง
จากนั้นนางมองดูสีหน้าของกงอิ้นแทบจะไม่ดีขึ้น คิดอยู่ว่าต้องไปหายาหรือไม่ ด้านในหอของกษัตริย์เทียนหนานมีห้องรับรอง แต่ว่าตอนนี้ไปได้เหรอ? นางกับเหยียลี่ว์ฉีกำลังวุ่นวายกับการทำเรื่องดีอยู่นะ อีกอย่างนางและเหยียลี่ว์ฉีก็ไม่ได้มีเจตนาดีต่อกงอิ้น รู้ว่าเขามีปัญหายังจะไม่ลงมือเหรอ?
ยังไม่ทันได้คิดให้ชัดเจน พอหันหน้ากลับไป นาง “อ๊ะ” สั้นๆ เสียงหนึ่ง พบอย่างตกตะลึงว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ผิวกายทั้งหมดที่ปรากฏออกมาให้เห็นบนร่างกายของกงอิ้นล้วนแผ่คลุมด้วยผลึกน้ำแข็งบางๆ ชั้นหนึ่ง เขากลายเป็นมนุษย์น้ำแข็งตนหนึ่งระหว่างชั่วประเดี๋ยวเดียว
น้ำแข็งและหิมะแผ่เคลือบจนสิ้น ขณะนี้เขางดงามจนหนาวเหน็บ
นี่มันท่าทางอะไรเนี่ย อาการกำเริบหรือว่ารักษาอาการบาดเจ็บกันแน่
จิ่งเหิงปัวนั่งยองเบื้องหน้ามนุษย์น้ำแข็งอิ้นหวังศึกษาโดยละเอียดสักหน่อย น้ำแข็งในดวงตาค่อยๆ แผ่ขยายผ่านผิวกายทั้งหมดของเขา ตอนกำลังหนามากยิ่งขึ้นจนจะแช่แข็งเขาทั้งร่างก็หยุดลงโดยพลัน จากนั้นมีหมอกเจือจางลอยขึ้นมา น้ำแข็งนั้นเริ่มละลายด้วยความเร็วเชื่องช้าที่สุด
จิ่งเหิงปัวคล้ายเข้าใจขึ้นมา ดูท่าทางกงอิ้นกำลังรักษาอาการบาดเจ็บ เมื่อน้ำแข็งละลายคือตอนที่ฟื้นฟูพละกำลังการเคลื่อนไหวเสร็จสิ้น
ปัญญาหิมะเป็นวรยุทธ์อย่างไรกันแน่? ทำไมถึงแปลกประหลาดขนาดนี้?
จิ่งเหิงปัวคำนวณความเร็วที่น้ำแข็งละลายแล้ว อย่างน้อยที่สุดยังต้องการชั่วยามหนึ่งกงอิ้นจึงจะฟื้นฟูสมบูรณ์
หนึ่งชั่วยามนี้จะผ่านไปอย่างไร
จิ่งเหิงปัวทุบอก…ทำกรรมไว้ย่อมหนีไม่พ้น!
…
ภายในห้องด้านใน แขนสองข้างของกษัตริย์เทียนหนานเกี่ยวพันเหยียลี่ว์ฉีไว้อย่างแนบแน่นดุจอสรพิษ
เสื้อของทั้งสองคนปลดลงมาครึ่งหนึ่งแล้วมิรู้ตั้งแต่ยามใด สาบเสื้อที่โปรยลงมาห้อยลงบนเตียงนุ่ม
“เหยียลี่ว์…คนดีของข้า…”กษัตริย์เทียนหนานหวนรำลึกถึงมุมที่ยามจิ่งเหิงปัวใช้มองผู้อื่น ซบอยู่ที่ไหล่ของเขาอย่างน่ารักใคร่ ลมหายใจหอมกรุ่นดุจกล้วยไม้พัดผ่านใบหูของเขาเอ่ยว่า “…ค่ำคืนนี้…ค่ำคืนนี้พวกเราอยู่ด้วยกันดีหรือไม่…”
“ดี…” เหยียลี่ว์ฉีอมยิ้มก้มลงมองนาง โอบเอวของนางไว้ผลักนางล้มลงไป เอ่ยว่า “…เช่นนั้นข้าไปอาบน้ำเสียก่อน…”
“ไม่ต้องแล้ว…”กษัตริย์เทียนหนานยื่นแขนจับเขาที่กำลังจะขยับกายลุกขึ้นไว้อย่างรวดเร็ว ลากเขาไปที่เตียงทีละน้อย เอ่ยว่า “อย่าทำให้หมดสนุกสิ ข้าไม่รังเกียจเจ้าหรอก…ยามนี้…ยามนี้พวกเราก็…”
