บทที่ 54 โทสะของพระชายา โดย Ink Stone_Romance
ซั่งกวนเยี่ยนออกจากจวนสกุลเซียวเมื่อยามซื่อ (09.00 – 10.59น.) ชั่วยามนี้จะว่าเช้าก็ไม่เช้า จะว่าสายก็ไม่สาย หากไปรับเด็กทั้งสามได้อย่างราบรื่น กลับมาจวนสกุลเซียวก็ยังทานอาหารเที่ยงได้ทัน
รถม้าหรูหราที่แทบจะเทียมทัดกับรถนกเฟิงหวง[1]ได้เคลื่อนผ่านตลาดไป
“ซั่งกวนเยี่ยนอีกแล้ว!”
“แต่ละครั้งทำตัวเหมือนเป็นพระชายาตลอด กลัวคนจะไม่รู้รึว่านางมาแล้ว!”
“หากข้าเป็นนาง คงจะหาหลุมซ่อนตัว ไม่ออกไปไหนทั้งนั้นแล้ว!”
“ใช่แล้ว นางยังมีหน้าออกมา…”
คำวิพากษ์วิจารณ์เช่นนี้ซั่งกวนเยี่ยนได้ยินมาสิบยี่สิบปี ได้ยินบ่อยจนใบหูจะเป็นรังไหมแล้ว สาวใช้คนใหม่ที่อยู่ด้านข้างสีหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีด ซั่งกวนเยี่ยนกลับไม่เหลือบตามองเลยแม้แต่น้อย ทำเพียงเป่าเล็บที่เพิ่งตัดออกเบาๆ
เพราะใกล้จะได้พบหน้าพวกเจ้าตัวน้อยแล้ว ซั่งกวนเยี่ยนอารมณ์ดีไม่หยอก นางจึงเลิกม่านขึ้นมองดูด้านนอก
ทันทีที่ผ้าม่านถูกเลิกขึ้น รถม้าก็หยุดลง
ผู้คนต่างตกใจเพราะรถม้าที่หยุดอยู่ข้างกายกะทันหันกันยกใหญ่
ใบหน้าสวยหยาดเยิ้มปรากฏออกมาจากหน้าต่างรถ ซั่งกวนเยี่ยนเผยรอยยิ้มให้ “พูดสิ เหตุใดไม่พูดแล้วเล่า?”
ผู้คนล้วนทยอยกันกลืนน้ำลาย มิรู้ว่าตกใจเพราะเด็กน้อยถูกจับตัวไปหรือหยุดหายใจเพราะใบหน้าสวยเย้ายวนนี้กันแน่
ซั่งกวนเยี่ยนมองสตรีสูงศักดิ์ที่แต่งกายหรูหราพลางเอ่ยว่า “เจ้าอัปลักษณ์เช่นนี้ยังกล้าออกมา ทำไมข้าจะไม่กล้าเล่า?”
สตรีสูงศักดิ์ที่ถูกด่าว่ายังมีหน้าออกมาจากบ้านโกรธจนหน้าหงายไปเสียแล้ว!
ซั่งกวนเยี่ยนมองสตรีที่แต่งหน้าหนาจนแทบฉาบกำแพงได้อีกผู้หนึ่ง “อีกอย่าง อะไรคือทำตัวเป็นเหมือนพระชายาเล่า? ก็ข้าเป็นพระชายานี่ ข้าเป็นทั้งฮูหยินเซียวและพระชายาเยี่ยน ทำไมเล่า? อิจฉารึ? เจ้ามีวาสนาเช่นนี้ไหมละ?”
“เจ้า…เจ้า…” สตรีนางนั้นโกรธจนสั่นไปทั้งตัว เครื่องประทินผิวก็ร่วงกราวลงมา “เจ้ามันหน้าไม่อาย!”
