บทที่ 543 เล่นเกมแบบมัลติเพลเยอร์ โหมด

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 543 เล่นเกมแบบมัลติเพลเยอร์ โหมด

 

 

สถานที่แปลกประหลาด

 

 

เหมือนเป็นดินแดนที่ปราศจากสิ่งมีชีวิต

 

 

“นี่มันที่ไหนกันเนี่ย?”

 

 

รอบกายมีแต่ความมืดมิดราวกับว่าวิญญาณของเขาถูกฉุดกระชากลงมาสู่ใต้ทะเลลึก

 

 

ท้องฟ้าด้านบนเป็นสีม่วงเข้ม เพียงชำเลืองมองเล็กน้อย ก็รู้สึกเหมือนกับท้องฟ้าด้านบนนั้นเป็นแผ่นไม้กระดานที่ถูกตีปิดครอบทับอะไรบางอย่าง

 

 

เบื้องหน้าเด็กหนุ่มปรากฏต้นไม้ขึ้นอยู่สองต้น

 

 

ต้นไม้ฝั่งซ้ายมือเป็นต้นไม้ที่ตายแล้ว

 

 

ต้นไม้ฝั่งขวามือก็เป็นต้นไม้ที่ตายแล้วเช่นเดียวกัน

 

 

บนต้นไม้มีรูกลวงสองรูลักษณะเหมือนดวงตา ทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกเหมือนถูกต้นไม้ทั้งสองต้นนี้จับจ้องมองตลอดเวลา

 

 

พวกมันเหมือนเป็นต้นไม้ผีสิงที่ใช้ตกแต่งในวันฮาโลวีน

 

 

ด้านหลังต้นไม้เป็นถนนโรยกรวดเส้นหนึ่ง

 

 

ปลายทางที่คดเคี้ยวของถนนโรยกรวดเส้นนั้นเป็นที่ตั้งของปราสาทและหอคอยทมิฬ

 

 

ปราสาทถูกปกคลุมด้วยเปลวไฟสีม่วงที่ไม่มีความร้อน

 

 

ประตูหน้าปราสาทเปิดกว้าง

 

 

ได้ยินเสียงกรีดร้องเสมือนวิญญาณคร่ำครวญโหยหวนลอยออกมาจากข้างใน

 

 

ไม่ต่างจากประตูนรก

 

 

หลินเป่ยเฉินยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าปราสาทด้วยความพิศวง

 

 

ในที่สุด เขาก็สลัดหลุดออกจากห้วงแห่งความตกตะลึง

 

 

นี่คือจุดเริ่มต้นของเกม Lost Castle ใช่หรือไม่?

 

 

หมายความว่าเขาเข้ามาอยู่ในโลกแห่งเกมแล้วสินะ?

 

 

หลินเป่ยเฉินยังคงพยายามทำความเข้าใจต่อไป

 

 

สรุปว่า โทรศัพท์มือถือของยมทูตเครื่องนี้สามารถจำลองโลกแห่งเกมขึ้นมาได้ด้วยหรือ?

 

 

หลินเป่ยเฉินรู้สึกตื่นเต้นไม่ใช่น้อย

 

 

ตอนที่ยังอยู่บนโลกมนุษย์ใบเก่า เขาก็เคยเล่นเกมที่ชื่อว่า Lost Castle เช่นกัน

 

 

เนื้อหาของเกมมีดังนี้

 

 

เจ้าของปราสาทเป็นขุนนางผู้มีความทะเยอทะยาน เขาอยากจะสั่งสมอำนาจเพื่อครองแผ่นดิน จึงได้เปิดค่ายอาคมเวทมนตร์แห่งพลังครองพิภพ แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือค่ายอาคมเหล่านั้นเกิดความผิดพลาด ทำให้มีสัตว์ประหลาดและอสูรกายหลุดออกมาเป็นจำนวนมาก สัตว์ประหลาดเหล่านั้นบุกยึดครองปราสาทและสะสมขุมกำลังเพื่อเตรียมพร้อมที่จะยึดครองโลกใบนี้…

 

 

ส่วนผู้เล่นจะรับบทบาทนักล่าสมบัติ

 

 

ผู้เล่นจะสามารถอัปสกิล ได้รับอาวุธและของรางวัลจากการฆ่าสัตว์ประหลาด

 

 

สามารถเลือกเล่นคนเดียวก็ได้

 

 

หรือจะเล่นพร้อมกับเพื่อนๆ หลายคนก็ไม่มีปัญหา

 

 

ยิ่งผู้เล่นสามารถอัปเลเวลได้เท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

 

 

