บทที่ 544 พวกท่านเป็นสายลับแฝงตัวมาใช่หรือไม่

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 544 พวกท่านเป็นสายลับแฝงตัวมาใช่หรือไม่

 

 

เขตที่ทำการผู้ว่าการเมือง

 

 

หอคอยส่วนกลาง

 

 

องค์หญิงแห่งท้องทะเลยืนอยู่บนระเบียงหอคอย สายตาจ้องมองไปยังเกาะขนาดใหญ่ที่อยู่กลางทะเลสาบ สะพานโครงกระดูกสีขาวขนาดใหญ่ยักษ์โดดเด่นเป็นสง่าทอดตัวเข้ามาจากทุกด้าน ในแววตาของนางไม่มีความสุข ไม่มีความเศร้า มีเพียงความเรียบเฉยเหมือนนกน้อยในกรงทองที่ลืมเลือนไปแล้วว่าความสุขจากการได้โบยบินเป็นอย่างไร

 

 

ติงซานฉือยืนเคียงข้างในความเงียบ

 

 

“ท่านมีลูกศิษย์ที่ประเสริฐ”

 

 

หลังจากคิดอะไรบางอย่าง องค์หญิงก็หันกลับมายิ้มให้ชายชรา

 

 

ติงซานฉือมีสีหน้าที่แสดงออกถึงความรู้สึกผิดเล็กน้อย “ยิ่งพิจารณาเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ก็เหมือนกับเขากำลังช่วยเหลือข้าอยู่เสมอ ทั้งๆ ที่ข้ามีสถานะเป็นอาจารย์ของเขา แต่กลับต้องคอยรับความช่วยเหลือจากหลินเป่ยเฉินตลอดเวลา ข้าต่างหากที่เป็นภาระของเขา เฮ้อ ต่อให้นี่เป็นสถานการณ์ที่พวกเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่อย่างน้อยข้าก็อยากจะ…”

 

 

องค์หญิงยิ้มออกมาเล็กน้อยและกล่าวว่า “เรื่องที่ว่าหลินเป่ยเฉินคอยช่วยเหลือท่านนั้น ยังไม่สำคัญเท่ากับเรื่องที่ว่า เขายังคงเชื่อมั่นในตัวท่านเสมอ”

 

 

“ถูกต้อง”

 

 

ติงซานฉือถอนหายใจออกมาด้วยความเศร้า “ในชีวิตนี้หายากนักที่จะมีคนจริงใจเช่นเขา… หากพี่ใหญ่ยังอยู่ ก็คงจะต้องเอ็นดูหลินเป่ยเฉินเป็นแน่แท้”

 

 

“ทุกคนเอาแต่บอกว่าเขาเป็นเด็กเสเพลหาดีไม่ได้ แต่จากมุมมองของข้า เขายังประเสริฐกว่าผู้ที่ถูกเรียกว่าวีรบุรุษหลายเท่านัก และมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะมีจิตใจประเสริฐเช่นนี้” องค์หญิงแห่งท้องทะเลก็ทอดถอนใจออกมาเช่นกัน “หากมีใครสักคนที่จะสามารถเปลี่ยนโชคชะตาชีวิตของท่านและข้าได้ เกรงว่าก็คงเป็นเด็กหนุ่มผู้นี้ แต่ข้าก็ไม่ทราบเลยว่าเขาจะสามารถรอดชีวิตจากการต่อสู้ครั้งนี้ได้หรือไม่”

 

 

“หลินเป่ยเฉินสามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้เสมอ”

 

 

ติงซานฉือยิ้มแย้มด้วยความมั่นใจ “เท่าที่ข้ารู้จักเขา เด็กคนนี้ไม่เคยพ่ายแพ้ผู้ใดมาก่อน และครั้งนี้ ข้าก็คิดว่าเขาคงไม่พ่ายแพ้เช่นกัน”

 

 

 

 

ในเวลาเดียวกันนั้น

 

 

ณ ตำหนักแม่ทัพฉลามใหญ่

 

 

