บทที่ 659 ทรมาน

บัลลังก์พญาหงส์

ไม่อาจโทษกั่วเจี่ยเอ๋อร์และเซิ่นเอ๋อร์ที่ไม่ใกล้ชิดกับเขาได้ เพราะพวกเขาไม่ค่อยมีเวลาใกล้ชิดกันมากนัก แต่พอมาเทียบกับซวนเอ๋อร์และหมิงจูแล้ว ก็คงเรียกว่าลำเอียง ช่างไม่ยุติธรรมกับกั่วเจี่ยเอ๋อร์และเซิ่นเอ๋อร์

 

 

หากต้องใกล้ชิดกับกั่วเจี่ยเอ๋อร์และเซิ่นเอ๋อร์จริง ถึงนางยินยอม แต่หลี่เย่ก็ทำไม่ได้อยู่ดี อย่างไรก็เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่เด็ก มาสนิทสนมเอาป่านนี้ก็มีแต่ยิ่งอึดอัด ทว่านางก็ไม่อยากให้หลี่เย่ออกห่างจากซวนเอ๋อร์และหมิงจูไปหาเด็กคนอื่น

 

 

ถาวจวินหลันจึงมีความขัดแย้งอยู่ในใจเล็กน้อย

 

 

แต่สุดท้ายนางก็ไม่ได้คิดเรื่องนี้นานนัก เพราะเซิ่นเอ๋อร์มาถึงแล้ว คนที่พาเซิ่นเอ๋อร์มาคืออิ้งกูกู พูดไปแล้ว ตอนแรกอิ้งกูกูควรอยู่ที่จวนตวนชินอ๋องเพื่อดูแลเซิ่นเอ๋อร์ แต่ก็ไม่ได้อยู่ต่อเพราะเจียงอวี้เหลียน ตอนนี้อิ้งกูกูยังก็คงปรนนิบัติดูแลเซิ่นเอ๋อร์ ต้องนับว่าเป็นโชคชะตา

 

 

อิ้งกูกูกับเซิ่นเอ๋อร์ค่อนข้างคุ้นเคยกัน เห็นจากท่าทีผูกพันที่เซิ่นเอ๋อร์มีต่ออิ้งกูกู อิ้งกูกูบอกให้เขาเรียก เขาก็เรียกอย่างเชื่อฟัง แต่ก็ยังดูห่างเหินไปเล็กน้อย

 

 

ถาวจวินหลันพูดขึ้นมาก่อน “ให้เซิ่นเอ๋อร์ไปเล่นกับพี่ชายเขาเถิด”

 

 

อิ้งกูกูปล่อยเซิ่นเอ๋อร์ไป แต่เห็นชัดว่าเซิ่นเอ๋อร์ไม่คอยเต็มใจ จับชายเสื้อของอิ้งกูกูไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ท่าทีขลาดกลัว อิ้งกูกูได้แค่ถอนหายใจ อธิบาย “เซิ่นเอ๋อร์ค่อนข้างกลัวคนแปลกหน้าอยู่บ้างเพคะ”

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้า ไม่ได้ฝืน ถามเรื่องทั่วไปของเซิ่นเอ๋อร์

 

 

ไม่นานบรรยากาศก็ผ่อนคลายลง แต่หลี่เย่ก็ยังไม่ยอมพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ดูขัดแย้งกับการกระทำตอนแรกที่เรียกร้องขอเจอเซิ่นเอ๋อร์

 

 

ด้วยบรรยากาศเช่นนี้เซิ่นเอ๋อร์เหมือนจะสังเกตได้ถึงอะไรบางอย่างโดยเร็ว ยิ่งตัวติดกับอิ้งกูกูมากขึ้น

 

 

ถาวจวินหลันจึงหยอกเซิ่นเอ๋อร์เล่น “เซิ่นเอ๋อร์มาให้ข้าอุ้มหน่อยดีหรือไม่? ข้าให้เจ้ากินขนม…”

 

 

เซิ่นเอ๋อร์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง อิ้งกูกูรีบพูดโน้มน้าว “เสด็จแม่ของเจ้าเรียกแล้ว ยังมีขนมให้เจ้ากินด้วย ปกติข้าสอนเจ้าว่าอย่างไร?”