หลินเป่ยเฉินยืนอยู่ที่หน้าประตูปราสาท เกิดความรู้สึกลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินเข้าไป

 

 

ทางเดินในปราสาทมืดทะมึนน่าหวาดกลัว

 

 

ไม่นานหลังจากนั้น ก็มีวิญญาณร้ายปรากฏตัว

 

 

หลินเป่ยเฉินดาวน์โหลดกระบี่สายฟ้าออกมาถือในมือและเริ่มต้นฆ่าฟันผีร้ายเหล่านั้น

 

 

ภาพทุกอย่างเหมือนจริงมาก

 

 

ไม่ต่างไปจากโลกแห่งความจริง

 

 

หลินเป่ยเฉินเห็นถึงน้ำเลือดน้ำหนองที่ไหลทะลักออกมาจากปากวิญญาณร้ายเหล่านั้น เขาสามารถมองเห็นได้แม้กระทั่งรูขุมขน เส้นผม จมูกและกระดูกที่อยู่ด้านในใบหน้าเหวอหวะ…

 

 

“อี๋ ไอ้พวกตัวน่าเกลียด ตายซะเถอะ”

 

 

ทุกครั้งที่เด็กหนุ่มตวัดฟาดฟันกระบี่ ก็จะต้องมีเสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่ผีร้ายไม่ต่ำกว่าหนึ่งตัวจะล้มลงตายร่างสลายไปกับพื้นดิน…

 

 

อสูรกายเหล่านี้แต่ละตัวมีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์ตอนปลายทั้งสิ้น

 

 

“ดูเหมือนการเล่นเกมนี้จะจำลองประสบการณ์การต่อสู้ให้กับผู้เล่นได้ทุกรูปแบบเลยสินะ แถมพลังลมปราณยังฟื้นฟูขึ้นมารวดเร็วมาก ต่อให้สู้ทั้งวันทั้งคืนก็ไม่มีทางเหน็ดเหนื่อยเด็ดขาด”

 

 

ในไม่ช้า หลินเป่ยเฉินก็ค้นพบความแตกต่างระหว่างโลกแห่งเกมและโลกแห่งความเป็นจริง

 

 

อยู่ในโลกแห่งเกม เขาสามารถต่อสู้ได้โดยไม่รู้จักคำว่าเหนื่อย

 

 

เวลาครึ่งชั่วยามผ่านไปในพริบตาเดียว

 

 

หลินเป่ยเฉินบุกทะลวงผ่านเข้าไปถึงอุโมงค์แรกได้สำเร็จ

 

 

“ที่นี่เหมาะสำหรับเอาไว้ฝึกวิชากระบี่ 17 คาบสมุทรเหลือเกินแฮะ”

 

 

หลินเป่ยเฉินลดกระบี่ลง ยืนนิ่ง

 

 

“เสี่ยวจี้ หยุดเกมเอาไว้ที่ตรงนี้ก่อน ข้าอยากกลับออกไปแล้ว” หลินเป่ยเฉินใช้ความคิดสื่อสารกับผู้ช่วยส่วนตัวอัจฉริยะ

 

 

“รับทราบเจ้าค่ะ นายท่าน อยากให้เซฟเกมเอาไว้ไหมเจ้าคะ?”

 

 

“เซฟไว้ก่อนก็ได้”

 

 

“นายท่านช่วยตั้งชื่อไฟล์ในเกมนี้ด้วยเจ้าค่ะ”

 

 

“ตั้งชื่อเป็น ‘หนึ่งคนโดดเดี่ยว สองคนผิดพลาด’ ก็แล้วกัน”

 

 

“รับทราบเจ้าค่ะ นายท่าน”

 

 

“พาข้าออกไปจากเกมได้แล้ว”

 

 

“รับทราบเจ้าค่ะ นายท่าน ได้โปรดเตรียมตัว… เสี่ยวจี้กำลังจะนับถอยหลัง… 10… 9… 8…”

 

 

คราวนี้ผู้ช่วยส่วนตัวอัจฉริยะนับถอยหลังอย่างที่ควรจะเป็น แล้วเด็กหนุ่มก็เกิดความรู้สึกเหมือนกำลังลอยเคว้งคว้างอยู่ท่ามกลางห้วงมิติแห่งกาลเวลาอีกครั้ง

 

 

 

 

ภูเขาเสี่ยวซี

 

 

หลินเป่ยเฉินเดินกลับออกมาจากโลกแห่งเกมพร้อมด้วยการถอนหายใจเฮือกใหญ่

 

 

“เวลาที่ผ่านไปในเกมไม่ได้เดินไปพร้อมกับเวลาในโลกของความจริง”

 

 

