“เข้ามาได้”
เสียงอันหนักแน่นของพระราชาดังผ่าอากาศที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดและลำบากแม้กระทั่งการหายใจ
“หากองค์รัชทายาทอีฮอนสูญเสียความแข็งแรงของพระวรกายจนยากที่จะปฏิบัติหน้าที่อันสำคัญยิ่งเพื่อสืบทอดราชบัลลังก์ จะต้องถูกปลดให้เป็นองค์ชายและแต่งตั้งให้เป็นจูชินวัง”
ลายมือของตนเองที่ถูกบันทึกลงบนกระดาษม้วนสีแดงดูไม่คุ้นตา พระราชาหยุดพูดสักพักแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ
“และแต่งตั้งองค์ชายสอง อีชานให้เป็นองค์รัชทายาท รวมถึงยกเลิกสมญา มูยองวัง ซึ่งจะต้องตระเตรียมพิธีอภิเษกโดยเร็วที่สุด แต่เนื่องจากในตอนนี้ราชวงศ์กำลังวุ่นวายเป็นอย่างมาก ให้ตัดทอนพิธีการและขั้นตอนให้ได้มากที่สุด รวมถึงเลื่อนตำแหน่งพระสนมเอกมุนผู้เป็นผู้ให้กำเนิดขึ้นไปหนึ่งขั้น และแต่งตั้งให้เป็นฮวังควีบี[1]”
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะ!”
องค์รัชทายาทถูกเปลี่ยน เจ้ากรมการคลัง จอนจูฮโยพยายามควมคุมริมฝีปากที่ยกขึ้นกระตุกยิกๆ และนึกชมตัวเองที่ไปยืนอยู่ฝั่งพระสนมเอกมุนอย่างว่องไว
ที่กลายเป็นเช่นนี้ได้คงต้องขอบคุณสวรรค์ที่คอยช่วยเหลือ หากปราศจากเงินทองของพระพันปีที่มอบให้เพื่อช่วยเหลือประชาชน เขาก็คงจะไม่เหลือหนทางในการตระเตรียมทรัพย์สินที่จะมอบให้พระสนมเอกมุน และคงจะจมอยู่ในกองเอกสารในฐานะเจ้ากรมการคลังไปตลอดกาลจนแก่เฒ่า
ทว่าถ้าหากองค์ชายสองได้ขึ้นครองราชบัลลังก์ล่ะก็ ตนก็จะได้ตำแหน่งมหาเสนาบดีที่พระสนมเอกมุนเคยสัญญาไว้อย่างแน่นอน รวมถึงยังสามารถยกบุตรสาวที่มีอายุเพียงสิบสี่ปีให้ได้นั่งในตำแหน่งพระมเหสีได้อีกด้วย ในตอนนี้เพียงแค่คำพูดคำเดียว ตำแหน่งมหาเสนาบดีซึ่งมีอำนาจสูงสุดในการเคลื่อนไหวแม้กระทั่งพระราชานั้นก็จะอยู่ใกล้แค่เอื้อม
“ยินดีด้วย ท่านและองค์รัชทายาทจะเป็นความผาสุกของประเทศนี้”
พระมเหสีที่ได้รับราชโองการกล่าวอวยพรด้วยความมีน้ำใจแต่น้ำเสียงนั้นกลับสั่นเครือเล็กน้อย พระสนมเอกมุนที่หมอบคำนับอยู่ตรงหน้าเพื่อรับตำแหน่งใหม่ดูสงบนิ่ง แต่แววตาของนางกำลังหัวเราะอยู่อย่างแน่นอน วังซูอันมีขนาดเล็กและอยู่ในหลืบเกินกว่าที่จะเป็นวังของสนมที่ให้กำเนิดองค์ชาย หลังจากได้ใช้ชีวิตอยู่ภายในนั้นอย่างเงียบๆ มาเกินกว่าสิบปี ในที่สุดสถานการณ์ก็พลิกผัน
ตอนนี้ไม่มีองค์ชายที่จะมาแทนชานแล้ว ชานซึ่งนั่งตำแหน่งองค์รัชทายาทอย่างมั่นคงปราศจากการสั่นคลอนจะได้สืบทอดราชบัลลังก์ไม่ว่าพระมเหสีจะพูดอะไรก็ตาม และในตอนนั้นพระมเหสีก็จะเป็นพระพันปีเพียงแค่ในนามและกลายเป็นหญิงชราในห้องด้านหลังที่มีไว้เพื่อประดับสวนหลังบ้านเท่านั้น เป็นครั้งแรกที่ใบหน้าของพระมเหสีซึ่งดูน่าสะอิดสะเอียนตลอดเวลาน่ามองถึงเพียงนี้