 

 

เซิ่นเอ๋อร์ถึงได้ลองยื่นมือออกไป โน้มตัวไปทางอ้อมอกของถาวจวินหลัน

 

 

ถาวจวินหลันหยิบขนมเมฆาขึ้นมาล่อเซิ่นเอ๋อร์ชิ้นหนึ่ง “เอ้า เซิ่นเอ๋อร์อยากกินหรือไม่?”

 

 

สุดท้ายด้วยเด็กชอบกิน จึงได้ยื่นมือออกไปเอา และยอมเอ่ยปากพูดแล้ว “เอา”

 

 

ถาวจวินหลันยิ้มแย้มเอาขนมเมฆาให้เซิ่นเอ๋อร์ พยายามพูดให้เซิ่นเอ๋อร์พูดมากกว่านี้ “เซิ่นเอ๋อร์เอาขนมไปให้พี่ชาย พี่สาว กับน้องสาวกินดีหรือไม่?”

 

 

เซิ่นเอ๋อร์ก็รู้ว่าถาวจวินหลันพูดถึงใคร มองไปที่พวกซวนเอ๋อร์ทีหนึ่ง กลับส่ายหน้า “ไม่ให้” พูดจบก็หยิบขนมเมฆาในมือเข้าปาก

 

 

ถาวจวินหลันเห็นแบบนี้ก็หัวเราะร่า เด็กก็เป็นเช่นนี้ เวลาหยอกล้อช่างสนุกนัก พูดจาเย้าแหย่ซวนเอ๋อร์ตอนนี้ไม่ค่อยสนุกแล้ว เพราะเขารู้ว่าหลังจากให้ไปจะได้ของที่ดีกว่ากลับมา ดังนั้นจึงให้โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

 

 

กลับเป็นหลี่เย่ที่ปั้นหน้าขรึม “ขนมเพียงน้อยนิด เหตุใดถึงไม่แบ่งให้พี่น้องเจ้าบ้าง? ขี้งกเช่นนี้ได้อย่างไร?”

 

 

เซิ่นเอ๋อร์ตกใจจนมุดเข้าไปในอ้อมกอดของถาวจวินหลัน ก้มหน้าก้มตานิ่งเงียบ

 

 

ถาวจวินหลันกลอกตามองหลี่เย่ “เขาเพิ่งจะอายุเท่าไรกันเพคะ? ตอนที่ท่านโตเท่านี้ ท่านอาจจะไม่ดีเท่าเขาด้วยซ้ำ” พูดจบก็เอ่ยปลอบเซิ่นเอ๋อร์เสียงอ่อน เซิ่นเอ๋อร์ถูกปลอบอยู่พักหนึ่งก็เริ่มสนิทกับถาวจวินหลัน โอบคอของนางเอาไว้ นอนพิงไหล่ของนางนิ่ง

 

 

ตอนที่กำลังปลอบเซิ่นเอ๋อร์ เสียงรายงานจากข้างนอกเพิ่งดังขึ้น เจียงอวี้เหลียนก็เดินเข้ามาแล้ว

 

 

เจียงอวี้เหลียนเข้ามาก็เห็นเซิ่นเอ๋อร์อยู่ในอ้อมกอดของถาวจวินหลันด้วยท่าทีสนิทสนม ก็ให้โกรธกรุ่น ดวงตาเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ มองไปทางเซิ่นเอ๋อร์นิ่ง สุดท้ายก็มองถาวจวินหลันอย่างดุดัน “พระชายาองค์รัชทายาท นี่หมายความว่าอย่างไร?”