ซั่งกวนเยี่ยนเท้าคางพลางยิ้มเยาะ “หากต้องเป็นหน้าแก่ๆ เช่นเจ้า ข้าก็ยอมหน้าไม่อายต่อไปดีกว่า”
ในที่สุดสตรีที่อายุเท่ากับซั่งกวนเยี่ยนแต่กลับชราจนเป็นมารดาของนางได้ก็มีโทสะจนตาสองข้างเหลือกและหมดสติไป ณ ตรงนั้น
ด้วยเหตุนี้ ผู้คนจึงยิ่งมิชอบใจซั่งกวนเยี่ยนยิ่งกว่าเดิม
ทว่าซั่งกวนเยี่ยนกลับอารมณ์ดีนัก นางปล่อยผ้าม่านลงแล้วให้รถม้าเดินทางไปจวนคุณชายต่อ
………..
นางมาที่จวนคุณชายมิจำเป็นต้องให้คนไปรายงาน นางเดินไปยังเรือนของเยี่ยนจิ่วเฉาอย่างชำนาญทาง
เยี่ยนจิ่วเฉาบังเอิญเดินมาจากอีกทางจึงเจอนางเข้าพอดี
“จะไปไหนรึ?” นางถาม
ข้างกายเยี่ยนจิ่วเฉามีเพียงบ่าวระดับสองคนหนึ่งเท่านั้น และไม่เห็นลุงวั่น
บ่าวระดับสองทำความเคารพและหลีกไปอย่างรู้ความ
เยี่ยนจิ่วเฉามองนางเรียบๆ ปราดหนึ่ง ไม่ตอบคำถามของนางแต่ถามกลับแทน “ฮูหยินเซียวมาทำอะไร?”
ซั่งกวนเยี่ยนตอบกลับด้วยความเคยชิน “ย่อมไม่ใช่มาหาเจ้าอยู่แล้ว เด็กๆ เล่า?”
“เกี่ยวอะไรกับท่าน?” เขาไม่ถามแม้แต่น้อยว่านางรู้เรื่องที่เด็กน้อยทั้งสามเข้ามาอยู่ในจวนคุณชายแล้วได้อย่างไร
ซั่งกวนเยี่ยนเดินเข้าเรือนของเยี่ยนจิ่วเฉาอย่างสง่าผ่าเผย “ข้ามาวันนี้เพราะอยากจะบอกเจ้าเรื่องหนึ่ง ข้าจะพาเด็กๆ ไป จนกว่าจะถึงวันแต่งงาน พวกเขาจักต้องอยู่กับคุณหนูเหยียน หากเจ้าอยากอยู่ด้วยกันฉันท์พ่อลูก ก็รีบตบแต่งคุณหนูเหยียนเข้าบ้านเสีย”
เหยียนหรูอวี้เข้าใจซั่งกวนเยี่ยนผิดโดยสิ้นเชิง ซั่งกวนเยี่ยนมิเพียงช่วยแย่งเด็กๆ กลับมาให้นาง แต่ยังบังคับบุตรชายที่ปฏิเสธมาตลอดให้ยอมแต่งงานโดยดีเสียด้วย
ซั่งกวนเยี่ยนเอ่ยต่อ “เจ้าไม่ต้องรีบปฏิเสธ แม้ข้าจะมีใจบังคับให้เจ้าแต่งงาน แต่ก็เพื่อเด็กๆ ทั้งนั้น พวกเขาเล็กขนาดนั้น จะขาดมารดามิได้”
มิรู้ว่าคิดถึงอะไรอยู่ เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยเจือเสียงหัวเราะขึ้นมา “เช่นนั้นรึ?”
