บทที่ 658 อึดอัด

บัลลังก์พญาหงส์

สุดท้ายก็ไม่ได้เอาพระราชเสาวนีย์ของไทเฮาออกมาบังคับใช้ ฮองเฮามอบสิทธิ์จัดการให้ด้วยตนเอง พูดแค่ว่าส่งมอบให้อี้เฟยคอยดูแล และถาวจวินหลันคอยช่วยเหลือ ถือให้ถาวจวินหลันคุ้นชินกับกิจในวังไปด้วย 

 

 

วิธีเช่นนี้พบได้บ่อย ก่อนหน้านี้หวังฮูหยินเองก็เคยจัดการกิจในวังพร้อมกับฮองเฮา 

 

 

แต่หวังฮูหยินเป็นลูกสะใภ้ของฮองเฮา แต่ถาวจวินหลันกลับเป็นตะปูในตาของฮองเฮา 

 

 

แต่โดยรวมแล้วไม่มีใครคิดว่าเรื่องนี้ไม่สมควร อย่างไรพระชายาองค์รัชทายาทก็เป็นนายหญิงใหญ่ของวังหลังในอนาคต จะคุ้นเคยกับกิจในวังก่อนก็ไม่ผิด 

 

 

ครั้งนี้ถาวจวินหลันได้รับชัยชนะครั้งใหญ่ แต่นางกลับต้องลำบากเล็กน้อย ด้วยเพราะต้องไปหาอี้เฟยทุกวัน 

 

 

ออกมาจากวังของฮองเฮา ถาวจวินหลันก็อมยิ้มมองอี้เฟย “หลังจากนี้อี้เฟยเหนียงเหนียงต้องลำบากแล้วเพคะ” 

 

 

แต่เดิมอี้เฟยคิดตอบตามความเคยชินว่า ‘ไม่เป็นอะไร’ แต่กำลังจะเอ่ยปาก จู่ๆ ใจก็กระตุกวูบ พูดว่า “ในวังหลวงมีเรื่องมากมาย เกรงว่าข้าทำคนเดียวคงไม่เสร็จ เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน พระชายาองค์รัชทายาทไม่ต้องเข้ามาทุกวัน แต่ข้าจะให้คนส่งงานสำคัญไปที่วังตวนเปิ่น” 

 

 

อี้เฟยพูดอย่างชัดเจน ถาวจวินหลันฟังเข้าใจ แต่ก็ไม่ได้คิดจะปฏิเสธ ยิ้มพลางพยักหน้า “เช่นนี้หม่อมฉันจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระสักเล็กน้อย อี้เฟยก็จะได้ไปเยี่ยมหาองค์ชายเจ็ดบ่อยครั้งเพคะ” 

 

 

อี้เฟยอมยิ้มพยักหน้า แฝงไว้ด้วยท่าทีประจบ “ขอบใจพระชายาองค์รัชทายาท” 

 

 

ถาวจวินหลันเห็นอี้เฟยเป็นเช่นนี้ก็ถอนหายใจ “เรื่องในอดีตอย่าเก็บไปใส่ใจเพคะ องค์ชายเจ็ดจงรักภักดี ซื่อสัตย์ และมีความสัมพันธ์ฉันพี่น้องอันลึกซึ้งกับองค์รัชทายาท เพียงเรื่องนี้หม่อมฉันก็ต้องเคารพท่านอยู่หลายส่วนแล้ว หากพระองค์เป็นเช่นนี้ยิ่งทำให้หม่อมฉันรู้สึกผิดนะเพคะ” 

 

 

ที่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดก็ด้วยไม่อยากเห็นท่าทีเช่นนี้ของอี้เฟย และยังเป็นการเตือนอี้เฟยด้วย อย่างไรการดูแลกิจในวังหลวงก็เป็นเรื่องใหญ่ หากอี้เฟยเกิดมักใหญ่ใฝ่สูงคงไม่ดี ดังนั้นต้องเตือนเอาไว้ก่อน 

 

 

อี้เฟยครุ่นคิดครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ขอตัวจากไป 

 

 

ถาวจวินหลันเดินทางกลับวังตวนเปิ่น ก็พบว่าหลี่เย่กลับมาแล้ว นางเลิกคิ้วด้วยความตกใจ ยิ้มพลางก้าวเข้าไปถามเขา “ทำไมกลับมาเร็วเพคะ?” 