 

 

เจียงอวี้เหลียนดูตั้งใจเค้นถาม

 

 

ถาวจวินหลันมองเซิ่นเอ๋อร์ทีหนึ่ง ขมวดคิ้วเอ่ยเตือนเรียบๆ “เจ้าทำให้เซิ่นเอ๋อร์ตกใจ”

 

 

เจียงอวี้เหลียนถึงได้สติกลับมา ไม่ได้เค้นถามอีก แต่ก็รีบไปอุ้มเซิ่นเอ๋อร์มา “เซิ่นเอ๋อร์ มา มาหาแม่”

 

 

แต่เซิ่นเอ๋อร์ไม่ยอมไป กอดถาวจวินหลันเอาไว้แน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นและระแวง ถ้าเป็นคนอื่นตอนนี้คงยอมแพ้ไปแล้ว แต่เจียงอวี้เหลียนกลับไม่ได้เป็นเหมือนคนพวกนั้น เจียงอวี้เหลียนยังยื่นมือออกไป พูดเกลี้ยกล่อมหลอกล่อเสียงหวานให้เซิ่นเอ๋อร์มาหาตนเอง

 

 

สุดท้ายอิ้งกูกูก็ทนดูต่อไปไม่ไหว พูดเสียงเบา “ให้หม่อมฉันอุ้มเซิ่นเอ๋อร์เถิดเพคะ เจียงเหลียงตี้อย่าฝืนใจเซิ่นเอ๋อร์เลย”

 

 

“ข้าเป็นแม่ของเขา!” พยายามมานานขนาดนี้ แต่เซิ่นเอ๋อร์กลับทำเหมือนไม่รู้จักนางเสียอย่างนั้น เจียงอวี้เหลียนเห็นแบบนี้ก็หงุดหงิดเล็กน้อย อิ้งกูกูเอ่ยปากพูดแบบนี้ก็ยิ่งเหมือนจุดไฟสุมอก จนเจียงอวี้เหลียนอาละวาด

 

 

หากเป็นนางกำนัลคนอื่นคงลนลานไปแล้ว แต่อิ้งกูกูตอบกลับอย่างสงบนิ่ง “หากเจียงเหลียงตี้ไม่อยากพบเซิ่นเอ๋อร์อีก ข้าย่อมต้องทูลบอกไทเฮาเพคะ”

 

 

เจียงอวี้เหลียนถึงยอมสงบเสงี่ยม

 

 

ถาวจวินหลันแอบหัวเราะ แสร้งทำเป็นไม่เห็นอะไร เรียกเจียงอวี้เหลียนมาพูดว่า “ในเมื่อเจียงเหลียงตี้มาแล้ว ก็ทานข้าวที่นี่ก่อนเถิด”

 

 

เพราะถึงแก่เวลา ถาวจวินหลันจึงให้คนมาจัดสำรับอาหาร รอจนกินข้าวเสร็จก็แยกย้ายกันกลับไป แม้แต่เซิ่นเอ๋อร์ก็กลับไปวังหย่งโซ่ว

 

 

ตกดึกเอนตัวนอนลงบนเตียง ทั้งคู่ก็เริ่มพูดคุยกระซิบกระซาบ

 

 

ถาวจวินหลันค่อนข้างกังวลเรื่องอนาคต “หม่อมฉันดูจากสถานการณ์แล้ว เกรงว่าความสัมพันธ์ของเซิ่นเอ๋อร์กับซวนเอ๋อร์คงไม่ค่อยดีนักเพคะ”

 

 

หลี่เย่ก็คิดเช่นนั้น จึงเอ่ย “อืม” ยืนยันว่าเห็นด้วย

 

 

“ทำอย่างไรดีเพคะ?” ถาวจวินหลันเป็นกังวลใจอย่างมาก

 

 

“ลูกหลานย่อมมีบุญของลูกหลาน” หลี่เย่เอ่ยน้ำเสียงหนักแน่น ให้ความรู้สึกปลอดภัยและน่าเชื่อถือ “พวกเราจะไปคาดการณ์เรื่องในอนาคตได้อย่างไร? กังวลไปก็ไร้ประโยชน์ ความสัมพันธ์ไม่ดีก็ไม่เป็นอะไร ไม่ว่าอย่างไรเซิ่นเอ๋อร์บรรลุนิติภาวะแล้วก็ต้องย้ายออกไปอยู่ดี”

 

 

ด้วยหลี่เย่เติบโตอยู่ในราชวงศ์ ไม่เคยได้สัมผัสถึงความผูกพันเช่นน้องต้องเคารพพี่ พ่อเมตตาลูกกตัญญูอะไรเหล่านี้มาก่อน ดังนั้นลูกชายทั้งสองของตนจะไม่ถูกกันอย่างไร เขาก็รับได้ทั้งนั้น