นิ้วหมุนวนแผ่วเบาหลายครั้งคล้ายมิได้ตั้งใจ กระดุมบนสาบหน้าของเหยียลี่ว์ฉีปลดออกอย่างเงียบเชียบ
ลมหายใจของกษัตริย์เทียนหนานยิ่งถี่กระชั้น หลังเท้าโค้งขึ้นมาถูไถเอ็นร้อยหวายของเขา แขนรัดเขาไว้แผ่วเบาแนบแน่นประดุจเถาวัลย์
มือของนางยื่นไปใต้ผ้าห่ม ‘ผ้าปิดปาก’ กลางฝ่ามือตั้งท่ารอคอย เพียงแต่ประจันหน้าเหยียลี่ว์ฉีตลอดเวลาไม่มีหนทางแปะให้เขา นางเองไม่ยอมแปะไว้บนหมอน กลัวกระทบกับประสิทธิผล
“ย่อมได้…” เหยียลี่ว์ฉีหัวเราะแผ่วเบา โอบนางไว้อย่างอ่อนโยน เรือนร่างโน้มลงมาอย่างแช่มช้า
กษัตริย์เทียนหนานจิตใจเบิกบาน
วันนี้เขาให้ความร่วมมือเช่นนี้ ดูท่าคงหวั่นไหวจริงแล้ว อาจไม่ต้องการสรรพคุณของผ้าปิดปาก ยังกลายเป็นน้ำมาคลองเกิด[1]ได้
นางกระหวัดริมฝีปากแดงฉ่ำดุจบุหงาลาวัณย์เงยรับขึ้นมาอย่างเร่าร้อน
ริมฝีปากกำลังจะสัมผัสกัน
เหยียลี่ว์ฉีชะงักไปโดยพลัน จากนั้นเงยหน้าเอ่ยว่า “เหตุใดจึงหนาวขึ้นมาโดยพลัน?”
ยามนี้ทั่วร่างของกษัตริย์เทียนหนานกำลังร้อนผ่าวดุจเพลิงลามลุก ฟังแล้วย่อมรู้สึกว่าเขาแก้ตัว สายตาเย็นชาขึ้นมาเล็กน้อย เอ่ยว่า “ที่แห่งนี้ทั้งสี่ฤฤดูดุจวสันต์ หนาวตรงไหนหรือ?”
สีหน้าของเหยียลี่ว์ฉีกลับจริงจังหนักแน่นยิ่งนัก เงยหน้าจ้องมองม่านกระโจมหลายชั้นที่ขวางกั้นด้านนอก พลันเอ่ยว่า ‘มีหมอก’
กษัตริย์เทียนหนานเอ่ยอย่างรำคาญว่า “หมอกยามค่ำคืนเท่านั้น! พวกเรารีบนอนกันเถิด!” ยื่นขาเพียงครั้งเกี่ยวเหยียลี่ว์ฉีมาเบื้องหน้าตนเอง
เหยียลี่ว์ฉีดันแขนสองข้างไว้ก้มหน้ามองนาง ยิ้มแย้มเอ่ยว่า “ข้านี้มิใช่ห่วงใยท่านหรอกหรือ? ท่านถอนองครักษ์แลบริวารไปจนสิ้นแล้ว ความปลอดภัยของท่านย่อมต้องควรให้ข้าเป็นกังวล ท่านดูหมอกยามค่ำคืนนี้สิ มีไอน้ำค้างแข็ง แลชัดเจนว่าผิดปกติ”
กษัตริย์เทียนหนานได้ยินเขาเอ่ยอย่างระแวดระวัง หันกายท่อนบนอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ มองอยู่เนิ่นนานถึงมองเห็นว่าระหว่างม่านกระโจมสีแดงเข้มมีหมอกสีขาวเจือจางกลุ่มหนึ่งซึมแทรกเข้ามาพร้อมมีไอหนาวจู่โจมมารำไร
“ข้างนอกอาจจะมีลมพัดกระมัง…” นางเอ่ยอย่างเกียจคร้าน ยื่นแขนไปโอบลำคอของเขา
“มิคล้าย…ข้าต้องไปดูสักหน่อย ประเดี๋ยวจะมา” เหยียลี่ว์ฉีก้มหน้าสัมผัสลำคอของนางอย่างแผ่วเบา หัวเราะเสียงเบาเอ่ยว่า “อย่าใจร้อนสิโฉมงามของข้า รอข้านะ…”