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณเพคะ หม่อมฉันจะพยายามช่วยเหลือพระมเหสีเพื่อทำให้หมู่นางในมีความมั่นคงเพคะ”
กล่องที่บรรจุเพชรพลอยสมกับยศตำแหน่งและกระดาษม้วนที่บันทึกการแต่งตั้งถูกส่งมอบจากมือของพระมเหสีไปยังมือของฮวังควีบี ฮวังควีบีรับสิ่งนั้นด้วยท่าทางสง่างามก่อนจะโค้งคำนับอีกครั้งและหันหลังกลับไป พระมเหสีที่มองดูด้านหลังของนางค่อยๆ หลับตาลงอย่างช้าๆ จากนั้นสักพักจึงลืมตาขึ้นมาใหม่
“พระมเหสี ตรงนี้ลมแรงนะเพคะ ทรงเสด็จเข้าด้านในเถิดเพคะ”
“นั่นสินะ”
พระมเหสีกำลังจะก้าวเท้าตรงไปยังตำหนักในที่อยู่ลึกที่สุด แต่แล้วจู่ๆ ก็หันไปมองด้านหลัง ซังกุงและนางในทั้งหลายที่ตามอยู่ด้านหลังจึงหยุดชะงักและก้มศีรษะลง
“ข้าอยากอยู่คนเดียวสักพัก ให้ทุกคนถอยไปอยู่ห่างๆ ก่อน”
“เพคะ พระมเหสี”
พระมเหสีให้ทุกคนถอยไปอยู่ห่างๆ ก่อนจะเดินตรงไปยังตำหนักในหลังจากตรวจสอบแล้วว่าทุกคนยืนอยู่ตรงปลายสุดของโถงทางเดิน ห้องที่มีความหรูหราและสง่างามซึ่งปรากฏอยู่ด้านหลังของประตูสามชั้นคือทุกสิ่งทุกอย่างที่นางสั่งสมมาจนถึงตอนนี้ กรอด เสียงขบฟันดังไปทั่วห้อง
“นังน่าสมเพช นังสนมชั้นต่ำที่หมอบกราบเหมือนกับหมา…”
หาความสง่างามหรือความมีเกียรติไม่เจอเลยจากท่าทางของนางที่บ่นพึมพำราวกับคนเสียสติ พระมเหสีลากตู้ที่ประดับด้วยมุกสีสันงดงามออกมา ด้านล่างนั้นคือพื้นห้องที่ไม่มีอะไรพิเศษ แต่เมื่อกดพื้นตรงนั้นแล้วหงายขึ้น พื้นที่ว่างก็จะปรากฏออกมา สิ่งที่ซ่อนไว้ข้างในนั้นคือถุงที่มีขนาดเล็กจิ๋ว มันคือถุงผ้าไหมสีดำไร้ลวดลายถุงหนึ่ง
พระมเหสีเผยสีหน้าที่ดูบ้าคลั่งจนน่าขนลุกออกมาบนใบหน้าที่มีความรักและความเมตตาอยู่เสมอพร้อมกับพลิกกลับด้านถุงนั้นบนฝ่ามือ ขวดขนาดเล็กกว่านิ้วหัวแม่มือขวดหนึ่งถูกผนึกไว้อย่างแน่นหนาและส่องประกายเลือนรางบนฝ่ามือขาว
แน่นอนว่าทรัพย์สมบัตินั้นเป็นของครอบครัวที่รวบรวมมาได้ แต่ปลาใต้น้ำสองขวดที่หามาได้นั้นได้มาจากการดึงทรัพย์สินของวังจานยองมาใช้ ขวดหนึ่งได้มอบให้พระสนมเอกมุนไปแล้ว ส่วนอีกขวดเก็บสำรองไว้เผื่อใช้และซุกซ่อนไว้ในที่ที่ไม่มีใครรู้
“ไม่ต้องห่วงนะ แม่คนนี้จะล้างแค้นให้เอง”
เสียงของพระมเหสีที่พูดพึมพำเบาๆ นุ่มนวลราวกับวันฤดูใบไม้ผลิ หนึ่งขวด คือปริมาณที่เพียงพอในการตัดสายสัมพันธ์ที่เลวร้ายอันยาวนาน นางใช้ปลายนิ้วลูบยาพิษด้วยความรักใคร่
* * *
“ฝ่าบาท?”