“ท่านแม่ทัพขอรับ สายข่าวของเรารายงานมาว่า อาสาสมัครที่ถูกคัดเลือกทั้ง 16 คน บัดนี้ได้ขึ้นไปรวมตัวกันอยู่ที่ภูเขาเสี่ยวซีตามคำสั่งของหลินเป่ยเฉินแล้วขอรับ” ฉลามหน่วยลาดตระเวนตัวหนึ่งเข้ามารายงานด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม

 

 

“หลินเป่ยเฉิน เด็กคนนี้เจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าดาวทะเล ไม่มีใครรู้เลยว่าเขากำลังวางแผนคิดจะทำอะไร นอกจากนั้น หลินเป่ยเฉินยังไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย ข้าไม่เคยพบเจอมนุษย์คนไหนเจ้าเล่ห์เพทุบายเช่นนี้มาก่อน” เต่าทะเลซึ่งเป็นที่ปรึกษาพิเศษของแม่ทัพฉลามอู๋หยาพูดจากที่นั่งด้านข้าง “ท่านแม่ทัพต้องระมัดระวังตัวให้ดี”

 

 

แม่ทัพฉลามอู๋หยานั่งอยู่บนเก้าอี้ที่อยู่สูงที่สุดในห้องรับรอง รอยยิ้มที่เปิดเผยถึงความมั่นใจปรากฏขึ้นบนใบหน้า “การร่วมแรงร่วมใจของชาวเมืองหยุนเมิ่งในครั้งนี้ มันก็เป็นเพียงเรื่องตลกอีกเรื่องหนึ่งเท่านั้นเอง ในเมืองหลงเหลือผู้มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์เพียงไม่กี่คน อย่าว่าแต่จะให้ออกมาต่อสู้ สภาพของพวกเขาแทบจะเรียกว่ามีชีวิตอยู่ไม่ได้อีกแล้วด้วยซ้ำ… เจ้าโปรดอย่าลืมว่าบัดนี้เมืองหยุนเมิ่งได้กลายเป็นดินแดนของพวกเราโดยสมบูรณ์ ไม่ว่าพวกมันคิดจะทำสิ่งใด ล้วนอยู่ภายใต้การเฝ้ามองของเราทั้งสิ้น หากพวกมันคิดจะจับปลาใหญ่ เกรงว่าแหจับปลาคงหายไปโดยไม่ทันออกเรือด้วยซ้ำ!”

 

 

“หรือว่าท่านแม่ทัพเตรียมแผนการเอาไว้แล้ว”

 

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า แน่นอน เจ้าคิดว่าฉลามไม่มีสมองหรือไร? รับรองว่าต่อให้พวกมันวางแผนมาอย่างดีที่สุด ก็ไม่อาจรอดพ้นหูตาของข้าไปได้”

 

 

“แต่ได้ข่าวว่าหลิงไท่ซวีก็น่าจะได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนออกมาต่อสู้เช่นกันนะขอรับ”

 

 

ที่ปรึกษาเต่าทะเลย้ำเตือน

 

 

แม่ทัพฉลามอู๋หยาได้ยินดังนั้นก็หัวเราะด้วยความเหยียดหยามเล็กน้อย

 

 

“ถูกต้อง หลิงไท่ซวีเคยเป็นเทพเจ้าแห่งสงครามของฝ่ายมนุษย์ก็จริง แต่นั่นมันก็เป็นเรื่องที่นานมาแล้ว ปัจจุบันเขาเป็นเพียงผู้เฒ่าที่ลุ่มหลงในสุรนารีมากเกินไป ซ้ำอายุอานามก็ไม่ใช่น้อย หากเขาอยากจะออกมาต่อสู้จริงๆ เดี๋ยวลูกน้องของข้าจะทำหน้าที่ส่งเขาไปพักผ่อนตลอดกาลเอง”

 

 

แล้วฉลามหนุ่มก็หัวเราะด้วยความขบขันและดูถูกดูแคลน

 

 

ดูเหมือนว่าที่ปรึกษาเต่าทะเลอยากจะพูดอะไรบางอย่าง

 

 