 

 

“เรื่องยุ่งยากเสร็จแล้ว ย่อมต้องกลับมาพักผ่อน” หลี่เย่มองถาวจวินหลัน ยิ้มให้อย่างอบอุ่น แฝงไว้ด้วยความลึกล้ำ “อีกอย่าง ข้าควรกลับมาใช้เวลาร่วมกับฮูหยินและลูกๆ มิใช่หรือ?” 

 

 

ถาวจวินหลันกลอกตามองเขา พูดกล่าวโทษ “พูดจากะล่อนปลิ้นปล้อน ใครให้ท่านมาอยู่ด้วยเพคะ” 

 

 

หลี่เย่กลับไม่สนใจ ยิ้มพลางพูดว่า “มีคำกล่าวไว้ว่าปากไม่ตรงกับใจ เจ้าว่าจริงหรือไม่?” หยุดไปครู่หนึ่งเห็นถาวจวินหลันมีท่าทีหงุดหงิดเล็กน้อย จึงได้พูดแก้ว่า “ซวนเอ๋อร์กับหมิงจูคิดถึงพ่อแล้ว เรื่องนี้คงไม่ผิดกระมัง?” 

 

 

ถาวจวินหลันทำได้แค่ปล่อยไป “ทำไมท่านไม่ให้แม่นมอุ้มมาเพคะ” 

 

 

“เพิ่งกลับมา ยังไม่ทันนั่งได้นานเท่าไร แล้วก็ไม่รีบด้วย สองวันนี้น่าจะไม่มีเรื่องอะไรแล้ว แอบมาพักที่วังตวนเปิ่นบ้างก็ไม่เห็นเป็นไร” หลี่เย่ยกชาขึ้นมาจิบ ถามถาวจวินหลันอีกว่า “หรือพรุ่งนี้ข้าพาเจ้าออกไปบ้านตระกูลถาวดีหรือไม่?” 

 

 

ถาวจวินหลันทั้งตกใจ ทั้งยินดี “ได้หรือเพคะ?” 

 

 

หลี่เย่พยักหน้ายิ้ม “ย่อมทำได้ องค์หญิงเก้าเป็นน้องสาวของข้า พี่ชายอย่างข้าจะไปเยี่ยมบ้างก็สมเหตุสมผล พาเจ้าไปด้วยก็เพราะเป็นหญิงชายมีความต่าง ข้าไม่อาจเข้าไปได้” 

 

 

ตอนนี้องค์หญิงกำลังอยู่ไฟ คำพูดนี้สามารถใช้ได้ อย่างไรหลี่เย่เป็นชายแท้ คงไม่ดีที่จะเข้าไปในห้องเยี่ยมเยียนองค์หญิงเก้า 

 

 

“แล้วถาวซินหลันไปด้วยได้หรือไม่เพคะ?” ถาวจวินหลันพูดขอร้องอีกเรื่อง 

 

 

หลี่เย่หัวเราะเสียงดังรับคำ “ถึงเวลาข้าจะไปแวะเยี่ยมใต้เท้าเฉิน เมื่อวานนี้ใต้เท้าเฉินขอลาเพราะอาการป่วย ข้าควรไปดูเสียหน่อย” 

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจมาก แทบจะรอให้วันรุ่งขึ้นมาถึงเร็วๆ ไม่ได้ นางกะพริบตาแล้วเริ่มวาดแผนการขึ้นมา “เช่นนั้นหม่อมฉันไปเก็บของก่อน ดูว่าให้พวกนางเอาอะไรไปถึงจะดี…” 

 

 