ซั่งกวนเยี่ยนรู้ว่าเยี่ยนจิ่วเฉาไม่ยอมจำนนง่ายเพียงนี้ หากแต่บีบบังคับเกินไปจะก่อให้เกิดผลตรงกันข้าม นางจึงเตรียมแผนรับมือมาก่อนแล้ว
ใครจะรู้ว่านางยังไม่ทันเปิดปาก บ่าวอายุน้อยคนหนึ่งก็พุ่งเข้ามาอย่างทุลักทุเล
ซั่งกวนเยี่ยนขมวดคิ้วแน่น นางได้ยินเสียงบ่าวคนนั้นล้มลงกับพื้นดังตุบและเค้นเสียงพูดออกมา “แย่แล้ววว คุณชายน้อย…คุณชายน้อยถูกคนจับไปแล้วขอรับ!”
………………………
คุกใต้ดินจวนจิงจ้าว เหยียนเซี่ยเดินผ่านทางเดินที่แคบยาว ควงกุญแจในมือไปพลาง ร้องเพลงเบาๆ คลออย่างพออกพอใจไปพลาง
ยามนี้อารมณ์ของเหยียนเซี่ยยอดเยี่ยมยิ่งนัก ก่อนหน้านี้เมื่อได้ยินว่าพระชายาจัดงานผู้ตรวจตราให้เขา เขายังมิพอใจอยู่เล็กน้อย
ผู้ตรวจตรามีอะไรดีเล่า? เพียงแค่ตรวจตามถนนเท่านั้น ทั้งยังลำบากตากแดดตากฝน มิต้องเอ่ยว่าลำบากเพียงใด
ด้วยฐานะของพระชายาและเซียวเจิ้นถิง ไม่ว่าอย่างไรก็ควรให้รับตำแหน่งหัวหน้ามือปราบมากกว่าสิ
ทว่าดูจากตอนนี้ นับว่าได้ใช้ความสามารถของตัวเองแล้ว ไม่นานเขาก็จะได้เป็นหัวหน้ามือปราบ กระทั่งเป็นไปได้สูงว่าจะได้เป็นผู้ตรวจการเมือง
ผู้ตรวจการเมืองเป็นขุนนางขั้นสี่ สูงกว่าบิดาของเขาหนึ่งขั้นเต็มๆ เชียว!
“คดีลักของจากพระราชวัง…” เหยียนเซี่ยยิ้มจนควบคุมตัวเองมิได้ “ข้าโชคดีเช่นนี้ได้อย่างไร? ฟ้าช่างเมตตาจริงๆ!”
“นายท่านเหยียน!” พัศดีคนหนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าแตกตื่น
เหยียนเซี่ยมองเขาอย่างหมดความอดทน “ลนลานอะไรเล่า? มีระเบียบหน่อยได้หรือไม่?”
พัศดีพูดติดๆ ขัดๆ “ไม่ใช่นะครับ นายท่านเหยียน คะ…คุณชายเยี่ยนกับฮูหยินเซียวมาที่นี่ครับ!”
เหยียนเซี่ยตาเป็นประกาย “อะไรนะ? น้องเขยข้ากับพระชายามารึ? ทำไมเจ้าไม่รีบบอกเล่า! พวกเขาอยู่ไหนแล้ว? เข้ามาในจวนหรือยัง? ข้าจะไปต้อนรับด้วยตัวเอง!”
พูดจบเขาก็ไม่รอให้พัศดีตอบ แต่เดินก้าวใหญ่ออกไปแล้ว
ในห้องโถงใหญ่ เหยียนเซี่ยเห็นเยี่ยนจิ่วเฉากับซั่งกวนเยี่ยนแล้ว
รูปลักษณ์ของทั้งสองนั้นโดดเด่นจริงๆ เหยียนเซี่ยมีชีวิตอยู่มาหลายปีเช่นนี้ เคยเห็นสตรีที่สวยที่สุดซึ่งก็คือน้องสาวของตน ทว่าเมื่อเทียบกับซั่งกวนเยี่ยนแล้ว ความงามของน้องสาวกลับขาดกลิ่นอายบางส่วนไป
ส่วนเยี่ยนจิ่วเฉานั้น ชายชาตรีผู้หนึ่ง เหตุใดจึงงามดั่งหยกได้เล่า?