แต่แม่ทัพฉลามอู๋หยากลับยกมือโบกสะบัด “ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว ทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของข้าเบ็ดเสร็จ กุยเหนียน เจ้ารีบนำขุนพลฝีมือดีของพวกเรากระจายกำลังไปประจำการอยู่ตามจุดต่างๆ ทั่วเมือง ยึดตามแผนการเดิมของพวกเรา ครั้งนี้เมื่อข้าชนะการต่อสู้ เราจะลงมือสังหารมนุษย์ให้หมดสิ้นไปจากเมืองนี้เสียที”

 

 

“รับทราบขอรับ ท่านแม่ทัพ”

 

 

ที่ปรึกษาผู้มีนามว่ากุยหนียนรับคำสั่งและลุกขึ้นเดินออกไปโดยทันที

 

 

 

 

ภูเขาเสี่ยวซี

 

 

“นายท่านเจ้าคะ ที่นี่คือที่ไหนกัน…”

 

 

เมื่อเห็นหลิงไท่ซวีนำกลุ่มสาวงามติดตามขึ้นเขามาด้วยเป็นจำนวนนับสิบคน หลินเป่ยเฉินและอาสาสมัครคนอื่นๆ ที่มายืนรออยู่ล่วงหน้า ก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความไม่ชอบใจ

 

 

หลินเป่ยเฉินรู้ดีว่าอดีตอาจารย์ใหญ่ของเขานั้นเป็นพวกบ้ากามตัณหากลับ แต่นี่เป็นเวลาฝึกฝนวิชาเสริมสร้างความแข็งแกร่ง ถูกต้องแล้วหรือที่นำนางคณิกาเหล่านี้ขึ้นเขามาด้วย ต้องไม่ลืมว่าที่นี่มีชายฉกรรจ์อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาหลายคน แล้วอย่างนี้ ทุกคนจะไปมีสมาธิฝึกซ้อมการต่อสู้ได้อย่างไร

 

 

หลิงไท่ซวีออกจะทำตัวเหลวไหลเกินไปหน่อยแล้ว

 

 

“ฮ่าฮ่า ไม่เป็นไร พวกเจ้าฝึกวิชากันไปตามสบายเถิด…”

 

 

อดีตอาจารย์ใหญ่ยิ้มมุมปากและพูดอย่างผู้ชนะ “ข้ามันแก่แล้ว ขยับนิดหน่อยก็ปวดแขนปวดขา ซ้ำยังมีปัญหาปวดหลังปวดเอวอยู่บ่อยๆ เอาเป็นว่า ข้าขอสละสิทธิ์ฝึกซ้อมพิเศษกับพวกเจ้าก็แล้วกัน เชิญสนุกกันได้ตามสบาย”

 

 

คณะอาจารย์อาวุโสอย่างพวกของฉู่เหิน พานเว่ยหมิน และหลิวฉีไห่พูดอะไรไม่ออก

 

 

เซียวปิงก็ตกอยู่ในอาการเดียวกัน

 

 

ถ้าอย่างนั้นหลิงไท่ซวีจะอาสามาทำไมกันเล่า?

 

 

นี่ชายชราตั้งใจล้อพวกเขาเล่นใช่ไหม?

 

 

“ฮ่าฮ่า ข้าไม่รบกวนเวลาฝึกวิชาของพวกเจ้าแล้ว…”

 

 

หลิงไท่ซวีประคองสาวงามอยู่ในอ้อมแขนทั้งสองข้าง พูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “พวกเราไปกันเถอะ สาวๆ ไปหาที่แช่น้ำข้างในกันดีกว่า อย่าได้รบกวนพวกเขาอีกเลย”

 

 

พูดจบ หลิงไท่ซวีก็ไม่ปล่อยให้หลินเป่ยเฉินได้มีเวลาโต้แย้งสักคำ เขานำตัวสาวงามสิบกว่าคนนั้นเดินหายเข้าไปหลังม่านพลังที่กางกั้นอาณาเขตทะเลสาบซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณหนึ่งลี้

 

 

หลินเป่ยเฉินและคนอื่นๆ ได้แต่ยืนปากอ้าตาค้าง

 

 

นี่มัน…

 

 

หลิงไท่ซวีหาข้ออ้างมาเล่นน้ำในทะเลสาบนี่นา

 