เขาดึงมือของกษัตริย์เทียนหนานออกอย่างอ่อนโยนทว่าเด็ดเดี่ยว ลุกขึ้นลงจากเตียง กษัตริย์เทียนหนานลุกขึ้นอย่างไม่เต็มใจ หันหน้าจับจ้องเงาด้านหลังที่เด็ดเดี่ยวของเขา กำหมัดขยี้เตียงนุ่มเพียงครั้งอย่างรุนแรง
จิตใจของเหยียลี่ว์ฉีกลับอยู่ที่ไอน้ำค้างแข็งกลุ่มหนึ่งนั้น เลิกม่านกระโจมออกมองไปข้างนอกปราดหนึ่ง ในแววตาปรากฏรอยยิ้มโดยพลัน
นึกไม่ถึงเลย…จริงๆ …
“ฉี…” กษัตริย์เทียนหนานข้างหลังกำลังพร่ำเพรียกเรียกหาเอ่ยว่า “ไม่มีอะไรกระมัง รีบกลับมา…”
“อ้อ คล้ายจะไม่ปกติเท่าไร” เขาหันหลังยิ้มให้นางอย่างอ่อนโยนเพียงครั้ง เอ่ยว่า “ข้าไปดูสักหน่อย คงมิอาจให้มือสังหารรบกวนท่าน”
สายตาของกษัตริย์เทียนหนานทอดลงบนคอเสื้อของเขา กระดุมหลายเม็ดของเขาที่ถูกนางแกะออกล้วนกลัดไว้อีกครั้งมิรู้ตั้งแต่ยามใด!
กษัตริย์เทียนหนานอยากจะขยี้หมัดหนึ่งนี้บนศีรษะของเขาอีกครั้งยิ่งนัก หรือดึงกระดุมพวกนั้นลงมาจนสิ้นในคราเดียว
ให้เขากลัดกระดุม! ให้เขาเสแสร้ง! ให้เขาหลอกลวง!
เหยียลี่ว์ฉีสืบเท้าแผ่วเบาหวังออกไปข้างนอก
…
ตอนนี้จิ่งเหิงปัวฟังความเคลื่อนไหวด้านในอยู่ ไม่รู้ว่าทำไม นางรู้สึกเพียงว่าไม่วางใจ
ตามความเข้าใจที่นางมีต่อเหยียลี่ว์ฉี ต่อให้มีผ้าเช็ดหน้าฉี่เฟยเฟย ระดับสติปัญญาอย่างกษัตริย์เทียนหนานนั้นก็ไม่แน่ว่าจะสามารถจัดการเขาได้อยู่หมัด
แต่นางก็ไม่กล้าขยับเขยื้อนกงอิ้น กลัวจะทำให้องครักษ์ข้างนอกตื่นตกใจ และไม่กล้าคิดติดต่อองครักษ์ของกงอิ้น อีกทั้งนางไม่รู้วิธีที่กงอิ้นติดต่อองครักษ์
ในหูได้ยินความเคลื่อนไหวละเอียดเลือนราง คล้ายว่าด้านในมีเสียงคนแผ่วเบา
จิ่งเหิงปัวมองไปรอบด้าน ฉวยมือคว้าแจกันเคลือบใบหนึ่งขึ้นมาไว้ในมือ เดินไปยังปากประตูด้านในอย่างเงียบเชียบ
ทั้งด้านในด้านนอกของหอจุ้ยหนีไม่มีฉากกั้นห้อง มีเพียงม่านกระโจมหนาหนักหลายชั้น คนเดินเข้าไปไร้เสียงโดยสิ้นเชิง
จิ่งเหิงปัวถือแจกันตั้งท่ารอคอย ในขณะเดียวกันจ้องเล็งบอนไซกระถางหนึ่งบนชั้นวางข้างม่านกระโจม
ในห้องมืดสลัว บรรยากาศผนึกแน่นแลสงบเงียบ วัตถุแผ่คลุมอยู่ในแสงเงามืดครึ้ม สรรพเสียงอู้อี้ในม่านกระโจมหนาดั่งเสียงสะท้อนมาจากที่ห่างไกล มีเพียงลมหายใจดุจน้ำค้างแข็งเบาบางกลุ่มหนึ่งซึ่งลอยล่องออกมาจากร่างกายของกงอิ้น พัดผ่านเข้ามาภายในอย่างไร้รูปร่าง
ม่านกระโจมสั่นไหวโดยพลัน
นิ้วมือนิ้วหนึ่งยื่นออกมา
จิ่งเหิงปัวกลั้นลมหายใจ ยกแจกันขึ้นสูง…
[1] น้ำมาคลองเกิด หมายถึง เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ความสำเร็จย่อมตามมา