“ไม่ต้องเอาของไป อีกอย่างเจ้าไม่ได้ส่งคนให้เอาของไปแล้วหรือ? ถึงตอนนั้นพวกเราจะเดินทางไปในชุดเรียบง่าย” หลี่เย่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก รีบเอยปรามถาวจวินหลันก่อน แล้วถึงพูดข่าวดีเรื่องหนึ่ง “พรุ่งนี้พวกเราจะได้ไปปรึกษาเรื่องกอบกู้ตระกูลถาวด้วย” 

 

 

พอถาวจวินหลันได้ยินก็อึ้งไป คล้ายไม่อยากเชื่อเล็กน้อย แต่นางก็อดยกยิ้มสดใสไม่ได้ ตอนนี้ห้ามยิ้มเห็นฟัน หรือกฎเกณฑ์มารยาทอะไร นางโยนทิ้งไปหมดแล้ว นางจับมือของหลี่เย่ขึ้นมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว “จริงหรือเพคะ? เรื่องนี้จะสำเร็จจริงหรือเพคะ?” 

 

 

“ข้าจัดการหมดแล้ว” หลี่เย่ปล่อยให้นางดึงรั้งเอาไว้อย่างอบอุ่นและเอ็นดู มองท่าทีดีใจเหมือนเด็กน้อยของนาง อดหัวเราะไม่ได้ “ข้าจะโกหกเจ้าได้อย่างไร?” 

 

 

“พอเรื่องนี้สำเร็จแล้ว พระองค์พาหม่อมฉันออกจากวังอีกครั้งได้หรือไม่?“ ถาวจวินหลันมองหลี่เย่อย่างออดอ้อน ในใจวางแผนเรื่องหลังจากนี้ไว้แล้ว “ถึงเวลานั้น หม่อมฉันจะไปเล่าให้ท่านพ่อและท่านแม่ฟังเองเพคะ” 

 

 

หลี่เย่ย่อมไม่ปฏิเสธ ยิ้มรับคำ “ได้ ตกลงตามนี้ ถึงเวลาข้าจะพาเจ้าไป” 

 

 

ถาวจวินหลันมัวแต่ตกอยู่ในภวังค์แห่งความยินดี แม้แต่แม่นมพาเด็กสองคนมาแล้วก็ยังไม่สังเกตเห็น 

 

 

หลี่เย่กลับพูดขัดจังหวะ “ไม่ได้เจอเซิ่นเอ๋อร์กับกั่วเจี่ยเอ๋อร์นานแล้ว พาพวกเขาสองคนมาด้วยเถิด พี่น้องควรต้องสนิทสนมกันไว้” 

 

 

ถาวจวินหลันได้สติกลับมา มองหลี่เย่วูบหนึ่ง แต่ไม่ได้พูดอะไร 

 

 

กลับเป็นหลี่เย่ที่มองถาวจวินหลันอย่างใจไม่ดี 

 

 

ถาวจวินหลันอุ้มหมิงจู พลางหยิบของว่างให้ซวนเอ๋อร์ชิ้นหนึ่ง แล้วถึงถอนหายใจ “วันนี้ท่านบอกเรื่องน่ายินดีกับหม่อมฉันมากมาย ที่แท้ก็เพราะเรื่องนี้ใช่หรือไม่?” 

 

 

หลี่เย่นิ่งไป จากนั้นก็ปฏิเสธอย่างแข็งขัน “ไม่ใช่แน่นอน” 

 

 

“ในเมื่อไม่ใช่ ทำไมต้องมองหม่อมฉันด้วยเพคะ?” ถาวจวินหลันสบตากับหลี่เย่ ในใจพูดไม่ออกว่ารู้สึกอย่างไร แต่ก็ยังพูดอย่างเป็นมิตรว่า “กั่วเจี่ยเอ๋อร์กับเซิ่นเอ๋อร์เป็นลูกของท่าน แม้ว่าหม่อมฉันไม่มีทางเอาพวกเขามาเป็นลูกแท้ๆ ของหม่อมฉันได้ แต่ก็ไม่ถึงขั้นห้ามไม่ให้ท่านไปพบหน้าพวกเขา ท่านแสดงท่าทีเช่นนี้ คนเห็นแล้วจะคิดว่าหม่อมฉันสอดมือเข้ามายุ่งนะเพคะ ถึงหม่อมฉันไม่ชอบเจียงอวี้เหลียน ก็ไม่คิดมาลงที่เซิ่นเอ๋อร์ ท่านรับเซิ่นเอ๋อร์มา หม่อมฉันก็ไม่ห้ามเพคะ” 