 

เขาไม่ได้จริงจังกับการฝึกฝนเลยสักนิด

 

 

“เฮ้อ พวกเราอย่าไปสนใจ…”

 

 

หลินเป่ยเฉินบังคับตัวเองให้หันกลับไปพูดกับทุกคนว่า “อีกอย่าง อาจารย์ใหญ่ก็อายุเยอะแล้ว ถึงมาร่วมฝึกซ้อมกับพวกเรา เขาก็คงไม่ได้เป็นตัวแทนออกไปสู้อยู่ดี…”

 

 

ทุกคนนิ่งเงียบ

 

 

หลินเป่ยเฉินยกมือปาดเหงื่อออกจากหน้าผากและเริ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังมากขึ้น “ทุกคนคงทราบดีว่าข้าคือผู้ที่ถูกเลือกจากเทพเจ้า และข้ามีสายสัมพันธ์อันดีงามกับเทพีกระบี่ เพราะฉะนั้น ข้าจึงใช้เวลาสวดภาวนาอยู่หลายคืนกว่าที่จะได้ค่ายอาคมศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้มาช่วยเหลือพวกท่านฝึกซ้อมการต่อสู้…”

 

 

เมื่อหลินเป่ยเฉินพบข้ออ้างที่จะใช้งานเกม Lost Castle โดยไม่มีผู้ใดสงสัย เขาก็อดใจรอที่จะดึงทุกคนเข้าไปสู่โลกแห่งเกมแทบไม่ไหว หลินเป่ยเฉินเปิดตัวกระจายสัญญาณไวไฟในโทรศัพท์มือถือและค้นหาชื่อของผู้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาในขณะนี้ อีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า ผู้ฝึกยุทธ์เหล่านี้กำลังจะได้สัมผัสความรู้สึกของการเล่นเกมแบบมัลติเพลเยอร์โหมดเป็นครั้งแรกของชีวิต

 

 

บัดนี้ หลินเป่ยเฉินมีสถานะเป็นบุคคลสำคัญของเมืองหยุนเมิ่ง

 

 

เขาเป็นบุคคลต้นแบบคุณภาพสูง มีดีทั้งรูปร่างหน้าตาและพรสวรรค์

 

 

กล่าวตามความจริง อาสาสมัครกลุ่มนี้ย่อมเป็นสาวกของเขา

 

 

การเชื่อมต่อสัญญาณไวไฟไม่ควรเป็นปัญหา

 

 

“เอาล่ะ ทุกคนฟังข้าให้ดี หลังจากเข้าสู่ค่ายอาคมศักดิ์สิทธิ์แล้ว พวกท่านต้องจับกลุ่มแข่งขันกัน โดยแบ่งแยกเป็นกลุ่มละ 4 คน พวกท่านต้องร่วมมือร่วมใจ ทำให้กลุ่มของตนเองสังหารปีศาจให้ได้เยอะที่สุด เมื่อครบตามเวลาที่กำหนดแล้ว ข้าจะเข้าไปรับตัวพวกท่านออกมา… เซียวปิง เจ้าเป็นหัวหน้ากลุ่มแรก เตรียมตัวให้พร้อม ข้ากำลังจะนับถอยหลังแล้วนะ…10…9…0  ขอให้โชคดี”

 

 

“อ๊ากกก…ผายลมมารดาท่าน มีใครที่ไหนนับเก้าแล้วไปศูนย์เนี่ย…”

 

 

อาสาสมัครกลุ่มนี้ก็ไม่ต่างไปจากหลินเป่ยเฉินที่ได้เข้าสู่โลกแห่งเกมเป็นครั้งแรก

 

 

เซียวปิงรอฟังการนับถอยหลังด้วยความกระตือรือร้น เขายังไม่ทันตั้งตัว ด้านบนศีรษะก็เกิดลำแสงสว่างเจิดจ้า เด็กหนุ่มร่างอ้วนได้แต่ส่งเสียงกรีดร้องด้วยความตื่นตระหนก ก่อนที่ตัวคนจะหายวับไปทันที

 

 