รยูฮาที่นอนฟุบอยู่ข้างๆ ฮอนสะดุ้งตื่นขึ้นมา สัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่เหมือนกับการเคลื่อนไหว แต่นางกลับเข้าใจผิด แสงแดดสว่างที่สาดส่องรางๆ บนใบหน้าของฮอนที่ยังคงหลับตาสนิทบอกให้รู้ว่าเป็นเวลาเช้าแล้ว รยูฮาใช้นิ้วคว้าแสงนั้นราวกับเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก ก่อนจะลดมือลงไปลูบใบหน้าของฮอน
“พระชายา สำรับเช้าเพคะ”
“เข้ามาสิ”
เหล่านางในของวังจงซูเรียงแถวถือสำรับอาหารเข้ามาทางประตูที่ถูกเปิดออกอย่างเบาๆ มินอาที่เข้ามาเป็นคนสุดท้ายมองดูสำรับอาหารที่ถูกวางลงบนโต๊ะเสวยอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ถือจานใบเล็กพร้อมกับช้อนตะเกียบขึ้นมาและหยิบไปอย่างละชิ้นอย่างสุขุม
“เสวยได้เลยเพคะ”
“เจ้ากินอีกนิดสิ”
รยูฮาบังคับมินอาที่ส่ายหัวและกำลังจะลุกออกไปให้นั่งลง คีบเนื้อมาหนึ่งชิ้นและยัดมันใส่ปากของมินอา เพราะถ้าไม่ให้กินตอนนี้ก็จะต้องอดไปจนถึงมื้อกลางวันอีก รยูฮาคีบเครื่องเคียงผักขึ้นมาเพื่อที่จะป้อนให้มินอาอีก แต่แล้วก็หยุดชะงักไป มีหยดน้ำค้างคลออยู่บนหางตาของมินอาที่กำลังเคี้ยวเนื้อที่ป้อนให้อย่างฝืนใจอยู่แน่นอน
“ร้องไห้ทำไม”
ขออภัยเพคะ มินอากลืนคำขอโทษลงไปแล้วพิงศีรษะลงบนไหล่ของรยูฮา เพราะรู้ว่าตราบใดที่ตนเองปิดปากสนิท รยูฮาก็จะไม่ถามอะไรต่อจึงสามารถสัมผัสไออุ่นแบบนี้ไปได้อีกสักพัก มินอาหลับตาลงและพิงอยู่อย่างนั้นสักพักก่อนจะลุกหายไปโดยไม่ร่ำลา รยูฮาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่และกินอาหารที่ไม่ได้อยากจนหมด
โดยปกติแล้วพระมเหสีจะมาหาในเวลาประมาณนี้ แต่ดูเหมือนว่านางจะไม่มาอีกแล้ว เนื่องจากหมดเหตุผลที่จะทำเช่นนั้น เพราะฮอนไม่ใช่องค์รัชทายาทที่จะทำให้นางได้เป็นพระพันปีอีกต่อไป แต่แบบนี้กลับดีกว่าเสียอีก เพราะสามารถใช้เวลาที่ไหลผ่านไปอย่างรวดเร็วด้วยกันเพียงแค่สองคนได้อย่างเต็มที่
“เอาออกไปได้”
“เพคะ พระชายาในองค์ชาย”
การที่รู้สึกไม่คุ้นเคยกับคำเรียกที่ว่า พระชายาในองค์ชาย นั่นแสดงว่าคุ้นชินกับตำแหน่งพระชายาในองค์รัชทายาทเป็นอย่างมากแล้ว เสียงของเสด็จย่าที่เคยเรียกว่า พระชายาของพวกเรา ยังคงดังก้องอยู่ในหู ได้ยินมาว่าท่านประชวร เห็นทีควรจะต้องไปเยี่ยมสักหน่อย แต่แล้วเบื้องหน้าของรยูฮาที่ครุ่นคิดพร้อมกับลุกขึ้นจากที่นั่งหมุนติ้วและล้มลงไปกับพื้นในชั่วพริบตา
“กรี๊ด!”