หลินเป่ยเฉินเริ่มต้นคำนวณอัตราส่วนอย่างรวดเร็ว

 

 

เวลาครึ่งชั่วยามในโลกของความเป็นจริง มีค่าเท่ากับหนึ่งวันในโลกแห่งเกม

 

 

ในนั้นเวลาเดินช้ามากกว่าปกติถึง 12 เท่า

 

 

“ไม่ใช่เล่นเลยนะเนี่ย”

 

 

เมื่อสักครู่นี้ เขาเสียเวลานับชั่วโมงไล่ล่าฆ่าฟันสัตว์ประหลาด แต่เวลาในโลกของความเป็นจริงเพิ่งผ่านไปได้ไม่ถึงหนึ่งก้านธูป

 

 

“เกมนี้น่าจะเป็นตัวช่วยทำให้เราเลื่อนระดับพลังได้สำเร็จ”

 

 

หลินเป่ยเฉินเริ่มคิดหาวิธีที่จะนำเกม Lost Castle มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

 

 

นอกจากจะช่วยทำให้ระดับพลังเพิ่มสูงแล้ว เกมนี้ยังช่วยทำให้ผู้เล่นได้รับประสบการณ์ต่อสู้ที่เหมือนจริง เกรงว่าหากความสามารถนี้ล่วงรู้ไปถึงหูของคนภายนอก พวกชาวทะเลคงอยากกระโดดตึกตาย และเว่ยหมิงเฉินก็คงอยากจะอัดใครสักคนเพื่อระบายอารมณ์…

 

 

“เกม Lost Castle ทำให้การฝึกวิชากระบี่ 17 คาบสมุทรของเรารุดหน้าไปได้ไกลมากกว่าเดิม และการฝึกวิชากระบี่เร้นกายก็คืบหน้าได้เร็วมากกว่าเดิมเหมือนกัน”

 

 

เด็กหนุ่มรู้สึกพอใจมาก

 

 

“เดี๋ยวก่อนนะ”

 

 

“เมื่อกี้เราเล่นแบบตัวคนเดียว แต่ดูเหมือนว่าเกมนี้จะมีให้เล่นแบบมัลติเพลเยอร์ โหมดด้วยนี่นา”

 

 

หลินเป่ยเฉินนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

 

 

แล้วเขาก็เกิดไอเดียบรรเจิด

 

 

“มัลติเพลเยอร์ โหมด หมายความว่าเล่นพร้อมกันได้หลายคนเลยสิ”

 

 

“สงสัยคงให้ผู้เล่นช่วยกันเข้าไปฆ่าสัตว์ประหลาดแน่ๆ”

 

 

“ถ้าเป็นอย่างนั้น…”

 

 

หลินเป่ยเฉินยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

 

 

“เสี่ยวจี้ ข้าอยากกลับเข้าไปในเกมใหม่อีกรอบ”

 

 

หลินเป่ยเฉินตัดสินใจที่จะลองทดสอบอะไรบางอย่าง

 

 

“รับทราบเจ้าค่ะ นายท่าน”

 

 

“นายท่านได้โปรดเตรียมตัว เสี่ยวจี้กำลังจะเริ่มนับถอยหลัง 10… 9…8…0  เข้าสู่เกม”

 

 

เสี่ยวจี้กลับมานับเลขแบบพิสดารอีกครั้ง

 

 

“ย๊ากกก เจ้าไปเรียนนับเลขมาจากไหนกันเนี่ย ข้าจะไปเผาโรงเรียนนั้นทิ้งเดี๋ยวนี้…”

 

 

หลินเป่ยเฉินไม่ทันระวังตัว จึงเกิดความรู้สึกเหมือนวิญญาณถูกกระชากลอยออกจากร่างขึ้นไปอยู่บนรถไฟเหาะตีลังกา

 

 

 

 

ในโลกแห่งเกม Lost Castle

 

 

หลินเป่ยเฉินยืนอยู่ที่หน้าประตูปราสาท

 

 

เขาไม่ได้เริ่มเกมจากไฟล์เกมที่เซฟเอาไว้

 

 

เด็กหนุ่มเลือกที่จะเริ่มเล่นเกมใหม่ทั้งหมด

 

 

“เสี่ยวจี้ เกมนี้จะสามารถเล่นในโหมดผู้เล่นหลายคนได้อย่างไร?”

 

 

หลินเป่ยเฉินสอบถาม

 

 

“เมื่อเชื่อมต่อสัญญาณไวไฟเข้าด้วยกันแล้ว นายท่านก็สามารถดึงผู้เล่นคนอื่นๆ เข้ามาในเกมได้เลยเจ้าค่ะ”

 

 

เสี่ยวจี้ตอบ

 

 

หืม?