เซียวปิงและอาสาสมัครอีก 3 คนหายลับไปจากสายตา

 

 

เมื่อกลุ่มคนที่เหลืออยู่เห็นดังนั้น พวกเขาก็อดเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจไม่ได้

 

 

“กลุ่มต่อไป…”

 

 

หลินเป่ยเฉินเรียกผู้ที่เขาจะเชื่อมต่อสัญญาณไวไฟให้เดินออกมาข้างหน้า

 

 

ชั่วเวลาเพียงพริบตาเดียว อาสาสมัครจำนวน 12 คนก็ถูกส่งตัวเข้าไปสู่โลกแห่งเกม Lost Castle ด้วยลำแสงปริศนาที่พุ่งลงมาจากท้องฟ้า

 

 

แต่ทว่า หลินเป่ยเฉินกลับต้องยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดหลังจากนั้น

 

 

เขาจ้องมองชายฉกรรจ์ที่เหลืออยู่ 3 คนเบื้องหน้า ในสมองเกิดคำถามขึ้นมาข้อใหญ่ว่า

 

 

เกิดอะไรขึ้น?

 

 

เขาหาชื่อชายฉกรรจ์ทั้ง 3 คนนี้ไม่พบในรายชื่อตัวรับสัญญาณไวไฟ

 

 

หรือว่าทั้ง 3 คนนี้ไม่ได้ศรัทธาในตัวเขาเลย?

 

 

หลินเป่ยเฉินรู้สึกโกรธขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

ทำไมถึงไม่ศรัทธาในตัวเขานะ?

 

 

เขาทั้งเก่งทั้งหล่อขนาดนี้ ไม่ศรัทธาได้อย่างไร?

 

 

ต่อให้ไม่ใช่ผู้ศรัทธา แต่อย่างน้อย ก็สมควรต้องหาชื่อเจอบ้างล่ะ

 

 

“พวกท่าน…”

 

 

หลินเป่ยเฉินพูดด้วยสีหน้าถมึงทึง “มีอะไรไม่พอใจในตัวข้าหรือเปล่า?”

 

 

ชายฉกรรจ์ที่เหลืออยู่ทั้ง 3 คนนั้นอดหันมองหน้ากันไม่ได้

 

 

“จะไม่พอใจได้อย่างไรขอรับ? คุณชายหลินเป็นถึงแสงสว่างที่เป็นความหวังของพวกเราชาวเมืองหยุนเมิ่งเลยนะขอรับ”

 

 

“ใช่แล้วขอรับ คุณชายเป็นผู้ที่ข้าน้อยเคารพเลื่อมใสมากที่สุดในเมืองแล้ว”

 

 

“ถูกต้องขอรับ ในอนาคตข้างหน้าหากข้ามีบุตรชาย ข้าก็อยากให้บุตรชายของตนเองเติบโตมาเป็นคนดีเช่นเดียวกับท่าน…”

 

 

พวกเขาทั้ง 3 คนไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดหลินเป่ยเฉินจึงถามเช่นนี้ออกมา แต่สีหน้าก็บอกชัดว่านั่นคือความคิดจากก้นบึ้งหัวใจของพวกเขาจริงๆ

 

 

แต่อย่างไรก็ตาม หลินเป่ยเฉินมองออกว่าชายฉกรรจ์ทั้ง 3 คนนี้กำลังโกหก

 

 

วาจาหวานหู ซ่อนอยู่ด้วยคมมีดที่รอวันจ้วงแทง

 

 

ชักน่าสนใจขึ้นมาแล้วสิ

 

 

นี่ไม่ใช่ความผิดพลาดของโทรศัพท์มือถือ

 

 

แต่ชายฉกรรจ์ทั้ง 3 คนนี้ไม่ใช่ผู้ศรัทธาในตัวหลินเป่ยเฉิน

 

 

เมื่อคิดดูตามหลักความน่าจะเป็นทุกอย่าง ก็เหลือความจริงเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น…

 

 

“พวกท่านเป็นสายลับที่ชาวทะเลสั่งให้แฝงตัวมาใช่หรือไม่?”

 

 

หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับ ถามเน้นย้ำทีละคำ