“พระชายา!”
สติดับลงราวกับแสงเทียนท่ามกล่างเสียงร้องของเหล่านางในและเสียงของมินอาที่ร้องหาหมอหลวงอย่างรีบร้อน มินอาให้รยูฮานอนลงบนเตียงนอนขนาดเล็กที่นางเป็นคนใช้และห่มผ้าให้แทนที่จะย้ายไปห้องอื่น
“ไหนๆ ก็เป็นลมแล้ว ทรงพักสักหน่อยเถอะเพคะ หม่อมฉันจะอยู่ข้างๆ เพคะ”
อีกด้านหนึ่ง ชานที่ได้ยินข่าวว่ารยูฮาเป็นลมจึงลุกพรวดขึ้นและมุ่งตรงไปยังวังจงซู ประตูหน้าที่ถูกลงกลอนอย่างแน่นหนาทำให้ชานไม่สามารถเปิดเข้าไปได้ แต่นับตั้งแต่วันนี้มันจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะวังนี้คือวังของชาน แม้ว่าจะยังไม่ได้จัดพิธีอภิเษกก็ตาม ถ้าเจ้าของบอกว่าจะเข้า แล้วใครกันเล่าจะมาห้ามได้
“เปิด”
เสียงทุ้มต่ำทำให้เหล่าทหารที่ยืนล้อมประตูเป็นชั้นๆ ถอยออกไปด้านข้าง ประตูที่ดูเหมือนจะไม่มีวันเปิดออกส่งเสียงดังออกมาพร้อมกับถูกเปิดออกไปทั้งสองข้าง ชานเข้าไปด้านในโดยไม่ลังเลและเดินไปตามโถงทางเดินผ่านห้องมากมาย ต่อมาเท้าของเขาก็มาหยุดอยู่ตรงประตูห้องที่มินอาเฝ้าอยู่
“พระชายาล่ะ”
“ประทับอยู่ด้านในเพคะ”
“เปิดประตูสิ”
“บรรทมอยู่เพคะ ทรงต้องพักผ่อนเพคะ”
คนที่ใจหายใจคว่ำกับท่าทางของมินอาที่ประจันหน้ากับองค์รัชทายาทโดยไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียวคือพวกนางในคนอื่นๆ ที่ยืนห้อมล้อมอยู่ ถ้าถูกโบยจะทำอย่างไรเล่า มินอาที่ไม่กินไม่นอนและเอาแต่เฝ้าอยู่หน้าห้องเหมือนกับรูปปั้นหินจนไม่อยากจะเชื่อว่านางเป็นผู้หญิง ไม่สิ ไม่อยากจะเชื่อเลยด้วยซ้ำว่านางคือมนุษย์นั้นไม่สะทกสะท้านและตกเป็นเป้าของของความเกรงกลัว ชานสัมผัสได้ถึงบรรยากาศนั้น จึงขำพรืดออกมาพร้อมกับก้มศีรษะมองเข้าไปในดวงตาของนาง
“เพราะว่าเจ้าอยู่ข้างนอกแล้วก็คงจะไม่เป็นไร ถ้าอย่างนั้นวันนี้ข้าขอตัวก่อน ตอนเย็นมาที่ตำหนักของข้าด้วย”
เสียงของชานแม้จะแผ่วเบาแต่ก็ชัดเจนพอที่จะทำให้ทุกคนได้ยิน ทั้งเหล่านางในแห่งวังจงซูที่ชอบพูดซุบซิบนินทา รวมถึงเหล่านางในแห่งวังซึงกอนที่รู้เรื่องราวความสัมพันธ์ของรยูฮากับมินอาเป็นอย่างดีต่างได้ยินกันหมด
[1] ฮวังควีบี หนึ่งในตำแหน่งสนมของพระราชาในสมัยโครยอและสมัยโชซอน