 

 

อย่างน้อยก็ยอมรับได้มากกว่าถาวจวินหลัน

 

 

เพื่อไม่ให้ถาวจวินหลันกังวลเรื่องนี้ เขาจึงตัดสินใจใช้มือปิดริมฝีปากถาวจวินหลันเอาไว้ ก่อนพลิกตัวไปหานาง…

 

 

เช้าวันรุ่งขึ้นหลี่เย่ตื่นมาด้วยท่าทีสดชื่น หลังจากสวมใส่เสื้อผ้าเสร็จแล้วก็หันไปใส่เสื้อผ้าให้ถาวจวินหลัน

 

 

เพราะเป็นฤดูร้อน ดังนั้นชุดนอนของถาวจวินหลันจึงทำมาจากผ้าเนื้อบาง มองเห็นเสื้อตัวเล็กด้านในวับๆ แวมๆ ถาวจวินหลันจึงประหม่าเล็กน้อย แต่ก็ทัดทานคำร้องที่ ‘กระตือรือร้น’ ของหลี่เย่ไม่ไหว ทำได้แค่ปล่อยให้เขาทำตามใจชอบ

 

 

ดังนั้นแค่สวมเสื้อผ้าก็กินเวลาไปกว่าครึ่งชั่วยาม รอจนเรียกคนเข้ามาปรนนิบัติ ถาวจวินหลันก็ไม่มีหน้าจะพบคนอื่นแล้ว หลังจากล้างหน้าแปรงฟันแล้วก็รีบดึงหลี่เย่ให้ออกเดินทาง แม้แต่ข้าวเช้าก็ไม่ทานในวังหลวง

 

 

เพราะต้องออกเดินทาง ถาวจวินหลันย่อมไม่ได้ใส่เสื้อผ้าที่ดูอลังการมีหลายชั้นจนเกินไป พยายามเรียบง่ายและถ่อมตนไว้ก่อน แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นก็ยังไม่อาจปกปิดท่าทางทรงอำนาจเอาไว้ได้ เป็นพระชายาองค์รัชทายาทมานาน คิดจะปลอมตัวเป็นฮูหยินธรรมดาก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

 

 

แต่ตัวถาวจวินหลันกลับไม่ได้สังเกตเรื่องเหล่านี้ ทว่าหลี่เย่ที่เห็นแล้วกลับทั้งเสียดาย ทั้งภูมิใจอยู่เล็กน้อย

 

 

พอออกมาจากประตูวัง หลี่เย่ก็พูดว่า “ในเมื่อยังไม่ได้ทานข้าว พวกเราก็ไปโรงเตี๊ยมกันเถิด”

 

 

นี่ถือเป็นประสบการณ์แปลกใหม่สำหรับถาวจวินหลัน นางย่อมไม่ปฏิเสธ รีบยิ้มรับคำ

 

 

เมื่อทั้งสองคนไปถึงบ้านตระกูลถาว ก็เกือบเที่ยงวันแล้ว เพราะก่อนไปไม่ได้แจ้งเอาไว้ก่อน ดังนั้นตอนที่ถาวจิ้งผิงออกมาต้อนรับ เห็นว่าเป็นพวกเขาทั้งสองคนก็ตกใจมาก แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นความยินดี “ท่านพี่มาได้อย่างไร!”

 

 

มองดูถาวจิ้งผิงที่กระตือรือร้นถามถาวจวินหลันหลายอย่าง หลี่เย่ก็รู้สึกว่าตนเองถูกละเลยไปเสียแล้ว จึงไม่ได้เอ่ยขัดจังหวะ เพียงแค่อมยิ้มยืนดูอยู่ข้างๆ ฟังพี่น้องสองคนพูดคุยกัน

 

 

สิ่งที่ถาวจวินหลันเป็นห่วงมากที่สุดก็คืออาการบาดเจ็บของถาวจิ้งผิง “ได้ยินว่าเจ้าบาดเจ็บอย่างนั้นหรือ? รุนแรงหรือไม่?” ถ้าไม่ใช่เพราะคำนึงว่าถาวจิ้งผิงเป็นผู้ชายเต็มวัยแล้ว ถาวจวินหลันก็คิดอยากถอดเสื้อผ้าของถาวจิ้งผิงออกเพื่อสำรวจดูด้วยตนเอง