 

 

หลินเป่ยเฉินดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ

 

 

แบบนี้ก็สบายเลยน่ะสิ

 

 

ไม่น่ามีปัญหา

 

 

การเล่นในรูปแบบมัลติเพลเยอร์โหมด จำเป็นต้องใช้เครือข่ายการเชื่อมต่อ

 

 

และเรื่องนั้นก็สามารถทำได้โดยใช้การกระจายสัญญาณไวไฟ นับว่าผู้ที่ผลิตโทรศัพท์มือถือของยมทูตเครื่องนี้ขึ้นมาเป็นอัจฉริยะจริงๆ

 

 

หลินเป่ยเฉินเปิดตัวกระจายสัญญาณไวไฟและค้นหารายชื่อตัวรับสัญญาณ

 

 

ในที่สุด เขาก็กดเลือกและเชิญบุคคลนั้นเข้ามาสู่โลกแห่งเกมอย่างรวดเร็ว

 

 

วูบ!

 

 

มวลอากาศปั่นป่วนเล็กน้อย

 

 

ลำแสงสายหนึ่งถูกยิงลงมาจากท้องฟ้า

 

 

หลังจากนั้น อู๋เฟิ่งกูอดีตเถ้าแก่สวนแตงโมร่างอ้วน ก็มาปรากฏตัวอยู่ข้างกายหลินเป่ยเฉิน

 

 

เขากวาดตามองสภาพแวดล้อมที่แปลกประหลาดด้วยความตกใจ ก่อนจะหันมามองหน้าหลินเป่ยเฉิน…

 

 

“นายน้อยก็ตายแล้วเหมือนกันหรือขอรับ?”

 

 

อู๋เฟิ่งกูซักถาม

 

 

หลินเป่ยเฉินหันไปกระแทกหมัดใส่หน้าเถ้าแก่สวนแตงโมเต็มแรง พูดว่า “เจ้าสิตาย ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าเข้าไปสำรวจดูด้านใน…”

 

 

ไม่กี่อึดใจต่อมา

 

 

ด้านในปราสาทพลันก้องด้วยเสียงร้องอุทานของอู๋เฟิ่งกูดังอยู่ตลอดเวลา

 

 

“อ๊าก ผีหลอก”

 

 

“นี่มันอะไรกันเนี่ย…”

 

 

“นายน้อยช่วยข้าด้วย นายน้อยช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย…”

 

 

“แม่จ๋า!”

 

 

เมื่อสามารถตะลุยผ่านด่านแรกได้สำเร็จ หลินเป่ยเฉินถึงได้เลิกพยายามและพาตัวอู๋เฟิ่งกูกลับออกมาจากโลกแห่งเกม

 

 

เอาล่ะ

 

 

เขาได้คำตอบแล้ว

 

 

การเล่นแบบมัลติเพลเยอร์ โหมดเป็นอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ

 

 

“เจ้ารีบนำข่าวไปแจ้งต่ออาสาสมัครทุกคนของเราให้มารวมตัวกันที่ภูเขาเสี่ยวซีเดี๋ยวนี้ ข้าอยากจะให้พวกเขามาร่วมกันฝึกล่าปีศาจ”

 

 

หลินเป่ยเฉินยืนเท้าเอวและระเบิดเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข

 

 

อู๋เฟิ่งกูกำลังนั่งหอบหายใจลิ้นห้อยอยู่ที่ข้างกายเด็กหนุ่ม

 

 

น่ากลัวเหลือเกิน

 

 

สยดสยองมากเกินไป

 

 

ปรากฏว่าเมื่อสักครู่ นายน้อยได้นำเขาเข้าไปสู่ดินแดนของปีศาจในตำนาน และคิดอาศัยการฆ่าฟันปีศาจเหล่านั้นเพิ่มพลังให้แก่ทุกคน และคงเพราะฝึกปรือด้วยวิธีการเช่นนี้เอง นายน้อยถึงได้มีพลังแข็งแกร่งตั้งแต่อายุเพียงเท่านี้

 

 

อู๋เฟิ่งกูสาบานกับตัวเองว่าในอนาคต เขาไม่มีทางตั้งตัวเป็นศัตรูกับหลินเป่ยเฉินอย่างเด็ดขาด

 

 

มิฉะนั้น เขาอาจจะถูกจับโยนเข้าสู่ดินแดนแห่งปีศาจได้ทุกเมื่อ ต่อให้ปรารถนาที่จะตายก็ไม่อาจตายได้อีกแล้ว

 

 

เพียงคิด อู๋เฟิ่งกูก็สั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวไปถึงขั้วหัวใจ