 

 

นางเพียงแค่ไม่ชอบวิธีของหลี่เย่เท่านั้น ท่าทีระแวดระวังของเขาชวนให้นางคิดถึงเรื่องไม่น่ายินดีเหล่านั้น จนนางรู้สึกอึดอัดใจ 

 

 

การกระทำของเขายังทำให้นางรู้สึกไม่ดี พออยู่ต่อหน้าเด็กที่เกิดจากสามีของตนกับหญิงอื่น นางก็ไม่อาจใจกว้างได้อย่างที่พูดไป ในใจของนางยังแอบคิดเล็กคิดน้อยและไม่สบายใจ 

 

 

นางกลับพูดเรื่องไม่สบายใจเหล่านี้ออกมาไม่ได้ แม้แต่ตัวนางยังคิดว่าตนเองไม่ควรคิดเช่นนี้ อย่างไรหลี่เย่ก็ไม่ต้องการให้เป็นเช่นนี้ หลี่เย่ก็มีเรื่องที่เขาจนปัญญาเช่นกัน 

 

 

ดังนั้นนางอดกล่าวโทษหลี่เย่ไม่ได้ อยู่ดีๆ ทำไมถึงต้องแสดงท่าทีเช่นนี้? นี่ยิ่งไปสะกิดความไม่สบายใจของนาง 

 

 

หลี่เย่เหมือนจะคิดเรื่องนี้ได้ จึงถอนหายใจ “ข้าเผลอปล่อยไก่เสียแล้ว” พูดไปพลางเสียงก็เบาลงเรื่อยๆ “ข้าเพียงอยากให้เจ้ามีความสุขเท่านั้นเอง” 

 

 

ความรู้สึกผิดและโทษตนเองของหลี่เย่ฉายชัดอยู่บนใบหน้า 

 

 

ถาวจวินหลันยังรู้สึกไม่ดี ถอนหายใจพูดว่า “หลังจากนี้ห้ามทำเช่นนี้อีกนะเพคะ หากท่านทำเปิดเผยจริงใจ หม่อมฉันก็คงไม่ห้ามไว้ อีกอย่าง เด็กก็คือเด็ก ผู้ใหญ่ก็คือผู้ใหญ่ อย่าเอามาเหมารวมกันหมด ท่านพูดถูก เซิ่นเอ๋อร์กับซวนเอ๋อร์ควรต้องมีปฏิสัมพันธ์กันมากกว่านี้ อย่างไรก็เป็นพี่น้อง…” 

 

 

ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องไม่ลึกซึ้ง ในอนาคตก็อาจจะวุ่นวายจนเป็นทุกข์ใจ โดยเฉพาะครอบครัวอย่างพวกเขา จะทำอะไรก็ต้องข้องเกี่ยวกับการแย่งชิงอำนาจทั้งนั้น ควรต้องพยายามเลี่ยงมิให้เกิดปัญหาขึ้น 

 

 

วิธีการเดียวก็คือการมีปฏิสัมพันธ์ให้มาก เมื่อผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง ความเชื่อใจที่มีต่อกันย่อมมากขึ้น ถึงเวลาปัญหาก็จะน้อยลง 

 

 

ถาวจวินหลันเรียกสติกลับมา ยิ้มเรียกให้ปี้เจียวเข้ามา “ไปอุ้มกั่วเจี่ยเอ๋อร์มาเถิด และสั่งให้ห้องครัวเล็กของวังตวนเปิ่นทำอาหารรสดีและย่อยง่ายมา” 

 

 

ไม่นานกั่วเจี่ยเอ๋อร์ก็มาถึง เจอหน้าหลี่เย่ก็ยังดูห่างเหินเล็กน้อย ยังเรียกว่า ‘เสด็จพ่อ’ ด้วยการสั่งสอนของจิ้งหลิง 

 

 

ซวนเอ๋อร์กระซิบข้างหูถาวจวินหลันเสียงเบา “ทำไมน้องสาวถึงเรียกว่าเสด็จพ่อ แต่ข้ากับน้องสาวกลับเรียกท่านพ่อล่ะ?” 