 

 

ถาวจิ้งผิงย่อมไม่กล้าพูดความจริง เพียงแค่หัวเราะ “ไม่เป็นไรแล้วพ่ะย่ะค่ะ แค่บาดแผลเล็กๆ เท่านั้น ท่านพี่เห็นข้าแข็งแรงร่าเริง พลังเยอะเช่นนี้ ก็ต้องรู้แล้วว่าไม่เป็นอะไรมาก”

 

 

พูดคุยสอบถามกันไปมาไปมาตลอดทาง สุดท้ายถาวจวินหลันก็ไปดูองค์หญิงเก้า ส่วนหลี่เย่ไปห้องหนังสือเพื่อพูดคุยปรึกษาเรื่องกอบกู้สกุลกับถาวจิ้งผิง

 

 

พูดถึงเรื่องนี้ถาวจิ้งผิงย่อมทั้งตกใจและดีใจ ใช้เวลากว่าค่อนวันกว่าถึงสงบใจลงได้

 

 

พอทั้งสองคนปรึกษาจนได้เรื่องแล้ว ถาวจวินหลันก็ออกมาจากห้องขององค์หญิงเก้า ทั้งสามคนปรึกษากันอีกครั้ง เรื่องราวก็จบลงตามนี้ ถึงเวลานั้นถาวจิ้งผิงก็ไปตีกลองร้องทุกข์ เริ่มสืบจากตระกูลข่ง

 

 

หากไม่มีอะไรผิดพลาด หลี่เย่สามารถจัดการดูแลเรื่องนี้ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะทำให้คนวางใจกว่าเมื่อเทียบกับคนอื่นเป็นคนรับผิดชอบ ต่อให้ถึงเวลานั้นไม่ได้จริงๆ ก็ยังมีตระกูลเฉินที่พึ่งพาได้ ใต้เท้าเฉินมีภาพลักษณ์ยุติธรรมไม่เอนเอียงฝ่ายไหนมาตั้งนานแล้ว คดีที่เคยสืบก็มีมากมายนับไม่ถ้วน มอบให้เขาจัดการ คนอื่นต้องยินยอมเป็นแน่

 

 

รอจนตกบ่ายเดินทางไปยังตระกูลเฉิน ถาวจวินหลันก็แอบถามหลี่เย่ตอนอยู่บนรถม้าว่า “เรื่องนี้หลังจากสืบพบความจริงแล้ว ฮองเฮาจะเป็นอย่างไรเพคะ?”

 

 

หลี่เย่นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ส่ายหน้าเล็กน้อย “เสด็จพ่อคงไม่ได้คิดปลดฮองเฮา มิเช่นนั้นก็คงไม่มีวันนี้ อีกทั้งนางเป็นมารดาแท้ๆ ขององค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อ แม้ตระกูลหวังล่มสลายไป แต่ฮองเฮาก็ยังเป็นฮองเฮา”

 

 

เพียงแค่เปลี่ยนจากฮองเฮาที่มากด้วยรัศมีเจิดจรัส เป็นฮองเฮาที่สูญอำนาจไปเท่านั้นเอง

 

 

“แบกตำแหน่งฮองเฮาเอาไว้แล้วจะทำไมเพคะ?” ถาวจวินหลันเอ่ยถามหลี่เย่เสียงเบา “แม้นางยังมีชีวิต แต่ก็ต้องเจอแต่ความยากลำบาก สิ่งที่นางติดค้างท่าน อย่างไรพวกเราก็ต้องเอาคืน ตอนนี้นางมีความสุขเสียที่ไหนกัน? นี่เป็นแค่เพียงก้าวแรกเท่านั้น”

 

 

หลี่เย่พยักหน้า ยิ้มอ่อนโยน “ข้าไม่เคยคิดอยากสังหารฮองเฮา เหมือนที่เจ้าพูด นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ข้าจะให้นางมีชีวิตต่อไป อยู่กับความเดียวดายทรมาน”