อีกอย่าง เหตุใดตนจึงรู้สึกว่าเคยเห็นเขามาก่อน? ดวงตานี้ จมูกนี้…คุ้นเหลือเกิน…
อีกด้านหนึ่ง จิงจ้าวอิ่น[2]ก็มาถึงแล้ว เขาก้มหน้ายืนอยู่ตรงหน้าเยี่ยนจิ่วเฉากับซั่งกวนเยี่ยน แม้แต่หายใจแรงๆ ยังมิกล้าด้วยซ้ำ
เหยียนเซี่ยเห็นจิงจ้าวอิ่นกลัวถึงเพียงนี้ ในใจก็คิดว่าเขามิควรเป็นถึงเพียงนี้ พบน้องเขยเขากับฮูหยินเซียว ความกล้าก็หายไปหมดแล้วหรือ!
เขานั้นไม่เหมือนกัน เขามีความกล้าอยู่!
เยี่ยนจิ่วเฉาเล่นถ้วยชาในมืออย่างทีเล่นทีจริง “ได้ยินว่าเป็นคนที่ท่านแม่แนะนำ”
ใช่แล้วน้องเขย!
เหยียนเซี่ยยืดอกขึ้นตรง
สีหน้าของซั่งกวนเยี่ยนเปลี่ยนเป็นย่ำแย่อย่างที่สุด
จิงจ้าวอิ่นเช็ดเหงื่อเย็นตรงหน้าผากเบาๆ “ยะ…เหยียนเซี่ย ได้ยินว่าเจ้าทำคดีหัวขโมยอยู่ คุณชายเยี่ยนกับฮูหยินเซียวมา…มาดูเจ้าจัดการคดี…”
เหยียนเซี่ยยืดอกขึ้นตรงกว่าเดิม “ไอ้หยา แค่คดีหัวขโมยเล็กๆ จะรบกวนน้องเขยกับพระชายามาด้วยตัวเองได้อย่างไร? เช่นนี้ข้ารู้สึกผิดมาก! มิควรค่าให้กล่าวถึงเลย!”
ปากเอ่ยว่ามิควรค่าให้กล่าวถึง แต่เขากลับพ่นคำพูดออกมาไม่หยุด
จิงจ้าวอิ่นเบนหน้าหนี รู้สึกว่าตนทนมองไม่ไหวแล้ว
“จับพวกหัวขโมยมาแล้ว!”
“ชายคนหนึ่งหนีไปได้!”
จิงจ้าวอิ่นก็อยากหนีเช่นกัน…
“แต่ข้าขังสาวชาวบ้านไว้แล้ว!”
จิงจ้าวอิ่นหนีไม่ไหวแล้ว…
“ทั้งยังมีเด็กสองสามคน คงเป็นหัวขโมยเช่นกัน ข้าขังพวกเขารวมกันไว้แล้ว!”
จิงจ้าวอิ่นทรุดลงกับพื้นเสียงดังตุบ…
เหยียนเซี่ยเบิ่งตากว้าง ก้าวไปประคองจิงจ้าวอิ่นไว้ “ใต้เท้าท่านเป็นอะไรรึ? พระชายาท่านว่าเขา…”
เขายังไม่ทันกล่าวจบ ก็เห็นซั่งกวนเยี่ยนยกหน่วนหลู[3]ในมือทุบใส่ศีรษะของเขาอย่างไร้ความปรานี!
……………………………
[1] สื่อถึงรถของเทพเซียน
[2] เป็นตำแหน่งผู้ดูแลเขตเมืองหลวง
[3] หน่วนหลู 暖炉 เป็นเตาอังมือขนาดเล็กสำหรับพกติดตัวไว้ผิงมือในฤดูหนาว รอบเตานิยมแกะสลักเป็นภาพสวยงาม