 

 

น้องสาวสองคน กั่วเจี่ยเอ๋อร์กับหมิงจู ซวนเอ๋อร์ไม่เคยแบ่งข้าง เรียกรวมว่าน้องสาวทั้งหมด ถาวจวินหลันก็ไม่ได้ปล่อยให้เขาจำสับสน แต่ยังไม่รู้ว่าควรจะตอบเช่นไร ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงพูดว่า “แบบไหนก็เหมือนกัน เพียงแค่เรียกต่างกันเท่านั้น ถ้าเจ้าชอบก็เรียกเสด็จพ่อได้” 

 

 

แม้เสด็จพ่อกับท่านพ่อมีความหมายแบบเดียวกัน เป็นเพียงแค่สรรพนามให้ความเคารพเท่านั้น แต่กลับเย็นชาห่างเกิน และอีกอันนั้นแม้จะดูสบายจนไม่มีมารยาทไปบ้าง แต่กลับสะท้อนให้เห็นถึงความสนิทสนม 

 

 

ถาวจวินหลันไม่รู้เลยว่าควรอธิบายเรื่องเรียกไม่เหมือนกันให้ซวนเอ๋อร์ฟังอย่างไรดี ควรพูดอย่างไร? หรือจะบอกซวนเอ๋อร์ว่า สนิทสนมไม่เท่ากันอย่างนั้นหรือ? 

 

 

ถาวจวินหลันอึดอัดกับเรื่องนี้ยิ่ง 

 

 

นางถอนหายใจ มองไปทางจิ้งหลิง เห็นนางก้มหน้าก้มตาเหมือนไม่ติดใจเอาความ นางก็อดถอนหายใจไม่ได้ ก่อนพูดว่า “หลังจากนี้ก็เรียกเสด็จพ่อเถิด มาเรียกปนเปกันไปมาเช่นนี้คนได้ยินเข้าจะไม่ดี” ส่วนคนได้ยินเข้าจะไม่ดีอย่างไร นางกลับไม่ได้อธิบายอย่างละเอียด 

 

 

แต่คิดว่าทุกคนคงรู้ดีแก่ใจอยู่แล้ว 

 

 

หลี่เย่ก็ได้ยิน แต่เขากลับไม่เห็นด้วย “เรียกท่านพ่อเถิด ฟังแล้วรู้สึกใกล้ชิดกัน แต่เสด็จพ่อฟังแล้วเย็นชานัก” 

 

 

จิ้งหลิงรับคำเสียงเบา แต่บรรยากาศก็ยังหน่วงอยู่ชั่วครู่ 

 

 

ซวนเอ๋อร์เป็นเด็กไม่คิดอะไรมาก ก้าวเข้าไปนั่งเล่นกับน้องสาวทั้งสองคนบนตั่งเย็นแล้ว หัวเราะร่าเสียงดัง ผ่านไปไม่นานก็ลืมคำถามเมื่อครู่ไปเสียแล้ว 

 

 

แต่พวกผู้ใหญ่กลับอึดอัดแทน ไม่มีใครยอมพูดอะไรทั้งนั้น ถาวจวินหลันเองก็สังเกตเห็น ว่าตอนที่หลี่เย่อยู่กับนางลำพังจะพูดมากกว่านี้ และเป็นตัวเองมากกว่านี้ หากเป็นตอนที่จิ้งหลิงหรือบรรดาอนุภรรยาอยู่ด้วย เขาจะนั่งนิ่งเงียบอย่างสง่างาม รักษาท่าทีเคร่งขรึมวางท่าไว้ตลอด